คิดคนละขั้ว - แรงรวม ชาวหินฟ้า -
ปรากฏการณ์ที่บอกชี้ ความไร้สติ และ มิจฉาทิฐิในสังคม


การแก้ปัญหาสังคมทุกวันนี้ ดูเหมือนว่าจะมุ่งแก้กันที่ปลายเหตุเป็นส่วนใหญ่ เมื่อมีคนบ้ากาม ออกทำร้ายผู้หญิงสักคน ก็จะเป็นข่าวใหญ่ น.ส.พ.รุมประณาม "ไอ้หื่นนรก... ไอ้บ้ากาม ฯลฯ" แต่ใน ขณะเดียวกัน สื่อก็ตีพิมพ์ภาพโป๊ออกมาปลุกเร้าไอ้หื่นนรก ไอ้บ้ากามอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ น้องแน็ต นางเอกหนังเอ็กซ์ ก็ได้รับเชิญไปออกทีวีตามช่องต่างๆ อย่างโด่งดัง จริงๆ แล้ว ไอ้หื่นนรก หรือ ไอ้บ้ากาม ก็ไม่ต่างอะไรกับเหยื่อของสังคม ที่ถูกมอมเมา ปลุกเร้าจากสื่อลามกทั้งหลาย และ นานาสารพัด ที่จะสร้างขึ้นมาเพื่อให้คนเกิดความหื่นกระหาย จนเกิดตัณหาหน้ามืด ทำเลวทำร้าย ได้ทุกอย่าง

ปรากฏการณ์ที่ ด.ญ.ภัสสร เจียมเจริญ ถูกแม่และป้าฆ่าปาดคอ สกู๊ปหน้า ๑ ของ น.ส.พ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๑๓ ต.ค. ๒๕๔๗ ได้รายงานไว้ว่า

เหตุเศร้าสลดที่ อ.ดำเนินสะดวก ราชบุรี แม่เชือดลูกเพื่อส่งลูกไปอยู่กับพระอินทร์ เป็นตัวชี้วัดระดับ ความงมงายของคนไทยได้เป็นอย่างดี

มีคำถามมากมาย ทำไม ...? ร่องรอยการขัดขืนของเด็กจึงไม่มีเลย

"เสมือนหนึ่งว่า เด็กยอมตายสนองความเชื่อของผู้เป็นแม่"

คำถามตามมา เหตุการณ์ในลักษณะนี้เพิ่งเกิดขึ้นในสังคมไทยหรือเปล่า
คำตอบคือ "ไม่ใช่"

เมื่อ ๔ ปีที่แล้ว มีผู้หญิงคนหนึ่ง ภรรยาเจ้าของร้านอาหาร ต.ท้ายบ้าน อ.เมืองสมุทร-ปราการ ชีวิต เผชิญมรสุมอย่างหนัก หาทางออกไม่ได้ ใช้ความเชื่อเดิม กลายเป็นร่างทรงเจ้าแม่กวนอิม บังคับให้ สามีและลูก คุกเข่า นั่งสมาธิไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน

และจะเป็นด้วยบรรยากาศความเชื่อคล้ายกับกดดันอย่างหนัก ต่อมาสามีที่ตกเป็นเบี้ยล่าง เครียด เพราะภรรยาอยู่นาน กลายเป็นร่างทรงเจ้าพ่อกวนอูขึ้นมา แยกสำนักทรง อยู่ฝั่งตรงข้าม

ร่างทรง เจ้าแม่กวนอิม แสดงฤทธิ์แข่งกับร่างทรงเจ้าพ่อกวนอูอยู่ได้ไม่นาน นัยว่าเจ้าพ่อกวนอู ต้องการมีอำนาจเหนือว่า เรื่องลงเอย เจ้าพ่อกวนอูฆ่าเจ้าแม่กวนอิมทิ้ง...เหตุเกิดต่อหน้าลูก ๓ คน

เจ้าพ่อกวนอู บอกลูกๆ ว่า เจ้าแม่กวนอิมเป็นนกยักษ์...ต้องฆ่าให้ตาย เริ่มกระบวนการฆ่า ด้วยการใช้ สว่านไฟฟ้า ทุบใบหน้าจนแน่นิ่ง แล้วก็ใช้สว่านเจาะตามใบหน้าและลำตัว แถมใช้ไขควงตอกปาก ทะลุท้ายทอย เสียบแป๊บเหล็กที่หน้าท้องทะลุหลัง แล้วโรยเกลือเพื่อสะกดจิตวิญญาณแล้วสุมไฟเผา

คดีนี้สิ้นสุดลงตรงเจ้าพ่อกวนอูถูกส่งเข้าไปรับการบำบัดทางจิต ที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ พุทธมณฑล สาย ๔ กทม.

