หลงแต่รวย - ก้าวหน้า ไม่มุ่งศึกษาการลดกิเลส กู้ประเทศไม่ได้

จากข่าวหน้า ๑ ของ นสพ. ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๘ ได้พาดหัวข่าวไว้ว่า

"ยกฟ้อง ดร. ข่มขืนแลกเกรด" โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับคดีอื้อฉาวของวงการศึกษาดังนี้ :

ที่ห้องพิจารณาคดี ๙๐๓ ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ กทม. เมื่อบ่ายวันที่ ๑๒ ม.ค. ๔๘ ศาลออกนั่ง บัลลังก์ อ่านคำพิพากษาให้ยกฟ้องนายสานนท์ ฉายเรืองโชติ อายุ ๕๔ ปี ด็อกเตอร์อาจารย์สอนพิเศษ วิทยาลัย ภาคกลาง จ.นครสวรรค์ ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราศิษย์ ซึ่งอยู่ในความดูแล โดยใช้อุบายหลอกลวง ข่มขืนใจผู้อื่น คดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ ๒๔ ธ.ค. ๔๖ ระบุว่า ระหว่างวันที่ ๑ ต.ค. ๔๓ - ๙ เม.ย. ๔๖ จำเลยได้บังอาจพา น.ส. เจน (นามสมมุติ) อายุ ๒๐ ปี ผู้เสียหาย ซึ่งเป็น ลูกศิษย์ ของจำเลย ไปข่มขู่ และใช้กำลังประทุษร้ายแล้วปลุกปล้ำข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ หลายครั้ง ทั้งยังข่มขู่ ต่ออีกว่า จะเปิดเผย ความลับระหว่างผู้เสียหายกับจำเลย ให้เสียชื่อเสียง และไม่จบ การศึกษา จนผู้เสียหายกลัว ต้องจำยอม เรื่อยมา ต่อมาผู้เสียหาย ได้ขอความช่วยเหลือจาก มูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน กองปราบปราม ให้ดำเนินคดี กับจำเลย

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า พยานโจทก์ เบิกความมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยบังคับหลอกลวงผู้เสียหายไปร่วมประเวณีจริง

อย่างไรก็ตาม คดีนี้โจทก์ฟ้องด้วยว่า จำเลยข่มขืนศิษย์ในความดูแลต้องรับโทษหนักขึ้น๑ ใน ๓ เห็นว่า จำเลย รับราชการสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีอาชีพเสริมสอนพิเศษ ที่มหาวิทยาลัย ภาคกลาง ในวันหยุดเท่านั้น ไม่ใช่อาจารย์ประจำ จึงไม่ถือว่าข่มขืนศิษย์ในความดูแล การกระทำ ของจำเลย เป็นความผิด กรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ส่วนสถานที่เกิดเหตุเป็นที่ลับตาคน ไม่เป็นอันตราย ถึงชีวิต คดีสามารถยอมความกันได้ การที่ผู้เสียหายไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีภายใน๓ เดือน นับตั้งแต่ เกิดเหตุ ทำให้คดีขาดอายุความ ส่วนการร่วมเพศ ในครั้งที่ ๒ และครั้งต่อๆ มาอีกกว่า ๓๐ ครั้ง ศาลเห็นว่า ผู้เสียหายเต็มใจ เนื่องจากได้รับประโยชน์เกี่ยวกับ การเรียนวิชาจำเลยและการเงิน ทั้งที่มีโอกาสร้องเรียน บุคคลอื่นได้ตลอดเวลา แต่กลับไปแจ้งความในภายหลัง ให้พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายสานนท์ ฉายเรืองโชติ เดินยิ้มร่าออกจากห้องพิจารณาคดี พร้อมกับ เปิดเผย ต่อผู้สื่อข่าวว่า รู้สึกพอใจมากกับคำพิพากษา อย่างไรก็ตามยังมีคดีที่ตนเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ผู้เสียหาย รวมไปถึง มูลนิธิปวีณาฯ อีกราว ๓ คดี โดยฟ้องทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง ฐานหมิ่นประมาท ทำให้เสื่อมเสีย ชื่อเสียง เรียกค่าเสียหายรวมทั้งสิ้น๔๖ ล้านบาท สำหรับเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่มีผลกระทบ ต่อหน้าที่การงาน เพราะขณะนี้ ยังรับราชการประจำ อยู่ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามเดิม ก่อนยืดอก เดินทางกลับอย่างมี ความสุข ผิดกับ น.ส. เจน ผู้เสียหาย ที่เดินก้มหน้า รีบกลับทันที

นับเป็นข่าวที่น่าสังเวช และน่าสงสารทุกๆ ฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายที่มีกิเลสมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาส เบียดเบียน ทำลายทำร้ายตัวเอ งและผู้อื่นมากเท่านั้น

