บทนำ
ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ไม่ว่าจีน ไทย หรือฝรั่ง ทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ และพระสงฆ์องค์เจ้า มักจะนำพรชัย ๔ ประการ คือ อายุ-วัณโณ-สุขัง-พลัง มาอวยพรอยู่เสมอ ซึ่งการที่จะมีอายุยืน-ผิวพรรณดี-มีความสุข-และพละกำลังดี พรชัยทั้ง ๔ ประการนี้จะเกิดขึ้นก็เพราะสุขภาพดีมีร่างกายที่แข็งแรงเป็นสำคัญ

เมื่อพูดถึงสุขภาพดี คนมักจะคิดถึงหมอก่อนใคร แต่ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า หมอเป็น วิชาชีพ ที่บุคลากรฆ่าตัวตายมากที่สุด แถมยังมีอายุเฉลี่ยต่ำกว่าชาวบ้านธรรมดาๆ เสียอีก ส่วนคนที่ อายุยืนยาว กว่าใคร กลับเป็นคนบ้านนอกบ้านนา หรือชาวเขาชาวดอย ที่มีวิถีชีวิตอยู่แบบธรรมชาติ ห่างไกลจากแสงสี และ Globalization (โธ่ บรรลัยสิฉัน !!)

ธรรมชาติบำบัด หรือการบำบัดรักษาโดยธรรมชาติ เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่มีความเชื่อว่า คนเรา เจ็บป่วย เพราะทำตัวผิดจากธรรมชาติ ธรรมชาติจึงลงโทษ การกลับคืนสู่วิถีชีวิตธรรมชาติ (Back to the Nature) น่าจะเป็นการรักษาแบบองค์รวม และแก้ไขที่ต้นเหตุมากกว่า

"คุณเข้ามาเป็นคนไข้ กลับออกไปต้องเป็นหมอ"
คือคำท้าทายของ เจคอบ วาทักกันเชรี หนึ่งใน ผู้นำเสนอ ธรรมชาติบำบัด ที่มีหลายๆ แนวทางให้ผู้สนใจเรื่องสุขภาพได้ศึกษาใคร่ครวญ เพื่อนำไป ปรับใช้ให้เข้ากับ สภาพธรรมชาติร่างกายของเรา ซึ่งธรรมชาติชีวเคมีของร่างกายแต่ละคน ย่อมแตกต่างกัน จึงต้องปรับใช้ ให้เหมาะสม จริงๆ แล้วธรรมชาติในร่างกาย คือหมอวิเศษที่คอย บอกเตือนเราอยู่ตลอดเวลา ความหิว กระหาย อ่อนเพลีย ปวดฉี่ ปวดอึ ฯลฯ หมอเขาเตือนแล้ว ควรทำอย่างไร? แต่เราไม่สนใจไยดีเอง


หมอเจคอบ วาทักกันเชรี
นักธรรมชาติบำบัด

ประวัติ
หมอเจคอบ วาทักกันเชรี จากรัฐเคลาล่า ประเทศอินเดีย
> มีประสบการณ์ในการบำบัดผู้ป่วยตามหลักธรรมชาติบำบัดยาวนานถึง ๒๐ ปี
> ก่อตั้งศูนย์ธรรมชาติบำบัด ๔ แห่งในรัฐเคราล่า
> เป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมตามแนวคานธีมายาวนานกว่า ๒๕ ปี

ความหมายธรรมชาติบำบัด ...
ธรรมชาติบำบัด คือ ศิลปะแห่งการดำรงชีวิต คือศิลปะแห่งการเยียวยาร่างกาย จิตใจ และ จิตวิญญาณ โดยอาศัยการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ อันคือการรักษากายและจิต โดยกระบวนการธรรมชาติ อาศัยสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวเป็นปัจจัยเกื้อหนุน เช่น อาหาร อากาศ แสงแดด โคลน น้ำ เป็นต้น ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการว่า กายและจิตที่สมดุลจะมีศักยภาพ และพลังในการจัดการ กับโรคได้ทุกชนิด

การรักษาตามวิธีธรรมชาติบำบัด
คือการจัดระบบความเป็นอยู่ให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ช่วยเกื้อหนุนให้พลังตามธรรมชาติของกาย และจิตได้ดูแลตนเองด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การปรับเปลี่ยนอาหาร การอดอาหาร การสวนทวาร การล้างพิษ การอาบแดด การนวด เป็นต้น เพื่อให้ธาตุทั้ง ๕ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และพลังปราณ มีความสมดุล