กรณีต่อมา เหตุเกิดที่กรุงเทพฯ แต่ไม่เป็นข่าว สามีมีภรรยาน้อย ภรรยาน้อยแสดงให้สามีเห็นว่า ตนเองเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ ให้เอาน้ำร้อนราดตัว ตอนแรกสามีไม่กล้า ต่อมาเริ่มมีความเชื่อ สามีก็ทำตามภรรยาน้อย เอาน้ำร้อน
มาราด ภรรยาน้อยเป็นแผลพุพองไปทั้งตัว

เท่านั้นยังไม่พอ ภรรยาน้อยยังบอกว่า มีอิทธิฤทธิ์ นอนลอยบนน้ำได้ พาสามีไปที่สระน้ำแห่งหนึ่ง เพื่อแสดง อิทธิฤทธิ์ ผลสุดท้าย ภรรยาน้อยจมลงไปในสระ สามีไม่กล้าช่วย เพราะเชื่อว่า ภรรยาน้อย จะลอยขึ้นมาเอง

กรณีนี้จบลงตรงภรรยาน้อยตายเป็นศพจมก้นสระ ส่วนสามีถูกดำเนินคดีข้อหา ไม่ช่วยผู้ซึ่งตกอยู่ใน ภยันตราย

ทั้งสองกรณีนี้ แพทย์ผู้ดูแลอธิบายว่า เหมือนกรณีที่ดำเนินสะดวก คนคนหนึ่งสามารถทำให้คน อีกคนหนึ่งเชื่อตามได้

กรณีที่ดำเนินสะดวก ร่องรอยการขัดขืนของเด็กไม่มี และญาติๆ อีก ๒ คน ก็ไม่ห้าม ยอมให้มีการเชือดคอเด็ก

ก่อนหน้านั้น ครูประจำชั้นพบว่า ด.ญ.ประภัสสร มักหลับในเวลาเรียน สอบถามได้ความว่า ตอนกลางคืนโดนที่บ้านบังคับให้นั่งสมาธิจนไม่ได้นอน

วันที่ ๓๑ กันยายน ๒๕๔๗ ป้าเดินทางมารับ ด.ญ.ประภัสสร ก่อนเวลาเลิกเรียน อ้างกับครูว่า ต้องรับกลับบ้านเพื่อไปทำพิธี

๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ ญาติๆ ทางกรุงเทพมหานคร เดินทางมาที่บ้านร่วมทำพิธีสวดมนต์ นั่งสมาธิ และนั่งจับมือต่อๆ กัน เพื่อให้คนที่เป็นแม่ของเด็กหลุดพ้นจากความชั่วร้าย

เมื่อญาติเดินทางกลับ เหตุร้าย...ไม่คาดฝันจึงเกิดขึ้น

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ หมอผีจอมขมังเวทย์ อย่างอดีตเณรแอ แสดงความคิดเห็นเอาไว้ว่า

การกำจัดพวกเจ้าเข้าทรงนั้นถือว่าดีมาก เพราะปัจจุบันตั้งแต่ตนเองเรียนวิชาทางด้านไสยศาสตร์นี้มา ยังไม่เคยเห็นว่ามีเจ้าทรงองค์ไหนเป็นของจริงเลย พวกนี้เป็นพวกหลอกลวงทั้งหมด มี ๑๐๐ คน ก็หลอกลวงทั้ง ๑๐๐ คน พฤติกรรมพวกนี้มันเอาของสูงดึงลงมาต่ำทั้งหมด เช่น การเข้าทรงร่าง พระแม่ อุมาเทวี พระศิวะ หรือกระทั่ง ร.๕ ถือว่าเป็นพฤติกรรมเลว รัฐควรเข้ามาคุมด่วน แต่หาก ภาครัฐหรือ กรมสุขภาพจิต หรือตำรวจต่างๆ จะมาจำกัดสิทธิของพวกหมอผีไสยขาวและไสยดำนั้น บอกให้เลยว่าเปล่าประโยชน์ เพราะว่าหมอผีอย่างพวกเรามีจรรยาบรรณ มีกฎเกณฑ์ "ผมต่างหาก ที่เสียสละอนุรักษ์วิชาไสยศาสตร์ของคนโบราณเอาไว้" เณรแอกล่าว (ไทยโพสต์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๗)

แต่ในทัศนะของพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ซึ่งมีประสบการณ์ค้นคว้าทดลองทั้งด้านไสยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทางจิต และพุทธศาสตร์ เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่า "จิตวิญญาณ" คืออะไรกันแน่? สุดท้ายท่านก็ได้ค้นพบว่า ........

