บ้านนี้ยังมีรัก โลกนี้ยังมีธรรม (กัจจานิชาดก)

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ได้ตรัสถึงอุบาสกผู้กตัญญูกตเวทีต่อมารดาผู้หนึ่ง

อุบาสกนั้นเป็นลูกผู้ดีในเมืองสาวัตถี เป็นคนที่มีมารยาทดีงาม รักและเคารพบิดามารดายิ่งนัก เมื่อบิดาได้ตายจากไปแล้ว เขายิ่งบำรุงบูชามารดาราวกับเป็นเทพเจ้าของตน โดยหมั่นขวนขวาย จัดน้ำล้างหน้า น้ำบ้วนปาก ไม้สีฟัน น้ำอาบ น้ำล้างเท้า เป็นต้น สรรหาอาหารอันประณีต แม้ข้าวยาคู (ข้าวต้มเหลวที่สามารถดื่มได้) รสเลิศ ให้มารดาได้รับประทานทุกวันไม่เคยขาด

กระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง ด้วยความห่วงใยของมารดา นางสงสารบุตรชายจึงได้กล่าวกับเขาว่า

"ลูกรัก เจ้ามีการงานมากมาย ทั้งยังต้องมาคอยดูแลแม่อีก เอาอย่างนี้เถิด เจ้าจงหาหญิงที่ดี มีสกุล ทัดเทียมกันสักคนเป็นภรรยา แล้วให้นางคอยดูแลแม่ ส่วนเจ้าจะได้มีเวลาทำการงานของตัวเอง ไม่หนักหนา เหน็ดเหนื่อยจนเกินไป"

"แม่จ๋า ตลอดมาฉันได้บำรุงเลี้ยงแม่ด้วยตัวเอง ฉันได้รับความสุข และได้ผลบุญผลประโยชน์มากมาย อย่างนี้ยังจะให้ใครมาดูแลแม่แทนฉันอีก แล้วคนอื่นที่ไหนใครเล่าจะเลี้ยงดูแม่ได้เหมือนฉัน"

"ก็จริงอยู่ แต่ลูกเอ๋ย เจ้าควรมีเวลาได้พักผ่อนมากกว่านี้ มีเวลาทำงานให้ตระกูลเจริญรุ่งเรืองได้ดีกว่านี้"

"ฉันยังไม่ต้องการครองเรือน ฉันอยากเลี้ยงดู แม่ด้วยตัวเองตลอดไป จนกว่าแม่สิ้นชีพตายจากไปแล้ว ฉันก็จะออกบวช แสวงหาสัจธรรมของชีวิต"

มารดาฟังแล้วยิ่งห่วงใยลูกชายหนักกว่าเดิม ครั้นเมื่อไม่ได้ดังใจหมาย จึงลงมือจัดการด้วยตนเอง โดยไม่ถามไถ่ลูกชายอีกต่อไป ได้ติดต่อสืบหาหญิงที่มีชาติตระกูลเสมอกันมาให้ แม้เขาจะมิได้มีใจยินดี แต่ก็มิได้คัดค้านมารดาให้ต้องเสียใจ จึงได้อยู่ร่วมกันกับหญิงนั้น

แม้หญิงที่มาเป็นภรรยา ก็เป็นดุจสะใภ้ใหม่ที่ดี นางมีความคิดตั้งใจไว้เมื่อย่างเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ว่า

"สามีของเราคนนี้ มีใจรักเทิดทูนแม่ ด้วยความอุตสาหะอันยิ่งใหญ่ เราก็ควรดูแลท่านเป็นอย่างดี หากเราทำอย่างนี้แล้ว ก็จะเป็นที่รักของสามีแน่ๆ"

จึงเอาใจใส่ปรนนิบัติแม่สามีโดยเคารพยิ่ง เป็นที่ถูกอกถูกใจของสามีนักหนา นับแต่นั้นมา หากเขาได้ ของดีๆ สวยๆ หรือของกินอร่อยๆ มา ก็จะยกให้แก่นางเพียงผู้เดียวทั้งหมด

เป็นอยู่กันด้วยความสุขเยี่ยงนี้นานพอควร จนกระทั่งภรรยาของเขาเกิดความคิดวิปริต ลืมตัวขึ้นมา