ธรรมชาติบำบัดมีหลายตำรับ แต่โดยรวมแล้ว มีความคล้ายคลึง เพียงแต่อาจเน้นไปคนละอย่าง เพราะร่างกาย แต่ละคนไม่เหมือนกัน มีภูมิหลังต่างกัน วิธีการรักษาจึงต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับ แต่ละคน เพราะธรรมชาติบำบัด คือศิลปะแห่งการใช้ชีวิต

ทุกคนสามารถเรียนรู้และปฏิบัติได้ด้วยตนเอง จะมองว่าเป็นเรื่องง่าย ก็คงง่าย จะมองว่ายาก ก็นับว่ายาก แสนเข็ญเหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องการปรับเปลี่ยนวิถีความเป็นอยู่ ท่ามกลางกระแสสังคม ในโลกยุค โลกาภิวัตน์ ที่มีสิ่งยั่วยวนกิเลสอยู่เกลื่อนเมือง คนที่จะเข้าสู่หนทางของธรรมชาติบำบัดได้ พลังใจจึงต้อง มาก่อน "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ร่างกายเป็นเพียงเครื่องมือที่ต้องทำงาน จิตที่เข้มแข็ง สามารถสั่ง ให้ร่างกายเยียวยารักษาตนเองได้ เชื่อมั่นในศักยภาพที่มีอยู่ ไม่จำเป็นต้องฝากชีวิต ไว้กับ แพทย์ หรือ โรงพยาบาลที่ไหนอีก เพราะมีแต่เราที่รู้จักตัวเอง และร่างกายของเราดีที่สุด

ร่างกายสามารถเยียวยาตนเองได้
หากเป็นไข้หรือเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ หลายคนอาจรีบตรงไปที่โรงพยาบาลหรือคลินิก เพื่อขอทั้งยากิน ยาฉีด แต่ตามหลักธรรมชาติแล้ว นั่นเป็น การกระทำที่ไม่ฉลาด นอกจากต้องจ่ายเงินโดยไม่สมเหตุ สมผลแล้ว ยังเป็นการสกัดกั้นการทำงาน ของร่างกายในการเยียวยาตนเอง

ร่างกายมีพลังแห่งการเยียวยาซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งมีประสิทธิภาพที่จะขจัดโรคร้ายโดยไม่ต้องอาศัยยา แม้แต่เพียงเม็ดเดียว เพราะร่างกายมนุษย์นั้นชาญฉลาด รู้จักซ่อมแซมตนเอง สิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งเราควร กระทำ เมื่อเจ็บป่วยก็คือเสริมพลัง และเกื้อหนุนให้ร่างกายบำบัดเยียวยาตัวเองตามธรรมชาติ โดยใช้ อาหารเป็นยา กินเมื่อหิว ดื่มเมื่อกระหาย พักเมื่อเหนื่อยล้า หรือมีไข้ ออกกำลังกาย ตามกำลัง นอนหลับ พักผ่อน อย่างพอเหมาะ

ฟังเสียงจากร่างกายของคุณ
ร่างกายสื่อสารกับเราอยู่ตลอดเวลาว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักไม่สนใจสัญญาณใดๆ จากร่างกาย เมื่อร่างกายบอกว่าอยากกิน เราก็ตะลุยกินเข้าไป เมื่อร่างกายส่งสัญญาณบอกว่าพอเถอะ เรากลับไม่หยุด จนกระทั่งท้องอัดแน่นเต็มไปด้วยอาหาร ไม่เหลือที่ว่างพอสำหรับอากาศ หรือของเหลว ที่จะช่วยในการย่อยอาหาร พฤติกรรมเช่นนี้เป็นการสร้างภาระอันหนักหน่วงแก่ร่างกาย

เมื่อไม่สบาย ร่างกายจะไม่มีความอยากอาหาร เพราะอวัยวะภายในต้องการพักผ่อน และทุ่มเทพลัง ไปยังส่วนที่เป็นปัญหา และต้องการเยียวยา การหยุดรับประทานเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด แต่เราไม่ค่อย จะพึงใจในการฟังเสียงของร่างกายนัก มักจะฝืนกินอาหารเข้าไป ส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง ภายในร่างกาย อวัยวะ ที่อ่อนแออยู่แล้วยิ่งต้องทำงานหนักขึ้นไปอีก