และยิ่งเพิ่มเติมความรู้ ความก้าวหน้า ทั้งความร่ำรวย เข้าไปด้วย ก็จะไม่ต่างอะไรกับ พยัคฆ์ติดปีก ให้ทั้ง ๒ ข้าง จนมีอำนาจทำลายล้างทั้งตัวเองและผู้อื่นมากยิ่งขึ้น และซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก

ทั้งความร่ำรวยและความรู้มาก ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะทำให้คนไม่โกง หรือไม่ทำบาป

มีพุทธพจน์ระบุไว้ว่า
"คนพาลได้ความรู้มา เพื่อการทำลายถ่ายเดียวความรู้นั้นทำลายคุณความดีเขาสิ้น ทั้งทำมันสมอง ของเขา ตกต่ำไป"

แม้ความร่ำรวยก็มีพุทธพจน์แสดงไว้ว่า
"ถึงแม้เงินตราจะไหลมาดั่งห่าฝน ความอยากของคนก็หาอิ่มไม่ กามวิสัยทั้งหลายมีความสุขจริงๆ น้อย เต็มไปด้วย ความทุกข์สารพัด รู้ชัดดังนี้แล้ว สาวกของพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าย่อมไม่ยินดีในกามารมณ์ แม้ที่เป็นทิพย์ หากแต่ยินดีในทางสิ้นกิเลสตัณหา"

พุทธพจน์บทนี้ย่อมเป็นคำตอบได้อย่างดีว่า คนรวยถ้าไม่ศึกษาลดละกิเลส ต่อให้เงินตราไหลมา ดั่งห่าฝน ก็ไม่สามารถ ทำความอยากของเขาให้อิ่มได้ เหมือนคนเจ้าชู้ที่มีเมียอยู่หลายคน ซึ่งการมีเมีย หลายคน ของเขา ก็ไม่ได้มีผลเข้ามาทำให้ความเจ้าชู้ของเขาหมดไปแต่อย่างใด

ตรงกันข้ามยิ่งรวยมาก ยิ่งรู้มาก แต่ไม่พยายามศึกษากิเลสให้ลดน้อยลง ก็ยิ่งจะทำบาปได้มาก และ ลึกซึ้ง ซับซ้อน ยิ่งขึ้นไปอีก เหมือนคนฉลาดในประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย ที่ปากพูดถึง ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน การค้าเสรี แต่พฤติกรรมการกระทำกลับพยายามใช้อำนาจ ใช้อิทธิพล ใช้การคุกคาม และการเอารัดเอาเปรียบ อย่างเสรีทุกวิถีทาง

ซึ่งไม่ต่างอะไรกับคนที่รู้ว่า การข่มขืนไม่ดี การโกงการคอรัปชั่นไม่ดี การแจกเงินซื้อเสียงไม่ดี แต่ก็พร้อม ที่จะทำชั่ว ได้ทุกทีไป เพราะเขาปล่อยให้กิเลสบงการชีวิตของเขาอยู่ตลอดเวลา

และโลภ โกรธ หลง ที่เขาสะสมไว้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี่แหละ ย่อมไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ที่จะนำพา ให้เขา พินาศ ดังพุทธพจน์ที่แสดงไว้ว่า
"โลภะ โทสะ โมหะ ย่อมฆ่าคนชั่ว
ดุจขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่
ลูกกล้วยย่อมฆ่าต้นกล้วยฉะนั้น"

หลงรวย หลงก้าวหน้า ถ้าไม่ศึกษาการลดละกิเลส ย่อมกู้ประเทศไม่ได้ ด้วยประการฉะนี้


 


*** พระพุทธองค์ตรัส
บุรุษผู้มีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน
ย่อมไม่ก้าวล่วงสงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด)
อันมีความเป็นอย่างนี้ และความเป็นอย่างอื่นไปได้
ภิกษุรู้ตัณหา (ความทะยานอยาก)
ซึ่งเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์นี้โดยความเป็นโทษแล้ว
เป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่ถือมั่น มีสติ พึงเว้นรอบ

ชนเหล่าใดจะข้ามห้วงน้ำคือ สงสาร
สระคือ ตัณหา
ชนเหล่านั้นกระทำสะพานคือ อริยมรรค
ไม่แตะต้องเปือกตมคือ กามทั้งหลาย
จึงข้ามที่ลุ่มอันเต็มด้วยน้ำได้

(พระไตรปิฎก ภาษาไทย ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ "กามสูตร" ข้อที่ ๑๙๓, เล่มที่ ๒๕ "ปาฏลิคามิยสูตร" ข้อที่ ๑๗๔)

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๕ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ -