ทุจริตทำไม ? สัตว์เดรัจฉานมันยังไม่ทุจริตเลย
ในวาระส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ ถ้าใครโชคดีก็จะได้อ่านความคิดที่ตกตะกอนของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ ที่พยายามช่วยกันหาทางออก ฝ่าวิกฤติที่บีบคั้นเข้ามาเกือบทุกๆ ด้าน นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ได้กล่าวสุนทรพจน์ไว้ตอนหนึ่งว่า "หนทางที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่มั่นคงยั่งยืนมีวิธีเดียวคือ การยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้นั้นไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะใช้ได้ผล คนใช้ต้องเป็นคนมีสำนึกในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐและนักธุรกิจ คนที่ไม่มีสำนึกคุณธรรม คนที่ทุจริตแต่คิดอยากจะใช้ ก็คงใช้ไม่ได้ผล ซึ่งพระองค์ทรงเตือน ไม่ใช่แค่อ่านหนังสือเจอแล้วก็นำมาใช้ได้" ในวันเดียวกัน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาก็ได้ตอกย้ำต่อ "การพัฒนาที่มั่นคงยั่งยืนไม่ใช่การมุ่งเน้นตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ๗-๘ % เพราะจะมีผลกระทบในด้านอื่นตามมา ในชีวิตเห็นการโตแบบนี้มาสามหนแล้วซึ่งไม่กี่ปีก็เจ๊ง ต้องเจ็บแล้วจำ ยึดทางสายกลางแบบเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นการพัฒนาคน สังคมไทยวันนี้เสื่อมทรามมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิตเพราะขาดความพอดี" (มติชน ๑ พ.ค. ๔๗) และพระราชดำรัสที่ ดร.สุเมธมักจะยกมาเตือนสติกันอยู่เสมอ ๆ ก็คือ "ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป พูดอย่างนี้หยาบคาย แต่ว่าขอให้มีอันเป็นไป แต่ถ้าไม่ทุจริต สุจริตและมีความตั้งใจมุ่งมั่นสร้างความเจริญ ก็ขอให้ต่ออายุได้ถึง ๑๐๐ ปี..." แม้แต่ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ก็ได้ออกมาตอกย้ำในทิศทางเดียวกัน "เศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซ่อนไว้ซึ่งความไม่มีกิเลสและความโลภ แต่ที่บ้านเมืองเกิดปัญหาทุกวันนี้ เพราะมีกิเลสและความโลภ" (มติชน ๖ ธ.ค. ๒๕๔๗) จากเสียงเตือนของผู้ใหญ่ทั้งสามท่านนี้ ย่อมไขปริศนาได้ดีว่า ทำไมเศรษฐกิจพอเพียงที่ได้ตรัสไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ เป็นเวลา ๓๐ ปีมาแล้ว จึงเป็นเพียงแค่สิ่งที่เอามาพูดกันให้ผ่านหูเฉพาะในวันสำคัญๆ เท่านั้น จะเป็นสิ่งที่น่าขบขันเพียงใด หากกลายเป็นว่าเศรษฐกิจพอเพียงกลับปฏิบัติกันได้ดีในหมู่ทองแดงและลูก ๆ เพราะถึงแม้ทองแดงจะได้เป็นใหญ่เป็นโต มีชื่อเสียงมากมายสักปานใด แต่ทองแดงก็คงใช้ชีวิตไม่สะสมไม่กักตุน ไม่กอบโกยเหมือนเดิม และที่สำคัญก็คือไม่ลืมตัวแม้จะได้รับการโปรดปราน ก็ไม่ผยองหรือเบ่ง แต่กลับมีกิริยามารยาทเรียบร้อย มีสัมมาคารวะ จนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยกย่องถึงความกตัญญูรู้คุณของทองแดงว่า "ผิดกับคนอื่นที่เมื่อกลายเป็นคนสำคัญแล้วมักจะลืมตัว และดูหมิ่นผู้มีพระคุณที่เป็นคนต่ำต้อย" เรื่องของสุนัขแสนรู้นี้ โบราณาจารย์ได้เคยประพันธ์ไว้เป็นนิทานสอนใจคนว่า "มีแม่หมากับลูกหมาพากันไปเดินเล่นในป่าช้า และได้พบศพคนที่กำลังอืดพองจนลูกหมาเห็นแล้วน้ำลายไหล โดยเฉพาะดวงตาที่กำลังถลนปลิ้นออกมา ในขณะที่ลูกหมากำลังจะโดดขม้ำกินนั้นแม่หมาก็ได้รีบห้ามทันที เพราะอวัยวะในร่างกายของมนุษย์นี้ ไม่ว่าจะเป็น มือ เท้า ตา หู ปากจมูก ฯลฯ ส่วนไหน ๆ ก็มีแต่ ไปดู - ไปฟัง - ไปพูด -ไปทำแต่ในเรื่องเลวร้ายทั้งนั้น ขืนกินเข้าไป ต้องเสียหายหมาหมด เมื่อส่วนไหนๆ ก็กินไม่ได้ ลูกหมาเลยจะขอกินเฉพาะส่วนหัวใจ แม่หมาถึงกับตกใจรีบตวาดห้ามขึ้นว่า "โอ๊ะ หัวใจนี่ร้ายนัก มันคิดแต่เรื่องทุจริต โลภ โกรธ หลง มาตลอดชีวิต ที่ต้องวุ่นวายเดือดร้อนก็เพราะหัวใจที่ร้ายๆ นี่แหละ!" สุดท้ายส่วนไหนๆ ก็กินไม่ได้เลวร้ายไปหมด ลูกหมาจึงได้สบถออกมาว่า "ทุด...ไอ้ชาติคน!" แล้วก็เดินจากไป. - เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๔ มกราคม ๒๕๔๘ - |