เมื่อพูดถึงสุขภาพดี คนมักจะคิดถึงหมอก่อนใคร แต่ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า หมอเป็น วิชาชีพ ที่บุคลากรฆ่าตัวตายมากที่สุด แถมยังมีอายุเฉลี่ยต่ำกว่าชาวบ้านธรรมดาๆ เสียอีก ส่วนคนที่ อายุยืนยาว กว่าใคร กลับเป็นคนบ้านนอกบ้านนา หรือชาวเขาชาวดอย ที่มีวิถีชีวิตอยู่แบบธรรมชาติ ห่างไกลจากแสงสี และ Globalization (โธ่ บรรลัยสิฉัน !!) ธรรมชาติบำบัด หรือการบำบัดรักษาโดยธรรมชาติ เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่มีความเชื่อว่า
คนเรา เจ็บป่วย เพราะทำตัวผิดจากธรรมชาติ ธรรมชาติจึงลงโทษ การกลับคืนสู่วิถีชีวิตธรรมชาติ
(Back to the Nature) น่าจะเป็นการรักษาแบบองค์รวม
และแก้ไขที่ต้นเหตุมากกว่า หมอเจคอบ วาทักกันเชรี ประวัติ ความหมายธรรมชาติบำบัด ... การรักษาตามวิธีธรรมชาติบำบัด ธรรมชาติบำบัดมีหลายตำรับ แต่โดยรวมแล้ว มีความคล้ายคลึง เพียงแต่อาจเน้นไปคนละอย่าง เพราะร่างกาย แต่ละคนไม่เหมือนกัน มีภูมิหลังต่างกัน วิธีการรักษาจึงต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับ แต่ละคน เพราะธรรมชาติบำบัด คือศิลปะแห่งการใช้ชีวิต ทุกคนสามารถเรียนรู้และปฏิบัติได้ด้วยตนเอง จะมองว่าเป็นเรื่องง่าย ก็คงง่าย จะมองว่ายาก ก็นับว่ายาก แสนเข็ญเหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องการปรับเปลี่ยนวิถีความเป็นอยู่ ท่ามกลางกระแสสังคม ในโลกยุค โลกาภิวัตน์ ที่มีสิ่งยั่วยวนกิเลสอยู่เกลื่อนเมือง คนที่จะเข้าสู่หนทางของธรรมชาติบำบัดได้ พลังใจจึงต้อง มาก่อน "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ร่างกายเป็นเพียงเครื่องมือที่ต้องทำงาน จิตที่เข้มแข็ง สามารถสั่ง ให้ร่างกายเยียวยารักษาตนเองได้ เชื่อมั่นในศักยภาพที่มีอยู่ ไม่จำเป็นต้องฝากชีวิต ไว้กับ แพทย์ หรือ โรงพยาบาลที่ไหนอีก เพราะมีแต่เราที่รู้จักตัวเอง และร่างกายของเราดีที่สุด ร่างกายสามารถเยียวยาตนเองได้ ร่างกายมีพลังแห่งการเยียวยาซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งมีประสิทธิภาพที่จะขจัดโรคร้ายโดยไม่ต้องอาศัยยา แม้แต่เพียงเม็ดเดียว เพราะร่างกายมนุษย์นั้นชาญฉลาด รู้จักซ่อมแซมตนเอง สิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งเราควร กระทำ เมื่อเจ็บป่วยก็คือเสริมพลัง และเกื้อหนุนให้ร่างกายบำบัดเยียวยาตัวเองตามธรรมชาติ โดยใช้ อาหารเป็นยา กินเมื่อหิว ดื่มเมื่อกระหาย พักเมื่อเหนื่อยล้า หรือมีไข้ ออกกำลังกาย ตามกำลัง นอนหลับ พักผ่อน อย่างพอเหมาะ ฟังเสียงจากร่างกายของคุณ เมื่อไม่สบาย ร่างกายจะไม่มีความอยากอาหาร เพราะอวัยวะภายในต้องการพักผ่อน