*** พลัดพรากเพื่อพัฒนา
มีพี่น้อง ๓ คน เป็นลูกสาวคนโต พ่อรับราชการครูและเสียชีวิตตั้งแต่ลูกยังเล็ก
หลังจากพ่อเสียชีวิต แม่ต้องเลี้ยงดูลูก ๓ คน แม่เป็นแม่ที่ดี รักลูกมาก
ทำทุกอย่างเพื่อลูก
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ดิฉันไม่ได้อยู่กับแม่ มีเหตุให้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
เพื่อนของแม่รู้จักกับอาจารย์ฉวี จุลชาติ ซึ่งเป็นเจ้าของ ร.ร.พาณิชยการราชดำเนิน
เล่าเรื่องแม่ให้ท่านฟัง ท่านอยากจะช่วยดิฉัน ให้มีโอกาสศึกษาอย่างดี จึงมาขอดิฉันจากแม่ไปเลี้ยงดู
ทีแรกแม่ไม่อยากให้ แต่ท่านแสดงความจริงใจ และย้ำว่าไม่ได้เอาลูกไปไหน เอาไปเรียน
จะไปเยี่ยมเมื่อใด จะไปค้างกับลูกก็ได้ ในที่สุดแม่จึงยอม
ไปอยู่กับอาจารย์ตั้งแต่อายุประมาณ ๘ ขวบ จนเรียนจบ ปวช. ปัจจุบันเรียน มสธ.
คณะบัญชี ปีที่ ๒ หลังจากอาจารย์เสียชีวิต จึงกลับมาอยู่กับแม่
*** ความทรงจำครั้งอยู่กับอาจารย์
ช่วงอยู่กับอาจารย์ ได้ฝึกความอดทน เพราะเป็นบ้านหลังใหญ่ มีคนมากมาย หลากหลายนิสัย
ได้ซึมซับความใจดี ชอบช่วยเหลือ ท่านจะสอนให้ขยัน ประหยัด มีระเบียบ มารยาทสังคม
บางครั้งก็ดุเมื่อทำผิด ดิฉันเป็นเด็กที่รักความดีอยู่แล้ว ก็จะซึมซับตัวอย่างที่ดีจากลูกๆ
ของท่าน
สิ่งหนึ่งที่ท่านให้ทำซึ่งต้องฝืนความรู้สึกขณะนั้น แต่ทำให้ดิฉันเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา
คือลูกของท่านตอนไปเรียนเมืองนอก ก็ต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ซึ่งดิฉันได้รับการฝึกในลักษณะเดียวกัน
คือช่วงที่ดิฉันเรียน ม.ศ.๑ - ปวช. ต้องไปช่วยงานโรงเรียนเด็ก รับหน้าที่ส่งนักเรียนกลับบ้าน
จึงจะได้เงินค่าขนม ส่วนเรื่องอื่นๆ ค่าหนังสือ เสื้อผ้า ทุกอย่างดิฉันจะได้ของใหม่และคุณภาพดีทุกปีก่อนเปิดเทอม
จนรู้สึกว่า ทำอย่างไรจะใช้อย่างประหยัด เช่น รองเท้าต้องซื้อให้ขนาดใหญ่หน่อยจะได้ไม่ต้องซื้อบ่อย
ส่วนการเลือกเรียน ท่านให้ตัดสินใจเอง
*** ประสบการณ์วัยทำงาน
ปี ๒๕๒๒ จบ ปวช. ทำงานที่โรงเรียนพาณิชยการราชดำเนิน ประจำฝ่ายวิชาการและเรียนรามฯ
ไปด้วย ซึ่งอาจารย์พอใจที่ดิฉันเรียนต่อและคอยถามผลการเรียนเสมอ ทำอยู่ได้
๒ ปี ก็ลาออก เนื่องจากช่วงนั้นสุขภาพไม่ค่อยดี จึงขอท่านว่าจะไปทำงานที่บริษัทเวสท์โอเรียนท์
และทางบริษัทให้เรียนต่อด้วย ท่านก็อนุญาต
อยู่ได้ ๒ ปี เศรษฐกิจฟองสบู่แตกครั้งแรก บริษัทเปลี่ยนผู้บริหาร ไปอยู่กับทีมใหม่อีก
ทำหน้าที่ฝ่ายขาย อยู่ได้ช่วงหนึ่งก็เปลี่ยนผู้บริหารอีก ไม่นานก็ลาออกเนื่องจากขัดแย้งทางความคิดกับเพื่อนพนักงาน
ไม่มีความสุขในการทำงาน รวมเวลาทำงาน ๑๓ ปีเศษ หลังจากนั้นร่วมลงทุนกับน้องชายค้าขายส่วนตัว
*** เริ่มแสวงหา
ในปี ๒๕๒๔ ได้ยินข่าวลือว่าโลกาจะวินาศ สภาพสังคมที่อยู่ตอนนั้น บางครั้งก็มีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น
มีคนตายบ่อย สิ่งเหล่านี้ทำให้ดิฉันคิดว่าทำอย่างไรจะให้มันดีขึ้นได้ บังเอิญเพื่อนเอาใบปลิว
มีข้อความว่า การบวชชีพราหมณ์จะช่วยให้โลกไม่วินาศมาให้ และชวนไปบวชชีพราหมณ์
ก็ตอบตกลงทันที ขณะที่บวชจำได้ว่าเขาสอนเรื่องศีล ๘ กินมังสวิรัติ ดิฉันก็ปฏิบัติได้แบบเคร่ง
มาคิดทบทวนดูความเคร่งครัดของเรา เช่น ไม่ร้องเพลง ก็ไม่ร้องจริงๆ พอเผลอไปนิดหนึ่ง
รีบสอนตัวเองทันทีว่าเราถือศีลอยู่ ก็หยุดได้ และมีอีกข้อความหนึ่งสอนว่า
"ใครอยากขึ้นรถด่วนขบวนสุดท้ายให้กินมังสวิรัติทุกวันพระ"
ดิฉันก็ปฏิบัติตาม ยังจำความรู้สึกได้ว่า มีความสุขเหมือนกับว่าได้เข้าใจสัจธรรมมากขึ้น
ทำให้ศรัทธาอยากไปปฏิบัติอีกถ้ามีโอกาส เพื่อช่วยให้สังคมดีขึ้น
ครั้งที่สองไปต่างจังหวัด ครั้งนี้การสอนและพฤติกรรมของคนที่ไปปฏิบัติ มีความแตกต่างจากครั้งแรกมาก
มีการเทศน์ตอนกลางคืน มีสายสิญจน์ล้อมรอบ อยู่ดีๆก็มีคนลุกขึ้นมารำ บางคนร้องไห้
ทำกิริยาแปลกๆ เห็นแล้วตกใจมาก กลัวว่าจะเป็นแบบพวกเขา จนควบคุมความรู้สึกกลัวเกือบจะไม่ได้
ก็ได้แต่นึกถึงพระพุทธเจ้าขอให้ช่วย
*** พบแสงสว่าง
ต่อมาญาติธรรมของสันติอโศกชวนไปร่วมงานศีลสมโภชที่สวนลุมพินี ได้ฝึกปฏิบัติและเอาชนะตัวเอง
ตอนเข้าแถวนั่งกินข้าว คนที่นั่งตรงข้ามเป็นเด็กผู้ชาย ดูแล้วเหมือนขอทาน
เกิดความรังเกียจ อยากจะลุกไปมาก แต่ก็สอนตัวเองว่า เขาก็คนเหมือนกัน ไม่มีชนชั้น
เลยนั่งกินไป ปลงไป ทำให้ได้รู้จักสันติอโศกเป็นครั้งแรก
ญาติธรรมคนเดิมชวนไปสันติอโศก ได้ฟังพ่อท่านเทศน์เกี่ยวกับเรื่องผีไม่มี
การทรงเจ้าไม่จริง อธิบายจนดิฉันเข้าใจ รู้สึกเหมือนเกิดใหม่ เพราะก่อนหน้านั้นทุกข์มาก
หลังจากฟังธรรมเสร็จก็นำคำสอนไปปฏิบัติจนความกลัวลดลงไปเรื่อยๆ ตามลำดับ
จากนั้นก็ไปฟังธรรมทุกอาทิตย์ และตั้งใจว่า ถ้าหมดภาระจะมารับใช้การงานของพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