"สามีของเราได้ข้าวของอะไรที่ดี มีราคาแพง ล้วนแต่นำมามอบให้เราหมดสิ้น ไม่ได้ให้แก่แม่เลย อย่างนี้ย่อมแสดงว่ารักเรามากกว่าแน่นอน และคงจะไม่อยากให้แม่อยู่ร่วมด้วยกระมัง ก็แล้วเรา ยังจะต้องเสียเวลา ดูแลแม่ผัวให้ลำบากอยู่ทำไมอีก น่าจะหาอุบายไล่แม่ผัว ออกไปจากบ้านหลังนี้ เสียเลย"

ด้วยเหตุแห่งความโลภในลาภที่ได้มาเสมอๆ จึงขาดสติยับยั้งชั่งใจให้ดี นางก็เริ่มโกหกหลอกลวง สามีว่า

"คุณพี่ เมื่อเวลาใดที่คุณพี่ออกไปทำธุระนอกบ้าน คราวใด คราวนั้นแม่ของพี่จะมีอาการเปลี่ยนไป มักเอาแต่ด่าว่าฉันอยู่เสมอๆ เป็นประจำ ไม่รู้เพราะสาเหตุใดกัน ทั้งๆ ที่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดแก่แม่เลย พี่จะให้ฉันทำอย่างไรดีเล่า"

สามีไม่ได้ตอบอะไร เขาได้แต่นิ่งฟังแล้วเฉยเสีย นางเห็นอย่างนั้น ยิ่งคิดว่า

"เห็นทีเราจะต้องกล่าวโทษแม่ผัวให้หนักขึ้นไปกว่านี้ สามีของเราจึงจะมีโอกาสไล่แม่ของเขาได้ ทุกสิ่ง ในตระกูลนี้ จะได้ตกเป็นมรดกของลูกเราเท่านั้น"

วันต่อๆ มา นางจึงนำข้าวยาคูที่ร้อนจัดบ้าง เย็นจัดบ้าง เค็มจัดบ้าง จืดชืดบ้าง หมุนเวียนให้แก่แม่ผัว ทุกๆ วัน หากครั้งใดที่แม่ผัวบ่นออกมาว่า

"ลูกแม่ ข้าวยาคูนี้ร้อนจัดเกินไป แม่กินไม่ได้หรอก"

นางก็จะเติมน้ำเย็นใส่ให้จนเต็ม ทำให้แม่ผัวอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า

"ลูกแม่ ข้าวยาคูมันเย็นมากไปแล้ว"

เป็นเช่นนี้ นางก็จะฉวยโอกาสต่อว่าทันที

"เมื่อกี้แม่ก็บอกว่าร้อนจัดไป คราวนี้ก็บอกว่าเย็นมากไป ใครจะทำถูกใจแม่ได้"

นางกลั่นแกล้งหาเรื่องแม่ผัวอยู่ทุกวัน แม้น้ำสำหรับอาบ ก็ต้มเสียร้อนจัด แล้วเอาไปเทอาบที่หลัง ของแม่ผัว จนแม่ผัวต้องสะดุ้งปวดแสบปวดร้อน

"โอ๊ย ! หลังแม่จะสุกพองไปหมดแล้ว"

ทีนี้นางก็จะรีบไปเอาน้ำเย็นจัด มาราดรดให้แม่ผัว ที่ครวญครางอยู่ ทำให้แม่ผัวถึงกับหนาวสั่นสะท้าน ต้องต่อว่าออกมาจนได้

"เจ้านี่ก็ช่างไม่เป็นเอาเสียเลย น้ำนี้ก็เย็นมากเกินไปแล้ว"

แล้วนางก็จะเอาคำต่อว่าเหล่านี้ของแม่ผัว เที่ยวไปพูดกับชาวบ้านทั้งหลายว่า

"แม่ผัวของฉันเวลาอาบน้ำ เดี๋ยวก็ว่าน้ำร้อนไป เดี๋ยวก็ว่าน้ำเย็นไป อย่างนี้ใครจะสามารถ คอยเอาใจ ไหวเล่า"

แม้แต่ในเวลาหลับนอน ลูกสะใภ้ก็ไม่ละเว้น เมื่อแม่ผัวไหว้วานกับนางว่า

"ลูกแม่ เตียงนอนของแม่มีตัวเรือดชุกชุม ช่วยเอาออกให้แม่ที"

นางก็ขนเตียงของแม่ผัวออกมา แล้วไปเอาเตียง ของตัวเองมาเคาะใส่เตียงของแม่ผัวเพิ่มเข้าไปอีก เสร็จแล้ว ก็เอาเตียงแม่ผัวกลับไปไว้ที่เดิม พร้อมกับบอกว่า

