เลวกว่าเดรัจฉาน

มิตรดียิ่งหายาก
ลำบากมากถึงมี
กลับหักหลังอัปรีย์
กาลีกว่าเดรัจฉาน


ขณะที่ภิกษุทั้งหลายพากันติเตียนถึง พระเทวทัตอยู่ ว่าใช้ให้นายขมังธนูมาลอบปลงพระชนม์ พระศาสดา

ขณะนั้นพระศาสดาเสด็จมา ทรงได้สดับแล้วตรัสว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อนๆ พระเทวทัตก็เคยใช้ก้อนศิลาทุ่มใส่ เพื่อฆ่าเรามาแล้ว"

จากนั้นได้ตรัสเรื่องราวในอดีต
...........................
ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตทรงเป็นพระราชาแห่งชนชาวกาสี ผู้ครองรัฐสีมาในพระนครพาราณสี ทรงแวดล้อมไปด้วยมวลมิตรและอำมาตย์มากมาย

วันหนึ่ง...พระองค์ได้เสด็จไปยังมิคาชินอุทยาน

ณ ที่นั้นเอง ทรงเกิดอาการสลดสังเวชพระทัยยิ่งนัก เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นชายอัปลักษณ์ คนหนึ่ง เข้าเต็มตา เขาเป็นโรคเรื้อนด่างเป็นจุดทั่วทั้งตัว เกลื่อนกลั้วไปด้วยกลากเกลื้อน รุ่งริ่งด้วยชิ้นเนื้อ ที่หลุดออกมาจากปากแผลเน่าเปื่อย มีร่างกายซูบผอมติดกระดูก สะพรั่งพร้อมด้วยเส้นเอ็นปูดโปน

ทรงเห็นสภาพสุดอัปลักษณ์นั้น ต้องทุกข์ยากลำบากเป็นที่น่าสงสาร ทั้งน่าเกลียดน่ากลัวนักหนา ก็ทรงเกิดความหวาดหวั่นในพระทัย จึงตรัสถามเขาไปว่า

"ท่านเป็นมนุษย์หรือเป็นยักษ์กันแน่ มือเท้าของท่านทำไมจึงด่างขาว ศีรษะยิ่งขาวโพลน ตลอดตัวด่างพร้อยเต็มไปด้วยกลากเกลื้อน

หลังของท่านก็เป็นปุ่มเป็นปม ดุจเถาวัลย์พันกันยุ่ง บ้างก็เป็นข้อดำ บ้างก็หงิกงอ ดูไม่เหมือนผู้ไม่เหมือนคนเลย

ร่างกายก็ผอมซูบซีด ดูช่างหิวกระหายนัก มองทั่วตัวเห็นแต่กระดูกและเส้นเอ็นเด่นชัด ท่านมาจากที่ไหนกัน แล้วจะไปยังที่ใด ในสภาพที่น่าเกลียดน่ากลัวเยี่ยงนี้ เพราะแม้แต่มารดาแท้ๆ ของท่านได้พบเข้า ก็คงไม่ปรารถนาจะเหลียวแลท่านเลยเป็นแน่

โอ...ไม่รู้ว่าชาตินี้หรือชาติก่อน ท่านไปทำบาปกรรมอะไรไว้ ไปเบียดเบียนทำร้ายใครกัน ถึงได้ต้องทุกข์ ทรมานปานนี้ ท่านพอจะระลึกถึงกรรมอันหยาบช้านั้นได้หรือไม่"

ชายอัปลักษณ์นิ่งอึ้งสักครู่ ตกอยู่ในห้วงของความคิดคำนึงย้อนหลัง แล้วก็ถอนลมหายใจยาวเสียงดัง พร้อมกับผงกศีรษะกล่าวขึ้นว่า

"ขอเชิญพระองค์สดับ ข้าพระองค์จะกราบทูลอย่างคนตรงฉลาดทูล เพราะว่าบัณฑิตทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมสรรเสริญคนที่พูดจริง"

ในหมู่บ้านกาสิกคาม ข้าพระองค์เป็น พราหมณ์ชาวนาคนหนึ่ง หลังจากไถนาเสร็จแล้ว มักจะปล่อยโค ไปหากินเองในบริเวณใกล้ๆ นั้น