อาตมาเล่นไสยศาสตร์มา ๘ ปี ก่อนที่จะมาเป็นพระ ก่อนที่จะมาพบสัจธรรม ตั้งแต่เป็นฆราวาส อาตมาไปเล่นไสยศาสตร์มา ๘ ปี เล่นเรื่องผีเรื่องสาง เล่นเรื่องเทวดา ฟ้าดินโด่ๆ เด่ๆ อะไรอย่างนี้ อย่างไสยศาสตร์ อย่างที่มันไม่รู้เรื่องนี่ เล่นมานึกว่ามันจริงเหมือนกัน

โอ๊ย ! สู้กับผีกับเจ้า ผีตายโหง ตายเหว เชิญวิญญาณมาสู้กันไอ้โน่น ไอ้นี่ อู๊ ! ปราบกันมานักต่อนัก เล่นกันน่าดูเลย นึกว่ามันจริงนะ พอมาพบสัจธรรมถึงรู้ได้ว่า แหมเรานี่โง่สะบัดเลย ไปเล่นเรื่อง บ้าๆ บวมๆ ความจริงมันไม่มีอะไร แต่เราก็ไปปั้นให้เป็นตัวอะไรอยู่ได้ตั้งนาน เสียเวลามาตั้ง ๘ ปี เล่นมาอยู่นั่น พอมาพบสัจธรรมแล้ว ถึงเห็นจริงว่า ผีนั้นไม่ใช่เช่นนั้น

ผี คือ วิญญาณ จับเป้าตรงนี้เสียก่อน ผี คือ จิตวิญญาณ จิตวิญญาณนั้น ไม่ได้มีลักษณะ ตามที่เราเดา หรือคนที่ด้อยพัฒนา คนที่เป็นอนารยชนนี่เข้าใจ ไม่ใช่ ผีไม่ใช่อย่างนั้น จิตวิญญาณ ไม่ได้เป็นอย่าง ที่เราคิด ไม่ได้เป็นอัตตาตัวตนลอยฟ่องแฟ่ง ไปอยู่ที่โน่นที่นี่ ตามอะไรต่างๆ นานา เสร็จแล้ว ก็ไปเกาะอยู่ที่ภูเขา ไปเกาะอยู่ที่ต้นไม้ ต้นตะเคียน หรือว่าต้นโพธิ์ใหญ่ๆ เสร็จแล้วก็เอา ผ้าแดง ไปผูกให้มัน เอาผ้าจีวรไปผูกให้มัน แหม ยังจะให้ผีนั่นเป็นพระเอาผ้าจีวรไปใส่

บ้างก็ปลูกศาลเจ้าขึ้น ทาสีแดง สีเขียวอะไรขึ้นมา เอาพวงมาลงพวงมาลัย ไอ้ผีบางตัว เล่นเครื่องบินเ สียด้วยนะ แหม ทันสมัยเหลือเกิน อาตมาเห็นศาลเจ้าอยู่ศาลหนึ่ง โอ้โฮ! ห้อยไปด้วยเครื่องบินสารพัด คงจะเอาไปสังเวยกันน่ะ คงบอกว่าผีเจ้านี้ชอบเล่นเครื่องบิน เอาเครื่องบินไปถวาย บางที บางศาล ก็เอาช้าง บางทีก็เอาตุ๊กตาอะไรต่างๆ นานา ซึ่งมันเป็นความหลง เลอะเทอะนะ ไอ้สิ่งอย่างนั้น ไม่มี อาตมาท้าทายมานานแล้ว ผีอย่างนั้น ถ้ามีจริง จับมาให้อาตมา จับมา เอามาขายอาตมา อาตมาจะซื้อ ผียังงั้น ถ้ามีจริงน่ะ มันไม่มีหรอก มันไม่มี มันไม่เป็นจริง เป็นเพียงอุปาทานคน อุปาทานนี่ มันเหลือกำลังนะ จนเราเข้าใจไม่ได้ว่าอุปาทานคืออะไร

อุปาทาน คือจิตเรานี่ ใจเราเองนี่ มันเป็นความหลอน หลอก มันหลอกตัวเอง แล้วก็ปั้นอุปาทาน นี่คือ ความปั้น ปั้นเหมือนจริง ได้ยินเสียงบ้าง ได้กลิ่นบ้าง

เรื่องของอุปาทาน ทำให้ตาเห็นเป็นรูปผียืนท่วมห้องประชุมนี้เลยก็ได้ สูงเชียวล่ะ ดำด้วย ขาแขนกาง เห็นได้ นานาสารพัด ได้กลิ่น อุ๊ย! กลิ่นมาเลยนี่ หอมเหมือนกลิ่นธูป หอมเหมือนกลิ่นเธอ เหม็นเหมือน กลิ่นคนเน่า คนตาย ไอ้ทวารทั้ง ๕ ทวาร ทั้ง ๖ ของเรานี่แหละมันเป็น มันปั้น เรียกว่า "อุปาทาน" ปั้นขึ้นมา มาเป็นจริงๆ อย่าว่าแต่เพียงเห็นด้วยตา ได้ยินเสียงด้วยหู ได้กลิ่นด้วยจมูกเลย

คุณสัมผัส เหมือนมีเนื้อมีตัวจริงๆ ก็ได้ เป็นนางไม้ นางไพร เป็นผีตานี เป็นคู่สมสู่ คุณเคยได้ยิน บ้างไหม? เป็นคู่สมสู่ด้วยนะ เป็นผีผู้หญิงนี่ โอ้โฮ สมสู่กันอยู่อย่างกะผัวอย่างกะเมียเลย เหมือนมีตัว มีตนจริงๆ บ้าอยู่คนเดียวน่ะ ลมๆ แล้งๆ แล้วเขาก็มีตัวมีตนจริงๆ นะ เขาเหมือนสัมผัสติดจริงๆ เลย ทั้งเห็นรูป ทั้งคลำพบ คลำเนื้อ คลำตัว เกี่ยวข้องกันอย่างกับผัวกับเมีย

คุณบอกว่า ทำไมคนนั้นเขาเห็นจริงๆ เลย เห็นจริงๆ คุณ แต่มันของจริงๆ ที่ไม่จริง มันเป็นของลวง มันเป็นมายา และมันเป็นได้ปานนั้น เพราะฉะนั้น เรื่องอย่างนี้นี่มีมานานแสนนานแล้ว

พระพุทธเจ้านี่มาค้นพบจิตวิญญาณที่จริง ท่านตรัสรู้ พิสูจน์จิตวิญญาณได้ชัดว่า วิญญาณัง อนัตตา วิญญาณอันบริสุทธิ์แล้วโดยไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลส ไม่มีอุปาทาน ไม่มีตัณหา ไม่มีกิเลส ตัณหา อุปาทาน แล้วเสร็จ วิญญาณบริสุทธิ์นี่เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน แต่ถ้ามีกิเลสอยู่ มันก็เป็นตัวตน แม้มันเป็นตัวตน วิญญาณอย่างที่มีกิเลส มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่ว่าลอยฟ่องออกไป แล้วก็ไป มีฤทธิ์มีเดช ไม่มีการเที่ยวได้วุ่นวายกับอันนั้นกับอันนี้ ไม่ใช่

อาตมาจะพิสูจน์ให้ฟังว่า วิญญาณอย่างนี้ ไม่มีจริง ไม่จริงอย่างไร อาตมาจะพิสูจน์ ให้ฟัง

คนเรานี่นะ ในบ้านไหนก็ตาม ต้องมีคนรักกันใช่ไหม พ่อแม่มีลูกก็รักลูก ลูกมีพ่อมีแม่ก็รักพ่อ รักแม่ ผัวเมียคู่รักกันก็ต้องรักกันใช่ไหม ทีนี้ในบ้านแต่ละบ้านนี่ พ่อแม่ตายลูกก็ต้องรักพ่อแม่ใช่ไหม ถ้าวิญญาณมีจริง พ่อแม่ตาย พ่อแม่ก็ต้องมาหา ถ้าวิญญาณพ่อแม่ก็ต้องมาที่บ้าน ถ้ามันเป็น วิญญาณ ที่มาได้ มันมาสะกิดได้ มันมาหากันได้ มันจะต้องมาหาวันหนึ่งร้อยเที่ยว

แต่แท้จริงแล้วขนาดที่คุณรักกันจะตาย อย่างเช่นเมื่อพ่อแม่เราตาย ด้วยความรัก เราก็อยากให้ วิญญาณ ของพ่อแม่มาหา ให้คิดถึงหรืออยากจะพบอย่างมากมาย จนใจจะขาด ยังไงๆ มันก็ไม่มี มันก็ไม่มา แล้วคนมากเลยที่อยากจะให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้วนี่ มีวิญญาณมาหา มาอย่างเก่านี่แหละ มาอยู่อย่างเก่านี่แหละ แต่มันมาไม่ได้เพราะมันไม่มี ไอ้ที่มีนั่นคืออุปาทาน ที่นึกว่ามันมา นานๆ จะมีสักรายสองราย ใช่ไหม คุณคิดดู ใช่ไหม พวกนั่นโรคอุปาทานน่ะ มันถึงมีได้ ทีนี้พอคนที่อยาก ให้มา อุปาทานไม่ถึง ปั้นไม่ไหว จึงไม่มี

พระพุทธเจ้าเกิดมาในท่ามกลางสังคมพราหมณ์ ซึ่งทั่วประเทศอินเดียในขณะนั้น สังคมพราหมณ์ เป็นลัทธิยิ่งใหญ่ เชื่อถือว่ามีวิญญาณใหญ่ เรียกว่าปรมาตมัน เป็นวิญญาณสากลที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เสร็จแล้ววิญญาณใหญ่อันนี้ก็มีฤทธิ์ มีเดชที่สามารถจะบันดาลอะไรก็ได้ อ้อนวอนเชิญมาบูชา กราบไหว้ อ้อนวอนพระเจ้า ขอให้พระเจ้าช่วยอย่างโน้นอย่างนี้ พระพุทธเจ้านี่ เป็นชนที่เกิดมา ในท่ามกลาง สังคมลัทธิอย่างนี้ ท่านก็ศึกษาลัทธิพราหมณ์ จนทะลุปรุโปร่ง แล้วท่านก็ศึกษา ลัทธิของท่าน ท่านศึกษาจนกระทั่งท่านทะลุตรัสรู้ของท่านเอง

พอตรัสรู้แล้วท่านจึงได้เห็น พิสูจน์วิญญาณจนเห็นวิญญาณจริงว่า อ๋อ! วิญญาณจริงมันไม่เป็น อย่างที่เขาเข้าใจ ผู้ที่เข้าใจวิญญาณอย่างนั้น เป็นพวกที่ยังมีอวิชชา ยังไม่ทะลุอวิชชา ยังเห็น วิญญาณผิดพลาด ท่านถึงประกาศวิญญาณของท่านว่า วิญญาณแท้ๆ เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างที่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือเป็นธาตุรู้ไม่ใช่วิญญาณที่เป็นอัตตา เป็นปรมาตมัน เป็นอะไรต่ออะไร อย่างนั้น ไม่ใช่

ท่านขบถต่อศาสนาพราหมณ์เป็นใหญ่ มีพราหมณ์ผู้ใหญ่ ผู้น้อยนับถือลัทธินี้ เขาประกาศศาสนา พราหมณ์กันอยู่อย่างใหญ่โตมโหฬาร พระพุทธเจ้าตอนนั้นประกาศลัทธิ ซึ่งตรงกันข้ามกับอัตตา เป็นลัทธิ อนัตตา เป็นลัทธิวิญญาณไม่ใช่ตัวตน สู้กับพราหมณ์จนสร้างศาสนาได้สำเร็จอย่าง น่าภาคภูมิ สำเร็จอย่างเรียกว่าผงาดเลยทีเดียว

บทสรุป จากปรากฏการณ์พิลึกพิลือที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ในสังคมชาวพุทธ ดูเหมือนว่า จะเป็นเรื่อง ของคนผิดปกติ เพียงไม่กี่คนเอง อาจเหมือนภูเขาก้อนน้ำแข็งที่ลอยให้เห็นเป็นส่วนน้อย แต่จริงๆ แล้วมีความหลงงมงายอันมหึมาอยู่ใต้น้ำมากมาย

โดยเฉพาะศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งอนัตตา แต่น่าเป็นห่วงว่า เราจะได้ประโยชน์จากการ ลดละ อัตตา เพื่อไปสู่อนัตตามากน้อยแค่ไหน ? เพราะในวิถีชีวิตจริงๆ ของชาวพุทธ ล้วนแล้วเป็นไปเพื่อ ความเพิ่มพอก อัตตา ๓ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม ๙ ทั้งสิ้น