เราสามารถสังเกตได้ว่าอะไรที่เหมาะ หรือไม่เหมาะกับร่างกาย เมื่อร่างกายมีปฏิกิริยาด้านลบ เช่น รู้สึกเจ็บ ปวด แสบ ร้อน หรือเย็นเกินไป เราควรหยุดกระทำการที่ทำให้เกิดความรู้สึกนั้น ควรฟังเสียง จากร่างกาย ของเรา เพราะร่างกายมีความชาญ ฉลาดในการแยกแยะว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี ยิ่งกว่า ตัวเราเสียอีก การฟังเสียงภายใน เป็นเรื่องสำคัญ ควรแยกให้ออกว่าเสียงไหนมาจากความต้องการ ที่แท้จริงของร่างกาย เสียงไหนมาจากกิเลสในจิต

ความป่วยไข้มิใช่ศัตรู
ความเจ็บป่วยเปรียบเสมือนเพื่อนที่เตือนให้รู้ว่า กำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกายของเรา ให้เรา พิจารณา ถึงสาเหตุของความป่วยไข้นั้น และช่วยเหลือให้ร่างกายสามารถเยียวยาตนเองได้อย่าง เต็มศักยภาพ ถ้าไปหาหมอ โดยไม่รู้จักทำความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกาย และโรคของตนเอง การรักษา ก็อาจกลายเป็นเรื่อง อันตรายได้ แต่พวกเราโดยส่วนใหญ่กลับมองไปที่ "โรค" และ "เชื้อโรค" ว่าเป็นดั่ง ศัตรูที่ต้องกำจัด จากนั้น เราก็ทำร้ายทั้งเชื้อโรคและตนเอง ด้วยการกินยาหรือฉีดยา ยกตัวอย่างเช่น เราอาจเริ่มต้นที่อาการปวดหัว เพียงเล็กน้อย แต่แทนที่จะพักผ่อนให้เพียงพอ บำบัดรักษาด้วยวิธี ธรรมชาติ เรากลับไม่ฟังเสียงอุทธรณ์ใดๆ จากร่างกายทั้งสิ้น แล้วยังฝืนบังคับให้ร่างกายทำงาน หนักขึ้น ด้วยการกินยาเคมีต่างๆ ช่วงแรกนั้นอาจดีอยู่ กินยาแล้วก็หายปวดหัว สองสามวันผ่านไป เมื่ออาการปวดหัวกลับมาใหม่ ก็กรอกยาพิษให้กับตนเองอีก พอหมดฤทธิ์ยาแล้วก็ปวดใหม่ จึงต้อง กินยาเรื่อยไป จนในที่สุดกินยาอย่างไรก็ไม่หาย เพราะการกินยา เป็นการรักษาปลายเหตุ เมื่อมารู้ตัว อีกทีก็พบว่า มีเนื้องอกเกิดขึ้นในสมองเสียแล้ว สุดท้ายก็ต้องลงเอย ด้วยการผ่าตัดบ้าง ฉายรังสีบ้าง อันเป็นวิธีการรุนแรงต่อร่างกายทั้งสิ้น