มีอยู่วันหนึ่ง โคหลายตัวเคี้ยวกินใบหญ้าใบไม้เพลิดเพลิน จนเดินหายไปในป่าดง ข้าพระองค์ หาในบริเวณใกล้เคียงไม่พบ จึงออกติดตามหาลึกเข้าไปในป่าดงนั้นบ้าง จนกระทั่งหลงทางลึกเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ (ป่าหนาวแถบเหนือของอินเดีย) อันแสนจะทุรกันดาร วังเวงเงียบสงัดน่ากลัว เพราะเป็นที่อาศัยของช้าง เสือ สัตว์ร้ายนานาชนิด

ข้าพระองค์หลงอยู่ในป่าทึบนั้น เที่ยวหาทางออกจากป่า ต้องทนหิวทนกระหาย เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอยู่ถึง ๗ วัน จึงได้พบเห็น ต้นมะพลับต้นหนึ่ง ตั้งอยู่หมิ่นเหม่เอนไปทางปากเหว มีผลดกเต็มต้น

จึงเก็บเอาผลมะพลับที่ร่วงหล่นมากิน ช่างเอร็ดอร่อยแก้หิวกระหายได้เป็นอย่างดี แต่กินที่พื้นหมดแล้วก็ยังไม่อิ่มสาสมใจ จึงปีนขึ้นไปบนต้น หวังใจว่าจะกินให้หนำใจอยากบนต้นมะพลับนั้น

เมื่อเด็ดกินผลมะพลับไป ๑ ผลแล้ว ก็ตะกรุมตะกรามปรารถนาจะกินผลที่ ๒ ต่อไป...และต่อๆไป...

ทันใดนั้น กิ่งมะพลับที่เกาะอยู่ก็หักลง ราวกับถูกขวานฟันขาดฉะนั้น ข้าพระองค์จึงร่วงหล่นสู่เบื้องล่าง ปักศีรษะลง เท้าชี้ฟ้า โดยหาอะไรยึดเกาะไม่ได้เลย นอกจากกิ่งมะพลับกิ่งนั้นเอง เหวนี้ก็ลึกถึง ๖๐ ศอก (๓๐ เมตร)

ตูม! เคราะห์ดีที่เบื้องล่างเป็นสระน้ำลึก จึงไม่ถึงแก่ความตาย แม้ตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งได้ แต่ก็ต้อง ถูกกักขังให้หมดอาลัยตายอยากอยู่ที่ก้นเหวนั้น

เนิ่นนานผ่านไปถึง ๑๐ ราตรีเต็มๆ จึงได้ปรากฏ ลิงใหญ่ตัวหนึ่ง มีหางคล้ายดังหางโค ท่องเที่ยว ไปตามซอกเขา ไต่ไปยังที่ต่างๆ แสวงหาผลไม้กิน บังเอิญได้มาถึงยังก้นหุบเหวนั้น พบเห็นข้าพระองค์ ที่อดโซผอมเหลืองเข้า ก็เกิดความเมตตาสงสาร จึงเอ่ยถามเป็นภาษามนุษย์กับข้าพระองค์ว่า

"ท่านชื่ออะไร ทำไมจึงมาทนทุกข์อย่างนี้อยู่ที่นี่ ท่านเป็นมนุษย์หรือเป็นอมนุษย์ โปรดแนะนำตัวของท่านให้ข้าพเจ้าทราบด้วย"

ข้าพระองค์จึงได้ประณมอัญชลี ไหว้ลิงตัวนั้นแล้วกล่าวว่า

"เราเป็นมนุษย์ผู้ได้รับความหายนะ ตกลงมาสู่หุบเหวนี้ สิ้นหนทางที่จะไปจากที่นี้ได้ ข้อให้ท่าน จงมีความเจริญ จงเป็นที่พึ่งของเราด้วยเถิด"

พญาวานรผู้องอาจทราบเรื่องแล้ว ก็ยิ่งสงสารข้าพระองค์ จึงลงมือช่วยเหลือด้วยความกรุณา เที่ยวเสาะหาเถาวัลย์มากมายต่อกันยาว มัดเข้ากับก้อนหินใหญ่บนหน้าผา แล้วโรยเถาวัลย์ลงสู่ก้นเหว พร้อมกับไต่ลงมาบอกว่า

"มาเถิดท่าน ขึ้นมาเกาะหลังข้าพเจ้า เอามือทั้งสองกอดคอข้าพเจ้าให้แน่น อย่าปล่อยมือเป็นอันขาด ข้าพเจ้า จะพาท่านปีนไต่เขาจากเหวนี้"