และทุ่มเทพลัง ไปยังส่วนที่เป็นปัญหา และต้องการเยียวยา การหยุดรับประทานเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด แต่เราไม่ค่อย จะพึงใจในการฟังเสียงของร่างกายนัก มักจะฝืนกินอาหารเข้าไป ส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง ภายในร่างกาย อวัยวะ ที่อ่อนแออยู่แล้วยิ่งต้องทำงานหนักขึ้นไปอีก เราสามารถสังเกตได้ว่าอะไรที่เหมาะ หรือไม่เหมาะกับร่างกาย เมื่อร่างกายมีปฏิกิริยาด้านลบ เช่น รู้สึกเจ็บ ปวด แสบ ร้อน หรือเย็นเกินไป เราควรหยุดกระทำการที่ทำให้เกิดความรู้สึกนั้น ควรฟังเสียง จากร่างกาย ของเรา เพราะร่างกายมีความชาญ ฉลาดในการแยกแยะว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี ยิ่งกว่า ตัวเราเสียอีก การฟังเสียงภายใน เป็นเรื่องสำคัญ ควรแยกให้ออกว่าเสียงไหนมาจากความต้องการ ที่แท้จริงของร่างกาย เสียงไหนมาจากกิเลสในจิต ความป่วยไข้มิใช่ศัตรู สาเหตุที่ปวดหัวในครั้งแรกนั้นอาจเป็นเพราะเนื้องอกได้เริ่มก่อกำเนิดขึ้นเป็นจุดเล็กๆ ร่างกายจึงส่ง สัญญาณ บอกให้รู้ด้วยการปวดหัว แสดงให้รู้ว่า มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นแล้วนะ อย่าเพิ่งทำอะไร ทั้งนั้น ร่างกายต้องการพักผ่อน เพื่อดึงพลังทั้งหมดไปเยียวยารักษายังจุดที่เป็นปัญหานั้น ฉะนั้น จงอย่าไปใช้ยา เพื่อไปสกัดกั้นกระบวนการเยียวยาของร่างกาย อดทนกับความเจ็บปวดเล็กน้อยให้ได้ ดีกว่ากินยา เพื่อกดอาการของโรคไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งมันรวมตัวเป็นโรคที่ร้ายแรงยิ่งกว่า ซึ่งสำหรับ ธรรมชาติบำบัดแล้ว อาการเป็นไข้ตัวร้อน เป็นเรื่องดี เป็นมิตรที่มาแสดงให้รู้ว่าร่างกายได้จัดการกับสิ่งผิดปกติแล้ว ไม่ใช่เรื่อง ที่ต้องผวาเลยสักนิด โรคภัย ไม่ใช่ศัตรู เมื่อเกิดความเจ็บป่วยขึ้น อย่าพยายามกำจัดด้วยความเกลียดกลัว หรือใช้วิธีทางลัด ด้วยการใช้ยา แต่ยอมให้ร่างกายของเราจัดการอย่างเป็นจังหวะ ตามขั้นตอนการเยียวยา ด้วยธรรมชาติ บำบัด ซึ่งความเชื่อมั่นในร่างกายของตนเองนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ช่องทางขับพิษตามปกติของร่างกาย ๒. เหงื่อเป็นการขับพิษทางผิวหนัง ทำได้โดยการออกกำลังกาย การอบสมุนไพร เป็นต้น ๓. ปัสสาวะ ไต คืออวัยวะที่ทำหน้าที่กรองของเสียจากกระแสโลหิต และขับออกจากร่างกาย ในรูปของ ปัสสาวะ ๔. อุจจาระ คือ กากของอาหารที่กินเข้าไป และร่างกายขับถ่ายออกมา ถ้าท้องผูกจะส่งผลเสีย หลายอย่าง เช่น ปวดหัว เป็นสิว ดังนั้น การแก้ปัญหาท้องผูก จะสามารถแก้ปัญหาอื่นได้ด้วย ๕. ประจำเดือน ในช่วงผู้หญิงมีประจำเดือน ร่างกายจะใช้โอกาสนี้ขับสารพิษ สิ่งแปลกปลอม ออกมาด้วย จึงนับเป็นข้อได้เปรียบของผู้หญิง เพราะมีช่องทางขับพิษมากกว่าผู้ชาย ร่างกาย จึงสะอาดกว่า การขับพิษทั้ง ๕ ช่องทางนี้ เป็นวิธีการชำระตามปกติที่ดีที่สุดของร่างกาย แต่วิถีชีวิตในทุกวันนี้ นอกจาก ทำให้เรามักจะไม่ให้ความร่วมมือกับกระบวนการเหล่านี้แล้ว ยังกระทำการขัดขวางการ ปฏิบัติงานของ ร่างกายอีกด้วย เช่น เรามักจะใช้แป้ง เครื่องสำอาง เครื่องประทินผิวต่างๆ ซึ่งทำให้เกิด การอุดตัน ของรู ขุมขน เป็นเหตุให้ร่างกายไม่สามารถ ขับสารพิษออกทางต่อมเหงื่อได้ และด้วย ความเร่งรีบ ของชีวิตยุคใหม่ เมื่อร่างกายต้องการขับถ่าย ปัสสาวะ อุจจาระ เราก็กลับกลั้นไว้ จนสุด ความสามารถ เรากระทำการต่างๆ ที่โหดร้ายกับร่างกายตนเอง ราวกับเป็นองครักษ์ พิทักษ์สารพิษ ไม่ยอมให้ความสกปรกได้ถูกขับออก จากร่างกาย และไม่ให้ความร่วมมือกับการดูแลตนเองของร่างกาย กระบวนการขับพิเศษของร่างกาย ๑. การไอ จาม น้ำมูกไหล ๒. การอาเจียน ๓. ท้องร่วง ๔. การเป็นไข้ ๕. อาการอื่นๆ หากเราได้รับสิ่งสกปรกเข้าไป แล้วร่างกายขับพิษออกด้วยการอาเจียน ท้องร่วง หรือเป็นไข้ ให้ถือว่า อาการ เหล่านี้คือสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายของเรายังมีกำลัง เพราะถ้าหากร่างกายของเรา ไม่ทรง พลังพอ จะไม่สามารถ ปฏิบัติการขับของเสียออกมาได้เลย หากร่างกายปกติ การขับพิษธรรมดา ๕ อย่าง ข้างต้นก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อใดมีกระบวนการขับพิษ พิเศษ เกิดขึ้น นั่นหมายถึง ๑. ช่องทางการขับพิษปกติไม่สามารถทำหน้าที่ได้เต็มที่ตามธรรมชาติ จนเกิดการสะสมพิษมากขึ้น เกินระดับ ปกติ จำเป็นต้องขับออกมาโดยเร็ว ๒. ร่างกายได้รับสารพิษรุนแรงแบบเฉียบพลัน จนไม่สามารถรอให้ขับออกมาทางปกติได้ ร่างกายจึงต้องใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้นเพื่อขับพิษเหล่านั้นออกมา ซึ่งเราจำเป็นต้องร่วมมือกับร่างกาย ให้ทำหน้าที่นั้นอย่างเต็มที่ หากเราไม่เข้าใจกระบวนการทำงานของร่างกาย และไป ยับยั้งอาการไว้ ด้วยการ ใช้ยา จะทำให้ร่างกายไม่สามารถชะล้างความสกปรกออกมาได้หมด พิษที่ตกค้างอยู่นั้น จะสะสม ในกระแสเลือด และกลายเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายแรงกว่าต่อไปในภายหลัง บทความในคอลัมน์สีสันชีวิตฉบับนี้ ตัดต่อจากหนังสือ
"ธรรมชาติบำบัด"
ซึ่งเรียบเรียงโดย ศรีสุดา ชมพันธุ์, อธิษฐาน์ คงทรัพย์, เพียงพรลาภ คล้อยมา
(ประมวลประสบการณ์จากการอบรม เชิงปฏิบัติการ ณ อาศรม
วงศ์สนิท รังสิต คลอง ๑๕ และที่ต่างๆ) - เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๔ มกราคม ๒๕๔๘ - |