สาเหตุที่ปวดหัวในครั้งแรกนั้นอาจเป็นเพราะเนื้องอกได้เริ่มก่อกำเนิดขึ้นเป็นจุดเล็กๆ ร่างกายจึงส่ง สัญญาณ บอกให้รู้ด้วยการปวดหัว แสดงให้รู้ว่า มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นแล้วนะ อย่าเพิ่งทำอะไร ทั้งนั้น ร่างกายต้องการพักผ่อน เพื่อดึงพลังทั้งหมดไปเยียวยารักษายังจุดที่เป็นปัญหานั้น ฉะนั้น จงอย่าไปใช้ยา เพื่อไปสกัดกั้นกระบวนการเยียวยาของร่างกาย อดทนกับความเจ็บปวดเล็กน้อยให้ได้ ดีกว่ากินยา เพื่อกดอาการของโรคไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งมันรวมตัวเป็นโรคที่ร้ายแรงยิ่งกว่า ซึ่งสำหรับ ธรรมชาติบำบัดแล้ว อาการเป็นไข้ตัวร้อน เป็นเรื่องดี เป็นมิตรที่มาแสดงให้รู้ว่าร่างกายได้จัดการกับสิ่งผิดปกติแล้ว ไม่ใช่เรื่อง ที่ต้องผวาเลยสักนิด โรคภัย ไม่ใช่ศัตรู เมื่อเกิดความเจ็บป่วยขึ้น อย่าพยายามกำจัดด้วยความเกลียดกลัว หรือใช้วิธีทางลัด ด้วยการใช้ยา แต่ยอมให้ร่างกายของเราจัดการอย่างเป็นจังหวะ ตามขั้นตอนการเยียวยา ด้วยธรรมชาติ บำบัด ซึ่งความเชื่อมั่นในร่างกายของตนเองนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ช่องทางขับพิษตามปกติของร่างกาย
ในการขับพิษมี ๕ ช่องทางดังนี้
๑. การหายใจ ควรฝึกด้วยการหายใจเข้าลึกๆ กักไว้ซักครู่จึงผ่อนออกมาอย่างช้าๆ นุ่มนวล เป็นการขับพิษ ที่ดีอย่างหนึ่ง นอกจากปอดจะมีพลังเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้ร่างกายสะอาดยิ่งขึ้น

๒. เหงื่อเป็นการขับพิษทางผิวหนัง ทำได้โดยการออกกำลังกาย การอบสมุนไพร เป็นต้น

๓. ปัสสาวะ ไต คืออวัยวะที่ทำหน้าที่กรองของเสียจากกระแสโลหิต และขับออกจากร่างกาย ในรูปของ ปัสสาวะ

๔. อุจจาระ คือ กากของอาหารที่กินเข้าไป และร่างกายขับถ่ายออกมา ถ้าท้องผูกจะส่งผลเสีย หลายอย่าง เช่น ปวดหัว เป็นสิว ดังนั้น การแก้ปัญหาท้องผูก จะสามารถแก้ปัญหาอื่นได้ด้วย

๕. ประจำเดือน ในช่วงผู้หญิงมีประจำเดือน ร่างกายจะใช้โอกาสนี้ขับสารพิษ สิ่งแปลกปลอม ออกมาด้วย จึงนับเป็นข้อได้เปรียบของผู้หญิง เพราะมีช่องทางขับพิษมากกว่าผู้ชาย ร่างกาย จึงสะอาดกว่า

การขับพิษทั้ง ๕ ช่องทางนี้ เป็นวิธีการชำระตามปกติที่ดีที่สุดของร่างกาย แต่วิถีชีวิตในทุกวันนี้ นอกจาก ทำให้เรามักจะไม่ให้ความร่วมมือกับกระบวนการเหล่านี้แล้ว ยังกระทำการขัดขวางการ ปฏิบัติงานของ ร่างกายอีกด้วย เช่น เรามักจะใช้แป้ง เครื่องสำอาง เครื่องประทินผิวต่างๆ ซึ่งทำให้เกิด การอุดตัน ของรู ขุมขน เป็นเหตุให้ร่างกายไม่สามารถ ขับสารพิษออกทางต่อมเหงื่อได้ และด้วย ความเร่งรีบ ของชีวิตยุคใหม่ เมื่อร่างกายต้องการขับถ่าย ปัสสาวะ อุจจาระ เราก็กลับกลั้นไว้ จนสุด ความสามารถ เรากระทำการต่างๆ ที่โหดร้ายกับร่างกายตนเอง ราวกับเป็นองครักษ์ พิทักษ์สารพิษ ไม่ยอมให้ความสกปรกได้ถูกขับออก จากร่างกาย และไม่ให้ความร่วมมือกับการดูแลตนเองของร่างกาย

กระบวนการขับพิเศษของร่างกาย
หากร่างกายมีพิษมากจนไม่สามารถขับออกตามช่องทางปกติได้ทัน ร่างกายจะเกิดกระบวนขับพิเศษ ดังนี้

๑. การไอ จาม น้ำมูกไหล
กระบวนการเหล่านี้เป็นสิ่งดี เพราะร่างกายได้ขับของเสียออกมา หรือกำลังทำความสะอาดตนเอง แต่คนทั่วไป กลับมองว่าเป็นอาการอย่างหนึ่งของโรค และพยายามไปสกัดกั้นกระบวนการเหล่านี้ ด้วยการ กินยา ขณะที่ร่างกายพยายามปกป้องเราจากสิ่งที่เป็นพิษด้วยการขับออกมา เรากลับเลือก ที่จะทำร้ายตนเอง ด้วยการกักเก็บสารพิษเอาไว้ ซึ่งจะนำไปสู่โรคร้ายแรงกว่าในอนาคต