*** ภูมิใจในความเป็นไทย
เวลาไปวัดก็นุ่งผ้าถุง ใส่เสื้อม่อฮ่อม รู้สึกภูมิใจในความเป็นไทย เพราะเราไม่เป็นตัวอย่างให้คนอื่นเอาอย่างการแต่งตัวตามแฟชั่น
สร้างความฟุ่มเฟือย แม้จะไม่ค่อยสะดวกเพราะต้องขึ้นรถเมล์ และสายตาผู้คนที่มองมา
*** สู่ชีวิตบุญนิยม
ปี ๒๕๓๕ ดิฉันลาออกจากงานที่บริษัท แต่ก็ยังมีการค้าเล็กๆ ที่ทำร่วมกับน้องชาย
โดยไม่ต้องทำทุกวัน จึงมีเวลา เริ่มมาช่วยงานที่บริษัทพลังบุญ ทำหน้าที่พนักงานแผนกยา
ต่อมาช่วยทำแผนกบัญชี และทำมาจนปัจจุบัน
พลังบุญ ฝึกดิฉันให้เปลี่ยนแปลงและปรับตัวตลอด หากพนักงานขาด ลาป่วย ในแต่ละหน้าที่
เช่น ฝ่ายขาย จัดซื้อ การเงิน ดิฉันก็เข้าไปทำแทนด้วยความรู้สึกอยากแก้ปัญหา
อยากจะทำให้ดี แม้บางครั้งถูกว่าก้าวก่ายหน้าที่คนอื่น
การได้ทำงานทุกตำแหน่ง ทำให้มีความเข้าใจระบบบุญนิยม เข้าใจนโยบาย ของบริษัทอย่างลึกซึ้งขึ้น
เห็นความสำคัญอย่างมากว่า นโยบายคือเป้าหมายในการปฏิบัติงาน เป็นความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมจนมันเป็นตัวเรา
นโยบายการค้าบุญนิยม ๕ ข้อ คือ
๑. ขายถูก เวลาซื้อสินค้ามา บริษัทจะบวก ๑๐-๑๕
เปอร์เซ็นต์ (ฐานการคิดเปอร์เซ็นต์ตั้งเพื่อให้บริษัทพออยู่ได้
แตกต่างจากระบบทุนนิยม จะคิดค่าใช้จ่ายทั้งหมด+ค่าโสหุ้ย+ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด+กำไร)
๒. ไม่ฉวยโอกาส นโยบายการค้าระบบบุญนิยม จะพยายามขายต่ำกว่าราคาท้องตลาด
โดยไม่เอากำไร มาก สินค้าตัวไหนที่เห็นว่าเป็นของดี ควรเผยแพร่ผู้บริโภคได้กินได้ใช้
เช่น ข้าวกล้อง ผัก-ผลไม้ ไร้สารพิษ เทปเพื่อสุขภาพ เทปธรรมะ ก็จะบวกให้น้อยหรือขายเท่าทุน
นอกจากนี้ พลังบุญ เป็นบริษัทเดียว ที่เปิดเผยราคาซื้อให้ลูกค้าทราบ โดยที่ป้ายราคาสินค้าบรรทัดบน
จะระบุราคา ที่ซื้อมา ให้ลูกค้าทราบ ส่วนบรรทัดล่างเป็นราคาขาย เพื่อลูกค้าจะได้ตรวจสอบก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า
๓. ขยัน อุตสาหะ การขายสินค้าราคาถูกโดยบริษัทอยู่ได้
พนักงานจะต้องมีความขยัน อุตสาหะ เช่น ปัจจุบันดิฉันรับหน้าที่ตำแหน่งผู้จัดการ
โดยผู้จัดการต้องทำได้ทุกอย่าง ไม่ใช่สั่งได้ทุกอย่าง
อาทิ เป็นทั้งแคชเชียร์ พนักงาน ประจำสินค้า ทำความสะอาด เป็นต้น
๔. ประณีต ประหยัด เมื่อขายในราคาถูก คนทำงานก็ต้องประหยัด
ระมัดระวังค่าใช้จ่าย ค่าน้ำ-ไฟ-โทรศัพท์ ค่าสินค้าสูญเสีย ทรัพย์สินของบริษัททุกอย่างต้องช่วยกันดูแล
ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าไม่ระมัดระวังบริษัทก็อยู่ไม่ได้