"แม่ ฉันเคาะตัวเรือดออกให้แล้ว"

ตลอดทั้งคืนนั้น แม่ผัวจึงถูกตัวเรือดกัดมากมาย ไม่อาจที่จะนอนหลับได้เลย ต้องนั่งอยู่จนกระทั่งรุ่งเช้า เมื่อเจอ ลูกสะใภ้ ก็อดไม่ได้ที่จะสอบถามว่า

"ลูกทำเตียงของแม่ยังไง ตัวเรือดยังมีอยู่เต็มไปหมด ทำให้แม่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยทั้งคืน"

นางจะรีบโต้ตอบเถียงทันควันว่า

"เมื่อวานฉันก็ได้เคาะเตียงของแม่แล้วนี่ แม่ยังจะมาหาเรื่องอะไรฉันอีก แม่เป็นอย่างนี้ประจำ ใครจะช่วยเหลือดูแลแม่ได้"

แล้วนางก็นินทาใส่ร้ายแม่ผัวให้แก่สามีฟัง หมั่นกรอกหูสามีทุกๆ วัน แต่เขาก็ยังคงสงบใจอยู่ ไม่ได้ว่า กล่าวอะไรเลยสักคำ เป็นเหตุให้นางลงมือกระทำบาปชั่วหนักกว่าเดิมขึ้นไปอีก ครั้งนี้นางเที่ยวถ่ม น้ำลาย สั่งน้ำมูก ให้เรี่ยราดในที่ต่างๆ ทั่วบ้าน สามีเดินเหยียบบ้าง พบเห็นเข้าบ้าง จึงถามไถ่ภรรยา ด้วยความสงสัย

"ใครกัน ทำให้บ้านนี้สกปรกเลอะเทอะไปหมด"

นางจะกุลีกุจอตอบทันที

"จะมีใครเล่า นอกจากแม่ของคุณพี่เท่านั้น พอฉันห้ามว่าอย่าทำสกปรก ก็พาลโกรธทะเลาะกับฉัน ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันไม่อาจจะอยู่บ้านเดียวกันกับแม่สะใภ้กาลกิณี (อัปมงคล) อย่างนี้ได้อีกต่อไป วันนี้ คุณพี่ต้องตัดสินใจเลือกให้เด็ดขาด บ้านหลังนี้จะให้แม่อยู่ หรือจะให้ฉันอยู่"

เขาเองได้ฟังคำของภรรยาแล้ว ก็ตกลงใจกล่าวอย่างหนักแน่นมั่นคงว่า

"น้องรัก เธอยังสาว ยังสวยอยู่ สามารถที่จะไปทำมาหากินเลี้ยงชีวิตในที่ใดๆ ได้ แต่แม่ของพี่สิ! แก่เฒ่า ทุพพลภาพแล้ว มีแต่พี่เท่านั้นเป็นที่พึ่งของแม่ ฉะนั้นเธอจงออกจากบ้านนี้ กลับไปสู่ตระกูล ของเธอเถิด"

นางเองคาดไม่ถึงว่าสามีจะกล่าวเช่นนั้น ถึงกับตกใจกลัวยิ่งนัก หน้าขาวซีดเหงื่อเย็นซึมออกมา ตามขุมขน เกิดจิตสำนึกขึ้นมาทันที

"สามีของเราไม่ละทิ้งแม่ของเขาแน่แล้ว แสดงว่า แม่เป็นที่รักยิ่งของเขาโดยส่วนเดียว ไม่ใช่เราเลย แล้วนี่ถ้าเรากลับคืนบ้านเดิม เราก็จะต้องอยู่อย่างหญิงหม้าย ได้รับแต่ความทุกข์เท่านั้น อย่ากระนั้นเลย เราอดทนอยู่ที่นี่จะดีกว่า แล้วปฏิบัติรับใช้ให้แม่ผัวชื่นชมเรา เหมือนกับตอนแรก ที่เรามาอยู่ใหม่ๆ เถิด"

จากวันนั้นสืบมา นางก็ดูแลเอาใจใส่แม่ผัวเป็นอย่างดี เหมือนกับว่าตัวเองเป็นสะใภ้ใหม่ทีเดียว

ต่อมาวันหนึ่ง สามีของนางไปสู่พระวิหารเชตวัน เพื่อฟังธรรมจากพระศาสดา พระผู้มีพระภาค ตรัสถามเขาว่า

"อุบาสก ท่านไม่ประมาทในบุญกรรมมิใช่หรือ ท่านปฏิบัติเลี้ยงดูมารดาดีอยู่มิใช่หรือ?"

"พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หลังจากที่มารดาหาหญิงคนหนึ่งมาให้เป็นภรรยาแล้ว โดยที่ ข้าพระองค์ มิได้ปรารถนาเลย นางได้กระทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ หลายอย่าง แต่ก็ไม่อาจแยกข้าพระองค์ จากมารดาได้ จนในที่สุดได้สำนึกรู้ตัว เดี๋ยวนี้นางได้บำรุงเลี้ยงดูมารดาโดยเคารพแล้ว"

พระศาสดาทรงสดับเช่นนั้น จึงมีพระดำรัสว่า

"ชาตินี้ท่านไม่ได้กระทำตามคำของภรรยาก็ดีแล้ว แต่ในอดีตชาตินั้น ท่านเคยขับไล่มารดาตามคำ ของนาง มาแล้ว ดีที่ได้อาศัยเรา จึงสามารถนำมารดากลับมาเลี้ยงดูอีกได้"

อุบาสกได้ฟังดังนั้น ก็อยากรู้เรื่องแต่หนหลัง จึงทูลอาราธนาให้พระศาสดาตรัสเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง
................................

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี

กาลนั้นมีกุลบุตรคนหนึ่งของตระกูลผู้ดี เมื่อบิดาของเขาตายไปแล้ว ก็ได้เลี้ยงดูมารดาชื่อ กัจจานี อย่างดีเยี่ยม ราวกับมารดาเป็นเทวดาประจำบ้าน ของตนทีเดียว ด้วยความเคารพบูชายิ่ง

เรื่องราวการปฏิบัติมารดา เป็นทำนองเดียวกันกับที่ได้กล่าวมาแล้วทุกประการ จนกระทั่งเขาได้ภรรยา ที่มารดาหามาให้ แล้วนางก็ใช้อุบายไล่แม่ผัวต่างๆ นานา สุดท้ายได้ยื่นคำขาดกับสามีว่า

"บ้านหลังนี้ พี่จะให้แม่อยู่ หรือจะให้ฉันอยู่"

กุลบุตรนั้นถึงกับอึกอักตัดสินใจลำบาก ในที่สุดก็เชื่อถือถ้อยคำของภรรยา ด้วยความคิดหลงผิด ไปว่า

"แม่ทำตัวไม่ดี เป็นความผิดของแม่เราคนเดียว"

จึงออกปากขับไล่มารดาไปอย่างหมดความเคารพ นับถือ

"แม่จ๋า แม่จู้จี้ขี้บ่น เอาใจยาก สกปรกเลอะเทอะ ก่อการทะเลาะวิวาทด่าทอเป็นนิจ แม่จงออกไปเสีย จากบ้านหลังนี้ ไปอยู่ในที่อื่นตามชอบใจแม่เถิด"

นางกัจจานีได้ฟังคำลูกชายสุดที่รักพูดเช่นนั้น ถึงกับร่ำไห้เสียใจอย่างใหญ่หลวง ที่ลูกชายเชื่อถือภรรยา ยิ่งกว่ามารดาของตัวเอง จึงออกจากบ้านด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ ไปขออาศัยอยู่กับตระกูลที่เป็น เพื่อนกัน แล้วทำงานรับจ้างเขาเลี้ยงชีพอยู่ด้วยความยากลำบาก

อยู่มาไม่นานนัก ภรรยาของกุลบุตรนั้นได้ตั้งครรภ์ นางจึงบอกกับสามีและเที่ยวโพนทะนากับ ชาวบ้านว่า

"เห็นไหมเล่า เมื่อไม่มีหญิงกาลกิณีอยู่บ้านนี้แล้ว ฉันจึงตั้งท้องได้"

แล้วต่อมานางก็คลอดบุตร แต่ยังไม่วายที่จะใส่ร้ายแม่ผัวให้สามีที่รักฟังว่า

"ครั้งที่แม่ของคุณพี่ยังอยู่ในบ้านหลังนี้ ฉันไม่อาจที่จะได้ลูกสักคน แต่เดี๋ยวนี้ฉันได้ลูกแล้ว พี่จงรู้เถิดว่า แม่ของพี่เป็นกาลกิณีแน่แท้เชียว"

ฝ่ายหญิงชราผู้เป็นมารดาของกุลบุตรนั้น พอได้รับกระแสข่าวมาเข้าหูว่า ลูกสะใภ้มีลูกได้ ก็เพราะ แม่ผัวถูกขับไล่ออกจากบ้าน นางจึงนึกน้อยใจขึ้นมาว่า

"ในโลกนี้ ธรรมคงสูญสิ้นไปเสียแล้ว เพราะถ้าธรรมยังมีอยู่ ลูกสะใภ้ที่เลวทรามกลั่นแกล้งแม่ผัว อย่างโหดร้าย จนแม่ผัวต้องถูกไล่ออกจากบ้านเช่นนี้ ไม่ควรมีลูกได้ ไม่ควรเป็นอยู่อย่างสบายเลย"

แล้วจึงตัดสินใจตระเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ หมายบูชาเรียกร้องธรรมให้กลับคืนมา โดยตรงไปยังป่าช้า ใหญ่นอกเมือง

ในเวลาขณะนั้นเอง.......ท้าวสักกะจอมเทพ (ผู้มีจิตใจสูงส่งอย่างยิ่งใหญ) ทรงตรวจดูหมู่สัตวโลก เห็น
นางกัจจานี กำลังมีทุกข์เร่าร้อน ด้วยเชื่อว่าธรรมสูญสิ้นจากโลกเสียแล้ว จึงทรงแปลงเพศเป็น พราหมณ์ ปรากฏตัวเข้าไปหานางกัจจานี แล้วกล่าวว่า

"ดูก่อนแม่กัจจานี ท่านสระผม นุ่งห่มผ้าขาวสะอาด ยกถาดสำหรับตั้งบนเตากะโหลกหัวคนตาย เยี่ยงนี้ ทั้งยีแป้ง ล้างงา ซาวข้าวสารทำไม ท่านจะหุงข้าวสุกคลุกงาไว้เพราะเหตุอะไรกัน"

หญิงชราไหว้เคารพพราหมณ์ แล้วตอบว่า

"ดูก่อนท่านพราหมณ์ ข้าวสุกคลุกงาอย่างดีนี้ ดิฉันไม่ได้เอาไว้กินเอง แต่จะใช้เป็นเครื่องบูชาธรรม ท่ามกลางป่าช้านี่ เพราะธรรมคือความอ่อนน้อมต่อ ผู้ใหญ่ และสุจริตธรรม ๓ ประการ คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ล้วนได้ขาดสูญไปหมดสิ้นแล้ว"

พราหมณ์รีบยกมือขึ้นปรามทันที กล่าวด้วยเสียงหนักแน่นมั่นคงว่า

"ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้นเลย จงใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน แล้วค่อยลงมือทำเครื่องบวงสรวงเถิด ใครกัน บอกท่านเล่า ว่าธรรมสูญไปหมดแล้ว ที่แท้ธรรมอันประเสริฐนั้น เป็นเสมือนท้าวสหัสนัยน์ (สักกะจอมเทพ) ผู้มีฤทธิ์เดช มีอานุภาพหาผู้เปรียบมิได้ ย่อมไม่ตายขาดสูญในกาลไหนๆ เลย"

นางกัจจานี ก็ยังคงยืนยันเช่นกันว่า

"ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ ข้อที่ว่า ธรรมได้สูญสิ้นแล้วนั้น ดิฉันมั่นใจด้วยผลเกิดกับตัวเอง แต่ข้อที่ว่า ธรรมยังมีอยู่ ดิฉันยังสงสัย เพราะเดี๋ยวนี้คนชั่วช้าได้รับความสุข เช่นลูกสะใภ้ของดิฉัน เบียดเบียน ทำร้ายดิฉัน หาทางให้ดิฉันโดนขับออกจากบ้าน นางไม่เคยมีลูกก็ได้คลอดลูก บัดนี้นางเป็นใหญ่ ในตระกูล ทั้งหมด ส่วนดิฉันต้องถูกทอดทิ้งอยู่เพียงลำพังผู้เดียวไร้ลูกหลานที่จะพึ่งพิง"

สิ้นคำกล่าวที่น่าสงสาร น่าเห็นใจในความเข้าใจผิด พราหมณ์ได้แสดงฤทธิ์กลับคืนสู่รูปเดิม เป็นท้าว สักกะจอมเทพ เปล่งรัศมีสว่างไสวทั่วบริเวณ แล้วตรัสกับหญิงชราว่า

"ธรรมไม่มีดับสูญ เราผู้เป็นสักกะจอมเทพ จึงไม่ตาย ยังเป็นอยู่ในโลก แล้วได้มา ณ ที่นี้ ก็เพื่อ ประโยชน์สุข แก่ท่านโดยตรง เราจะทำให้ลูกสะใภ้ชั่วกับลูกชายของท่าน ได้รับทุกข์ทรมาน ด้วยไฟนรก แผดเผา จนเป็นเถ้าธุลีเดี๋ยวนี้"

นางกัจจานีถึงกับตกใจใหญ่หลวงอย่างคาดคิดไม่ถึง แม้จะแค้นเคืองลูกสะใภ้ แต่ก็อดสงสารไม่ได้ ต้องร้อนรน รีบบอกออกไปว่า

"ข้าแต่จอมเทพผู้เป็นใหญ่ หากพระองค์เสด็จ มาที่นี่ เพื่อช่วยเหลือหม่อมฉันจริงแล้ว โปรดประทานพร ให้หม่อมฉัน ลูกชาย ลูกสะใภ้และหลาน จงยินดีสมัครสมานอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ด้วยความรัก เอื้อเอ็นดูต่อกันเถิด"

ท้าวสักกะจอมเทพ ทรงสดับเช่นนั้น ก็พอพระทัยยิ่งนัก ได้ตรัสยกย่องนางกัจจานีว่า

"แม้ท่านไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องได้รับทุกข์ยากลำบากมากมาย ก็ยังไม่ละทิ้งธรรม คือความเมตตา จงเจริญเถิด หากท่านชอบใจและปรารถนาเช่นนั้น ขอให้ท่านและครอบครัวทุกๆ คน จงอยู่ร่วมกัน อย่างผาสุกด้วยเมตตาธรรมเถิด"

แล้วจึงเสด็จกลับคืนสู่วิมานของพระองค์

ด้วยอานุภาพแห่งท้าวสักกะจอมเทพนั้นเอง บันดาลใจให้ลูกสะใภ้ที่กำลังเลี้ยงดูลูกของตนเอง อยู่อย่าง เมตตาเอ็นดู ระลึกได้ถึงคุณของมารดา จึงสำนึกในบาปกรรมที่ก่อไว้ รู้สึกละอาย และ เกรงกลัว ต่อบาป ยอมสารภาพบาปให้สามีรู้ความจริงทั้งหมด จึงเที่ยวตามหานางกัจจานี ถามไถ่ ผู้คนไปทั่ว จนกระทั่งไปถึงป่าช้านั้น

เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงชราผู้เปี่ยมเมตตาธรรม ลูกสะใภ้ได้แต่ร้องไห้ เสียใจ ก้มกราบที่แทบเท้าแม่ผัว พร่ำรำพันอยู่แต่คำว่า

"แม่.....แม่.....แม่"

ส่วนลูกชายของนางกัจจานีนั้น น้ำตาไหลพราก หมอบกราบที่เท้ามารดา แล้วพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า

"แม่จ๋า ขอแม่ได้โปรดยกโทษให้เราทั้งสองด้วยเถิด ลูกทำผิดไปแล้ว ขอแม่อย่าได้ถือโทษเลย พวกเรา จะทำคุณไถ่โทษ แม่ได้โปรดกลับไปอยู่ร่วมกับพวกเราเถิด"

นางกัจจานีน้ำตาอาบแก้มด้วยความซาบซึ้ง ได้ยกโทษให้อย่างเต็มใจ รับเอาหลานมาอุ้มไว้แนบอก แล้วทั้งหมดต่างก็มีความสุขอบอุ่น พากันกลับบ้านอยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคี

....................................

พระศาสดาครั้นตรัสเล่าเรื่องนี้จบแล้ว ก็ทรงเฉลย ให้อุบาสกนั้นทราบว่า

"กุลบุตรที่เลี้ยงดูมารดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นท่านผู้เลี้ยงดูมารดาในบัดนี้ แม้ภรรยาของเขาในครั้งนั้น ก็ได้มาเป็นภรรยาของท่านในบัดนี้ ส่วนท้าวสักกะจอมเทพนั้น ได้มาเป็นเราตถาคตนี้เอง"

จากนั้นทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบสัจธรรมนั้นแล้ว อุบาสกผู้เลี้ยงมารดา ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบัน ณ ที่นั้น.

(จากพระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๑๑๒๑ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๙ หน้า ๔๕๔)

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๓ ธันวาคม ๒๕๔๗ -