๑. เพิ่มพอกทั้ง โอฬาริกอัตตา (หลงยึดมั่นอุปาทานในวัตถุสิ่งของ จนหลงสนิทว่าเป็นตัวกู-ของกู) ไม่ว่าจะเป็น บ้านของเรา เงินทอง เพชรนิลจินดาของเรา หมาของเรา แมวของเรา จนกระทั่ง "กิน - กาม -เกียรติ" ก็หลงมัวเมาว่าเป็นของเรา

๒. เพิ่มพอกทั้ง มโนมยอัตตา (หลงยึดมั่นในอุปาทานจิตที่ปั้นหรือนิรมิตขึ้นมา จนจิตปั้นได้สำเร็จจริง แต่เป็นของไม่จริง เหมือน
คำโกหกที่มีจริง แต่เป็นของไม่จริง) สำหรับผู้มีปรากฏการณ์ ประสบด้วยตัวเอง ก็จะเกิดความเชื่อถือ ยึดมั่นได้สูงยิ่ง จนสามารถเห็นได้ ทั้งผี สาง นางไม้ พระอินทร์ พระพรหม หรือเห็นกระทั่งหลวงปู่แหวนนั่งอยู่บนเมฆ ฯลฯ และก็จะพากันไปหลงใหล งมงาย บูชา ขอพึ่งวิญญาณที่เป็นอัตตาเหล่านี้ ทั้งที่แก่นแท้ของศาสนาพุทธ เน้น อัตตาหิ อัตตโน นาโถ

๓. เพิ่มพอกทั้ง อรูปอัตตา (สภาพที่เราสำคัญมั่นหมายในจิต แล้วก็หลงยึดเป็นตัวเป็นตนสำเร็จ) ไม่ว่าจะเป็นอัสสาทะ (รสอร่อย) ที่ติดยึดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือการยึดความเห็น ยึดศักดิ์ศรี ยึดความเก่ง ความสามารถจนเป็นตัวกู และเจ้า "กู" (อัตตา) นี่แหละก็จะนำพาให้มีอันเป็นไป ให้สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เมื่อได้สมใจหรือไม่สมใจ

ไอน์สไตน์ ได้กล่าวว่า "ศาสนาในอนาคตจะต้องเป็นศาสนาแห่งสากล ซึ่งล่วงพ้นจากความเชื่อ ในเรื่อง พระผู้เป็นเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยมีหลักการที่จะต้องตั้งอยู่บนรากฐาน ของความศรัทธา ที่เกิดจาก การสะสมประสบการณ์ในทุกๆ ด้าน ทั้งในด้านธรรมชาติและด้านจิตวิญญาณ อย่างมี เหตุผล พุทธศาสนาเป็นคำตอบสำหรับหลักการดังกล่าวนี้"

ปัจจุบันเราภูมิใจว่าไทยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลก แต่ในอนาคตเราอาจจะเหมือนอินเดีย ที่ไม่สามารถ รักษาพุทธศาสนาเอาไว้ได้ เพราะไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของพุทธศาสนาที่เป็น "อนัตตา" นั่นเอง.



เพราะวิญญาณเป็นเหตุจึงเกิดนามรูป
นามรูปจะขาดในท้องแห่งมารดาไม่ได้เลย
นามรูปจะบังเกิดเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่ได้เลย
เมื่อยังเยาว์วัยอยู่ จะขาดความสืบต่อ
เพราะนามรูปเป็นเหตุจึงเกิดวิญญาณ
ความเกิดขึ้นแห่งการเกิด แก่ ตาย และกองทุกข์
ดังนั้นวิญญาณและนามรูป จึงทำความเกิด แก่ ตาย
ทางแห่งบัญญัติ ทางที่กำหนดรู้ด้วยปัญญา
ก็วิญญาณจะยังไม่หยั่งลงในท้องแห่งมารดา
ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดา แล้วจะล่วงเลยไป
ก็ถ้าวิญญาณ เด็กชายก็ตาม เด็กหญิงก็ตาม
นามรูปจะถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ไม่ได้เลย
ก็ถ้าวิญญาณจะไม่ได้อาศัยในนามรูปแล้ว
จะพึงปรากฏต่อไปไม่ได้เลย
จิตตกล่วง จิตเกิดสูง ทางแห่งชื่อ ทางแห่งภาษาและคำพูด
และการเวียนตายเวียนเกิด ย่อมเป็นไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้ฯ


* พระไตรปิฎก ภาษาไทย ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ "มหานิทานสูตร" ข้อที่ ๖๐

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ -