ที่แปลเอาบทความของคนอเมริกันมาอ่านให้ฟัง ๒ ชิ้น ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า พุทธศาสนาเหมาะสม สำหรับคนที่ต่อต้านกระแสหลัก ที่วัดความสำเร็จแต่ในทางวัตถุและเศรษฐกิจการตลาด คนแรก ที่เป็นคนที่โด่งดังในวงการนักเขียนของคนรุ่นใหม่ในสมัยเมื่อ ๓-๔ ทศวรรษมาแล้ว เขารับสภาพของ วัฒนธรรมกระแสหลักในเวลานั้นไม่ได้ จึงแยกออกมากินกัญชายาเมา เสพกามกันคนเพศเดียวกัน ฯลฯ โดยที่ช่วงนั้นเป็นสมัยของฮิปปี้ที่ท้าทายระเบียบของสังคมอเมริกันเป็นครั้งแรก แล้วต่อมา เยาวชนก็คัดค้านสงครามเวียดนามอย่างกว้างขวาง และในช่วงนี้ได้มีพุทธศาสนิกในสหรัฐเกิดขึ้นยิ่งๆ ขึ้น เมื่อกินสเบิร์กสมาทานพระรัตนตรัยแล้ว แม้วิถีชีวิตภายนอกจะดูไม่เปลี่ยนแปลงไป ภายในเขา สงบลง เย็นลง มีท่านตรุงปะซึ่งก็เป็นฆราวาส เป็นอาจารย์คนสำคัญ โดยใช้ภาวนามัย ตามแบบของ วัชรยานอย่างธิเบต ตามหนทางอย่างแหวกแนวธรรมดาๆ ออกไปดังที่เรียกกันว่า crazy wisdom สำหรับพระธนิสสาโรนั้น เมื่อเป็นฆราวาส อาจไม่เด่นดังเท่ากินสเบิร์ก และชีวิตก่อนบวชของท่าน คงไม่ผกผัน ถึงขนาดกินสเบิร์ก แต่ท่านก็เห็นโทษของลัทธิทุนนิยมที่เข้ามาครอบงำวิถีชีวิตของผู้คน จนไม่อาจเข้าซึ้งถึงคุณวิเศษ ที่ละเอียดอ่อนและสูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้น ท่านได้หันออกจากชีวิต ผู้ครองเรือน มาเป็นอนาคาริกะในเมืองไทย จนได้เข้าซึ้งถึงคุณวิเศษของการเป็นพระป่า ตามอย่าง เถรวาท ซึ่งจำต้องมีพระกับฆราวาสพึ่งพากันและกัน ในทางอามิสทานกับธรรมทาน และต่างก็ ตรวจสอบ ความประพฤติปฏิบัติของกันและกัน โดยท่านถือว่าแนวทางของพระป่าจะช่วยชาวเมือง ให้หันออกจากมารร้ายที่ครอบคลุมสังคมอยู่ในบัดนี้ ให้กลับมาหาสาระแห่งพระสัทธรรมได้ด้วย ที่ในต่างประเทศ ทั้งยุโรปและอเมริกา คนรุ่นใหม่ไม่ได้หันเข้าหาพุทธศาสนา แต่ตามแนวทางของ วัชรยานแบบธิเบต หรือของเถรวาททางแบบไทย เขมร ลังกา และพม่าเท่านั้น หากยังมีมหายาน อย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ฯลฯ รวมถึงพุทธศาสนา แบบใหม่อย่างโซก้ากาไก และริชโชโก ไซไก ของญี่ปุ่น และวอนพุทธศาสนาของเกาหลีอีกด้วย คนที่สมาทานพุทธศาสนานั้น แม้จะต่างลัทธิ ต่างนิกายกัน ก็รับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะสูงสุดร่วมกัน และต้องการขจัดทุกข์ภัยให้สิ้นไป ตามวิธีการต่างๆ กันของแต่ละลัทธินิกาย ยังฝรั่งที่มาถือพุทธนั้น บ้างก็ละศาสนาเดิมของตนมาเลยอย่างไม่เหลือเยื่อใย หรือเติบโตในแวดวง ของสังคมที่ไม่มีศาสนาเป็นองค์ประกอบ คือออกจากวัตถุนิยมมาเข้าธรรมนิยมเอาเลยทีเดียว นอกไปจากนี้แล้ว ก็มีพวกที่เติบโตมาในครอบครัวยิวที่เคร่งครัดทางศาสนา โดยอพยพมาจาก รัสเซียบ้าง ยุโรปตะวันออกบ้าง บิดามารดาควบคุมบุตรธิดา ให้อยู่ในวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิม อย่างเคร่งครัด เยาวชนพวกนี้ก็เลยเตลิดออกจากลัทธิศาสนาของบิดามารดา มาสมาทานพุทธศาสนา นอกไปจากนี้แล้ว ก็มีพวกคริสต์ศาสนิก โดยที่พวกคาทอลิก จะสมาทานพุทธศาสนา มากกว่าพวก โปรเตสแตนท์ เพราะพวกหลังนี้ แทบไม่มีภาวนามัยวิธีเอาเลย อ้างแต่คัมภีร์ และเหตุผล เป็นเกณฑ์ สำหรับคนยิวและคนคริสต์ เมื่อสมาทานพุทธศาสนาโดยการมีครูอาจารย์ที่ดี ท่านนั้นๆ มักแนะให้เขา กลับไปหาลัทธิศาสนาเดิมของเขา โดยเขาอาจปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสติ ควบคู่ไปกับพิธีกรรม ของศาสนาเดิมก็ได้ หลายคนจึงเป็นทั้งพุทธและคริสต์ พุทธและยิว ฯลฯ ที่ว่ามานั้นล้วนเป็นคนผิวขาว ส่วนมากเป็นชนชั้นกลางหรือชั้นสูง ต่อในระยะหลังๆ มานี้ จึงมีคนผิวดำ และคนเชื้อสายแมกซิกันในสหรัฐมาสมาทานพุทธศาสนาบ้าง ส่วนพวกที่ไปตั้งรกรากจากเอเชีย แม้จะเป็น พุทธมาก่อน ก็ห่างจากเนื้อหา สาระของพุทธธรรม ไปแสวงหาวัตถุธรรมและความสำเร็จ แบบอเมริกันกันแทบทั้งนั้น อย่างดีก็รักษารูปแบบของวัฒนธรรมประเพณีแบบพุทธเอาไว้ อย่างแทบจะ ไม่มีเนื้อหาในทางไตรสิกขาเอาเลย ดังจะเห็นได้ว่าวัดไทยในเมืองฝรั่ง ล้วนรับใช้คนไทย ที่ไปตั้ง รกรากที่นั่น โดยเน้นที่รูปแบบของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อให้คนพวกนั้น หายคิดถึงบ้าน โดยได้รับ ความชุ่มชื่น ทางวัฒนธรรมตามแบบหมู่บ้านอย่างเดิมๆ มา ตามกาละเทศะต่างๆ กัน จะหา พระไทย ในต่างแดนที่เป็นทูตทางพุทธธรรม นอกเหนือไปจากทูตทางวัฒนธรรมนั้นมีน้อย แม้ทางการ พระศาสนา และราชการของเราจะเรียก พระภิกษุนั้นๆ ว่าธรรมทูตก็ตามที ข้าพเจ้าเคยเตือนวัดไทยในต่างแดนว่า เพียงอีกชั่วคนเดียว ก็จะหาเด็กไทยที่ไปเกิดในสหรัฐ ซึ่งประสงค์ จะมาเข้าวัดได้ยากยิ่งนัก เว้นแต่เขาจะมีทั้งพ่อไทยแม่ไทย โดยที่พ่อแม่กำหนดให้ลูก พูดไทย และให้มาเรียนภาษาและวัฒนธรรมไทยที่วัด แล้วคนรุ่นใหม่พวกนี้จะได้อะไรๆ ที่เป็น พุทธธรรม อันล้ำลึกไปจากวัดไทยล่ะหรือ พระของเราในต่างแดน มีศีลวัตรและสมาธิคุณพอเพียง ที่จะก่อศรัทธาปสาทะ ในทางธรรม โดยนำทางคนในต่างประเทศได้ในทาง ปัญญาละหรือ ทั้งนี้ โดยไม่ต้องกล่าวถึงพระที่คิดไปตั้งตัวในต่างแดน แล้วสึกหาลาเพศไป ยังพวกที่ไม่ยอมสึกเล่า ก็คงเป็น อลัชชีอยู่ที่เมืองนอก ที่ร้ายก็คือ กลับมาเป็นอลัชชีในเมืองไทย โดยไต่เต้า เอาดี ในทางสมณศักดิ์ อย่างสูงส่งขึ้นไปด้วย ด้วยการอาศัยวังและแวดวงของชนชั้นสูงที่นึกว่าตนรู้ธรรมเป็นเครื่องมือ โดยที่ชนชั้นสูงที่นึกว่าตนรู้ธรรมนั้น ถ้าเขาขาดกัลยาณมิตรที่เป็นปรโตโฆสะ ที่คอย เตือนสติเขาอยู่ เนืองนิตย์เสียแล้ว เขาย่อมไม่มีโยนิโสมนสิการ แล้วย่อมตกเป็นเครื่องมือของพวกอลัชชีที่ใช้ ไสยเวทวิทยา และโหราศาสตร์มามอมเมา เอาได้ง่ายๆ โดยมียี่ห้อแห่งกาสาวพัสตร์เท่านั้น ที่มุ่งบอกถึง ความเป็นพระ ซึ่งโดยเนื้อหาสาระแล้วพวกนี้ดูจะเป็นพราหมณ์มากกว่าความเป็นสมณะ อนึ่ง คนไทย ที่ไปได้ดีในทางทรัพย์ศฤงคาร และหน้าที่การงานในต่างแดนอย่างไม่ยอมกลับบ้าน เกิดเมืองนอนนั้น หลายคน ก็ต้องการธรรมะ แต่ยังละวัตถุธรรมที่ตนสะสมมาไม่ได้ จึงหวังใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือ ให้ตนได้รับความสุขในทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน ติดยึดอยู่ในเครื่องอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ในทางกาย โดยเข้าใจไม่ได้ซึ่งถึงสามัญลักษณะ อันได้แก่ อนิจจํ ทุกขํ และอนัตตา แม้จะรับรู้ได้ ในทางหัวสมองก็ตาม แท้ที่จริง ความสะดวกสบายและทรัพย์ศฤงคารที่ได้มา จากการประกอบ อาชีพนั้นๆ เขาเคยถามอย่างจริงจังบ้างไหม ว่าเขาได้มาบนความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ แม้วิชาชีพของเขา จะไม่ใช่มิจฉาอาชีวะโดยตรง แต่เป็นสัมมาอาชีพล่ะหรือ ทั้งนี้รวมถึงนายแพทย์ ที่ได้ค่าตอบแทนมากมายก่ายกอง เมื่อเทียบกับแพทย์ตามชนบทในเมืองไทย หรือหมอกลางบ้าน ของเรา โดยที่แพทย์พวกนี้เป็นเครื่องมือให้บรรษัทข้ามชาติเพียงใด โดยเฉพาะก็บรรษัทยา และบริษัท ที่ค้าเทคโนโลยี ทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างที่สุด และแพงที่สุด ความข้อนี้แทบไม่แตกต่างไปจากนายทุน และชนชั้นสูงในเมืองไทย ที่ชอบทำบุญกับพระป่า (โดยเฉพาะ ก็พระฝรั่ง) หรือพระที่มีชื่อเสียงเกียรติคุณ ถึงขนาดคฤหาสน์ของเขา ก็มีห้องภาวนา อย่างวิจิตรพิสดาร แถมสร้างกุฏิวิหารไว้ในบริเวณที่ดินส่วนตัวของตน ให้พระอาจารย์เจ้านั้นๆ มาพำนัก อย่างสะดวกสบาย เพื่อสอนธรรมะให้พวกตนโดยเฉพาะ กล่าวคือตนได้ทั้งความวิเวก จากธรรมชาติ ได้สงบระงับจิตใจตามภาวนามัยวิธี ทั้งยังได้ถวายทานและได้สมาทานสีลสิกขา อีกด้วย แต่ศีลที่ว่านี้ เป็นการเน้นที่คุณความดีส่วนตน ซึ่งเป็นเพียงการสังวรระวัง ยังไม่เป็นความปกติ ตามเนื้อหา ของคำว่า ศีล ซึ่งหมายถึงความยุติธรรมทางสังคม กล่าวคือการลดช่องว่างระหว่าง คนรวยกับคนจน ถ้าคนรวยยังฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยอยู่ แม้จะให้ทานและรักษาศีล ทั้งยังบำเพ็ญเพียร ภาวนา นั่นก็คือของเล่น ไม่ใช่ของจริง ถ้าจะเป็นเศรษฐีกันจริงๆ ตามแบบพุทธ ก็ต้องเดินตามทางของ ท่านอนาถบิณฑิกะ ซึ่งเป็นที่พึ่งให้แก่ยาจกวณิพกได้หมด หรือพูดตามภาษาร่วมสมัยก็คือ เศรษฐี หมายถึง ผู้ประเสริฐ ซึ่งพร้อมจะละสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของตน มาร่วมทุกข์ร่วมสุข กับคนส่วนใหญ่ เพื่อเอาชนะโครงสร้างทางสังคม อันอยุติธรรมและรุนแรง ดังนี้จึงชื่อว่า เจริญกรุณาธรรม สมดังคำสอนของพระบรมศาสดา หาไม่วิถีชีวิตของคนรวย ที่รับเอาธรรมะ มาบางโอกาส ก็คือเขาเหล่านี้เป็นตัวประกอบที่สำคัญในการดำรงโครงสร้างอันอยุติธรรม ของสังคมไว้ นั่นเอง ขอมองพ้นคนไทยไปยังคนญวน โดยเฉพาะก็อพยพไปอยู่ในเมืองฝรั่ง คนพวกนี้หมดสภาพทาง เศรษฐกิจ และสังคมจากบ้านเมืองเดิมโดยสิ้นเชิง เงินก้อนและทองก้อนที่เอาติดตัวไป ตอนลงเรือน้อย หนีไปนั้น ก็มักถูกโจรสลัดไทยแย่งชิง ผู้หญิงก็ถูกชำเรา รวมถึงปล้นฆ่า ครั้นเมื่อเขาไปตั้งรกรากได้ใหม่ในสหรัฐ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์หรือยุโรป พระอาจารย์เจ้า เช่น ท่าน นัทฮันห์ ได้ช่วยปรุงธรรมโอสถให้เขาหายคุมแค้น ให้เขาได้ตั้งตัวใหม่โดยไม่ยึดทรัพย์ศฤงคาร เป็นสรณะ ทั้งวัดญวนนั้นๆ ยังสอนธรรมะให้พุทธศาสนิกปฏิบัติธรรม ไม่แต่ในทางทานมัยอย่างเดิมๆ มา หรือรักษาศีลตามรูปแบบเท่านั้น หากให้โยงความดีส่วนตนออกไปเพื่อรับใช้คนส่วนใหญ่ ซึ่งทุกข์ยาก ยิ่งกว่าตน แม้ภาวนามัย ก็ใช้เตือนสติให้เกิดความกล้าที่จะต่อสู้ อย่างเบิกบาน ตามแนวทาง ของสันติวิธี ให้เกิดสังคมที่ดีขึ้น ทั้งในภูมิลำเนาที่ตนไปตั้งตัวใหม่ พร้อมทั้งยังทำการ ต่างๆ เพื่อสังคมดั้งเดิมที่ตนอพยพโยกย้ายออกไป ทั้งๆ ที่เวียดนามยังเต็มไปด้วยผู้นำคอมมิวนิสต์ ที่ข่มเหงคะเนงร้ายพระภิกษุ ภิกษุณี และอุบาสก อุบาสิกา แต่พุทธบริษัทนั้นๆ ภายในประเทศ ก็ยังอาจหาญ ในทางธรรม ยังกล้าปฏิเสธคุณค่าอันจอมปลอมของรัฐและของระบบบริโภคนิยมอีกด้วย โดยพุทธศาสนิกชนชาวเวียดนามจากภายนอกประเทศ ก็สื่อสารติดต่อกับผู้คนภายในประเทศ อย่างจุนเจือ กันและกัน ทั้งโดยหยูกยาอาหาร และที่สำคัญคืออาหารใจ อันได้แก่ธรรมทาน (แม้จะทำไม่ได้ โดยเปิดเผยก็ตาม) (อ่านต่อฉบับหน้า) - เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๓ ธันวาคม ๒๕๔๗ - |