๒. การอาเจียน
การอาเจียนไม่ใช่โรค ในกรณีที่ร่างกายได้รับพิษรุนแรง ร่างกายจะขับพิษแบบเฉียบพลัน ด้วยการอาเจียน

๓. ท้องร่วง
เป็นกระบวนการชำระล้างร่างกาย ไม่ควรกินยาหยุดถ่าย เพราะพิษจะตกค้างและสะสมในร่างกาย หากเกิด อาการท้องเสียควรดีใจว่าร่างกายได้รักษาตัวเองให้ปลอดภัยจากพิษร้ายแล้ว

๔. การเป็นไข้
หลักธรรมชาติบำบัดถือว่าการเป็นไข้ คือสุดยอดของการบำบัด และการขับพิษ เพราะเป็นกระบวนการ ที่ร่างกายเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นเพื่อไปเผาผลาญสิ่งแปลกปลอมเป็นพิษในร่างกาย หากกินยาลดไข้ ร่างกาย จะไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ไม่สามารถขับพิษออกมาได้หมด จึงเหมือนเป็นการสะสมโรค เอาไว้ รอวันปรากฎ ออกมาในอนาคต

๕. อาการอื่นๆ
เช่น สิว ฝี ผื่นคัน ตกขาว ฯลฯ อาการเหล่านี้ล้วนเป็นกระบวนการขับพิษของร่างกายทั้งสิ้น

หากเราได้รับสิ่งสกปรกเข้าไป แล้วร่างกายขับพิษออกด้วยการอาเจียน ท้องร่วง หรือเป็นไข้ ให้ถือว่า อาการ เหล่านี้คือสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายของเรายังมีกำลัง เพราะถ้าหากร่างกายของเรา ไม่ทรง พลังพอ จะไม่สามารถ ปฏิบัติการขับของเสียออกมาได้เลย

หากร่างกายปกติ การขับพิษธรรมดา ๕ อย่าง ข้างต้นก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อใดมีกระบวนการขับพิษ พิเศษ เกิดขึ้น นั่นหมายถึง

๑. ช่องทางการขับพิษปกติไม่สามารถทำหน้าที่ได้เต็มที่ตามธรรมชาติ จนเกิดการสะสมพิษมากขึ้น เกินระดับ ปกติ จำเป็นต้องขับออกมาโดยเร็ว

๒. ร่างกายได้รับสารพิษรุนแรงแบบเฉียบพลัน จนไม่สามารถรอให้ขับออกมาทางปกติได้

ร่างกายจึงต้องใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้นเพื่อขับพิษเหล่านั้นออกมา ซึ่งเราจำเป็นต้องร่วมมือกับร่างกาย ให้ทำหน้าที่นั้นอย่างเต็มที่ หากเราไม่เข้าใจกระบวนการทำงานของร่างกาย และไป ยับยั้งอาการไว้ ด้วยการ ใช้ยา จะทำให้ร่างกายไม่สามารถชะล้างความสกปรกออกมาได้หมด พิษที่ตกค้างอยู่นั้น จะสะสม ในกระแสเลือด และกลายเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายแรงกว่าต่อไปในภายหลัง


บทความในคอลัมน์สีสันชีวิตฉบับนี้ ตัดต่อจากหนังสือ "ธรรมชาติบำบัด" ซึ่งเรียบเรียงโดย ศรีสุดา ชมพันธุ์, อธิษฐาน์ คงทรัพย์, เพียงพรลาภ คล้อยมา (ประมวลประสบการณ์จากการอบรม เชิงปฏิบัติการ ณ อาศรม วงศ์สนิท รังสิต คลอง ๑๕ และที่ต่างๆ)
หาซื้อได้ที่ -ร้านธรรมทัศน์สมาคม โทร.๐๒-๓๗๕๔๕๐๖
- บริษัทพลังบุญจำกัด โทร.๐๒-๓๗๔๖๑๑๐
- ร้านขายหนังสือทั่วไป

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๔ มกราคม ๒๕๔๘ -