เมื่อข้าพระองค์เกาะหลังเรียบร้อย ลิงใหญ่ผู้มีพละกำลังมหาศาลนั้น ก็พาข้าพระองค์ป่ายปีนขึ้น จากเหวลึก ด้วยความยากลำบาก ต้องเสียกำลังไปมาก กว่าจะกระโดดขึ้นถึงปากเหวได้

ครั้นขึ้นมาได้แล้ว เพราะความเหน็ดเหนื่อยอ่อนกำลัง พญาวานรจึงขอร้องข้าพระองค์ว่า

"แน่ะสหาย ขอท่านจงช่วยคุ้มครองข้าพเจ้าสักครู่ ข้าพเจ้าจะขอพักงีบหลับสักหน่อยหนึ่ง หากมีราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาว หมีหรือสัตว์ร้ายใดจะมาเบียดเบียนข้าพเจ้าในตอนหลับอยู่ ท่านจงรีบ ร้องเรียกปลุกข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะตื่นขึ้นมาในทันที"

พญาวานรจึงหลับไปสักครู่หนึ่ง ในขณะนั้นเอง...ข้าพระองค์เพราะความหิวกระหายอดอยาก จึงเกิดความคิดเห็นอันเลวทรามขึ้นว่า

"ลิงใหญ่ตัวนี้ก็เป็นสัตว์ป่าตัวหนึ่ง ไม่ต่างไปจากพวกกวางพวกเก้งในป่า ที่เป็นอาหารของพวกมนุษย์ ทั้งหลาย ถ้ากระไรเลยเราพึงฆ่าลิงตัวนี้เสีย เอาเนื้อของมันมากินแก้หิวเถอะ อิ่มแล้วก็ยังจะแล่เนื้อ เก็บไว้ ใช้เป็นเสบียงเดินทางได้อีก เพราะเรายังจะต้องผ่านทางกันดารอีกไกลนัก"

คิดแล้วข้าพระองค์จึงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเท่าที่มี อุ้มก้อนหินก้อนหนึ่งมา ทุ่มลงยังศีรษะของลิงใหญ่นั้นสุดแรง

แต่...เพราะยากลำบากมานานวัน ต้องอดอาหารอีกด้วย จึงมีกำลังน้อย ก้อนหินนั้นจึงกระทบถูกศีรษะของลิงไม่รุนแรงนัก เพียงแค่ทำให้ศีรษะแตกเท่านั้น

พญาวานรก็สะดุ้งตกใจตื่น ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความเจ็บปวดและตกตะลึง ปล่อยให้เลือดไหลอาบทั้งตัว พอได้สติเข้าใจเรื่องแล้ว ก็อดเสียใจมิได้ ถึงกับน้ำตาไหลพรากพรั่งพรูอาบแก้ม จ้องดูข้าพระองค์แล้วกล่าวว่า

"ขอให้ท่านจงมีความเจริญเถิด อย่าทำร้ายข้าพเจ้าเลย อย่าทำบาปกรรมอันหยาบช้าเช่นนี้อีก เพราะท่านมีอายุยืนยาวมาได้ ก็ด้วยการช่วยเหลือของข้าพเจ้า หากแม้มีผู้อื่นจะมาทำร้ายข้าพเจ้า ท่านก็ยังสมควรจะห้ามปรามเขาด้วยซ้ำไป แต่นี่ท่านกลับมากระทำเสียเอง ช่างน่าอดสูนัก

ข้าพเจ้าช่วยแบกท่านขึ้นมาจากก้นเหว อย่างยากลำบากกว่าจะขึ้นมาได้ ทำให้ท่านหลุดรอด จากความตาย แต่ทว่าท่านกลับคิดฆ่าข้าพเจ้าให้ตาย ด้วยจิตคิดชั่วอันเป็นบาปกรรม ข้าพเจ้า ได้แต่หวังว่าทุกข์ทรมานอันเผ็ดร้อน อย่าได้แตะต้องท่านผู้ตั้งอยู่ในอธรรมเลย บาปกรรมอย่าได้ ตามฆ่าทัน อย่างที่ขุยไผ่ตามฆ่าต้นไผ่เลย

แน่ะ! ท่านผู้มีกรรมอันเลว! หาความสำรวมมิได้ ความคุ้นเคยของข้าพเจ้าจะไม่มีให้แก่ท่านอีกต่อไป

ไปเถิด...ท่านจงเดินไปให้ห่างๆ เพียงมองเห็นหลังกันเท่านั้นก็พอ ข้าพเจ้าจะนำทางออกไปจากป่านี้"

ครั้นบุกป่าจนได้พบทางเดินของมนุษย์แล้ว พญาวานรก็หันกลับมากล่าวว่า

"ท่านพ้นภัยจากเงื้อมมือของสัตว์ร้ายทั้งหลายแล้ว นี่!ทางเดินของมนุษย์ ท่านจงไปตามสบายในเส้นทางนี้เถิด"

สิ้นคำพูดลิงใหญ่ก็กระโดดเข้าป่าลึก ปีนป่ายขึ้นภูเขาคืนสู่ที่อยู่ของตนตามเดิม

ส่วนข้าพระองค์เดินไปเรื่อยๆ ตามทางสายนั้น ก็ออกพ้นจากป่าดงนั้นได้ แต่ตลอดทางจิตสำนึกผุดในใจว่า

"เราเองได้รับความช่วยเหลือชีวิตจากลิงใหญ่นี้แท้ๆ กลับเบียดเบียนหมายฆ่าลิงกินเป็นอาหารเสีย ช่างเลวร้ายเหลือเกิน"

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดใหญ่หลวง กระวนกระวายใจยิ่งนัก บังเกิดความเร่าร้อนไปทั่วทั้งตัว พอได้พบสระน้ำ อยู่เบื้องหน้าก็ดีใจ กระโดดลงไปหมายอาบและดื่มกินให้เต็มที่ แต่พอได้ดื่มน้ำผ่านลำคอเท่านั้น ก็ให้รู้สึกร้อนลวกคอ ราวกับได้ดื่มน้ำต้มเดือดๆ พอวักน้ำขึ้นลูบไล้ร่างกาย ก็ให้รู้สึกเหมือน เอาน้ำเลือด น้ำหนองมาอาบทาตัว

หยาดน้ำทั้งหมดที่สัมผัสถูกกายของข้าพระองค์มีเท่าใด ฝีก็ผุดขึ้นทั่วกายมากเท่านั้น หัวใหญ่ ขนาดผลมะตูมครึ่งลูก พอแตกออกก็มีน้ำเลือดน้ำหนองไหลเยิ้ม เน่าเหม็นทั้งตัว แผลเปื่อย เนื้อหลุดลุ่ย อยู่เสมอๆ ทุกข์ยากทุรนทุรายราวอยู่ในขุมนรก

ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ถึงหมู่บ้านคามนิคมใดก็ตาม ทั้งหนุ่มสาวทั้งเด็กและคนแก่ ต่างล้วนพากัน รังเกียจขยะแขยง ถือท่อนไม้ห้ามกั้นข้าพระองค์ไว้ แล้วตะโกนด่าว่า

"เจ้าขี้เรื้อนเหม็นฟุ้ง อย่าเข้ามาทางนี้นะ"

ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายไม่ยอมให้เข้าใกล้ ข้าพระองค์ต้องรับทุกข์ทรมานอย่างนี้อยู่ ๗ ปีแล้ว ซึ่งเป็นการใช้หนี้ของผลกรรมชั่วที่ตนได้กระทำไว้

เมื่อพราหมณ์อัปลักษณ์เล่าที่มาแห่งโรคของตนจบลงแล้ว ก็ถอนหายใจยาวพลางกล่าวเตือนว่า

"ข้าพระองค์กราบทูลเรื่องทั้งหมด ให้พระองค์ทรงทราบแล้ว ขอความเจริญจงมีแก่พระองค์และท่านทั้งหลาย ที่มาประชุมกันอยู่ในที่นี้เถิด ขอพระองค์อย่าได้ประทุษร้ายต่อมิตรดี เพราะว่าผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนเลวทราม

ในโลกนี้ผู้ที่ประทุษร้ายต่อมิตรดี ย่อมเป็นโรคเรื้อนเกลื้อนกลาก เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรก"

พระบรมศาสดาทรงแสดงชาดกนี้จบแล้ว ก็ตรัสเอาไว้ว่า

"ชายอัปลักษณ์ผู้ประทุษร้ายมิตรในกาลก่อนนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัตผู้หมายทำร้ายเราในบัดนี้ ส่วนพญาวานรผู้เมตตานั้น ได้มาเป็นเราตถาคตนี่เอง"

(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๒๓๗ อรรถกถาแปลเล่ม ๖๑ หน้า ๔๓๔)

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๔ มกราคม ๒๕๔๘ -