๕. ซื่อสัตย์-เสียสละ เป้าหมายของบริษัทพลังบุญ
ต้องการจะอาศัยการค้าขายในระบบบุญนิยม เป็นสื่อในการสอนให้ผู้คนรู้จักความซื่อสัตย์
เสียสละ ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน มีความจริงใจ ไม่โกหกหลอกลวงกัน ฯลฯ การพัฒนาให้พนักงานมีการประพฤติปฏิบัติธรรม
มีความซื่อสัตย์เสียสละก่อน จึงเป็นหัวใจสำคัญของงาน พนักงานจะมีกิจกรรมการประชุมและฟังธรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอทุกสัปดาห์
เพื่อเรียนรู้การพัฒนาตัวเอง โดยอาศัยการทำงาน เป็นแบบฝึกหัดในการปฏิบัติธรรม
นอกเหนือจากการค้าขายปกติแล้ว ทุกวันที่ ๕ ธ.ค. เป็นประเพณีทุกปี ที่บริษัทจะทำอาหารแจกฟรีให้กับลูกค้า
เรียกว่าโรงบุญห้าธันวา
ทุกปีใหม่ จะไปขายของต่ำกว่าทุนที่ตลาดอาริยะ ชุมชนราชธานีอโศก อ.วารินชำราบ
จ.อุบลราชธานี โดยตั้งงบขายขาดทุนปีละประมาณสองแสนบาท เพื่อเป็นการสะพัดคืนให้แก่ประชาชน
*** เครดิตเหนือเครดิต
นโยบายการซื้อ-ขายของบริษัท จะซื้อ-ขายเป็นเงินสดเท่านั้น และเน้นเศรษฐกิจพอเพียง
โดยทำงานตามกำลังทุน ไม่เป็นหนี้ ซึ่งสร้างความสบายใจให้แก่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
ต่างคนต่างไม่เป็นหนี้กัน
ดิฉันภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ทำงานที่บริษัทพลังบุญ ซึ่งมีเป้าหมายหลักคือการพัฒนาคนให้ลด
ละ เลิกสิ่งฟุ้งเฟ้อเกินความจำเป็นในชีวิต รู้จักการเสียสละให้แก่สังคม ไม่ใช่มุ่งแต่กำไรสูงสุด
หรือทำอย่างไรจึงจะขายให้ได้เงินมากๆ
*** อุดมการณ์ที่ปฏิบัติได้
บริษัทพลังบุญเป็นร้านค้าเล็กๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าสามารถช่วยเหลือสังคมในด้านเศรษฐกิจได้อย่างมากมาย
โดยช่วยให้คนที่มีโอกาสน้อยในสังคม ไม่มีเงินลงทุนมาก ไม่มีความรู้ในเรื่องการตลาด
มีโอกาสนำสินค้ามาขายที่ร้านพลังบุญ โดยบริษัทจะเน้นสนับสนุนสินค้าชุมชน
และจ่ายเงินสดทันทีที่ซื้อสินค้า ซึ่งผู้ขายสามารถนำเงินไปทำทุนต่อได้ทันที
ด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เราพยายามทำ โดยเลือกขายสินค้าไร้สารพิษ เช่น พืช
ผัก ผลไม้ กระบวนการปลูกต้องไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ทุกขั้นตอนของการปลูก
ซึ่งดินก็ไม่เสีย ผู้ปลูกก็มีสุขภาพดี ผู้บริโภคก็สุขภาพดี อีกเรื่องที่พลังบุญทำมาตั้งแต่เปิดร้าน
คือไม่ซื้อถุงพลาสติกมาใส่สินค้า ใช้ถุงกระดาษบ้าง แจกถุงผ้าบ้าง ขายถุงผ้าต่ำกว่าทุนบ้าง
จนกระทั่งลูกค้าเข้าใจ นำถุงพลาสติกที่ใช้แล้วมาบริจาค บางคนก็เตรียมถุงพลาสติก
ถุงผ้า ตะกร้า มาใส่สินค้าเอง ซึ่งช่วยลดการสร้างมลภาวะสิ่งแวดล้อม ทำให้รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจลูกค้ามาก
ถึงวันนี้ตั้งมาได้ ๑๗ ปี พนักงานในบริษัททุกคนถือศีล
๕ ละอบายมุข กินมังสวิรัติ รับเงินเดือนไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันเปิดบริษัทจนปัจจุบัน
ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร เราก็ยังยืนหยัดอยู่บนวิถีชีวิตแบบบุญนิยม
*** เป้าหมายบริษัทพลังบุญ
ในขณะที่ระบบทุนนิยมซึ่งกำลังครอบงำโลกทุกวันนี้ ปลุกเร้าให้ผู้คนแข่งขันกัน
เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ตักตวงกอบโกยกำไรมากๆ คิดเงินเดือนแพงๆ เป็นระบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก
หาเล่ห์เหลี่ยมเชิงชั้นต่างๆ ที่จะดึงเอาเงินจากกระเป๋าของคนอื่นมาเข้ากระเป๋าตัวเอง
ฯลฯ เมื่อทรัพยากรในโลกมีจำนวนจำกัด แต่ความโลภของผู้คนถูกปลุกเร้าให้ขยายตัวเพิ่มากขึ้นๆอย่างไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด
การแย่งชิงทรัพยากรที่มีจำนวนจำกัด สุดท้ายก็จะนำไปสู่การเบียดเบียน ทำร้าย
ทำลายกันอย่างแน่นอน และสังคมมนุษย์จะประสบกับความหายนะ เพราะการเบียดเบียนกันในที่สุด
เป้าหมายของบริษัทพลังบุญ คือการสร้างตัวอย่างของระบบบุญนิยมขึ้น เพื่อสื่อแสดงและอบรมกล่อมเกลาผู้คนในสังคม
ให้มีทิศทางของความเกื้อกูลกันมากขึ้น ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ไม่กอบโกยเอากำไรมากๆ
ด้วยความโลภ ไม่คิดเงินเดือนอัตราสูงๆ (อันนำไปสู่ความจำเป็นต้องบวกกำไรเพิ่มจากผู้บริโภค)
ค้าขายอย่างซื่อสัตย์ จริงใจ ไม่โกหกหลอกหลอกลูกค้า
การสื่อแสดงด้วยการกระทำที่เกิดจริง มีจริง เป็นจริง ผ่านทางกิจการของร้านค้าบริษัทพลังบุญนี้
จะมีน้ำหนักยิ่งกว่าแค่การพร่ำสอนให้ผู้คนซื่อสัตย์ เสียสละ ลดการเบียดเบียนกัน
ฯลฯ โดยสักแต่เป็นแค่คำสอนลอยๆ ซึ่งไม่มีตัวอย่างยืนยันการกระทำเหล่านั้น
แก่นแท้ของกิจการบริษัทพลังบุญ จึงเป็นกิจกรรมของการเผยแพร่หลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนา
ไม่ใช่กิจการในการค้าขายเพื่อแสวงหาผลกำไรดังเช่นบริษัทร้านค้าทั่วไป ภายใต้หลักการที่ว่า
"ตัวอย่างที่ดี มีค่ากว่าคำสอน"