อาจารย์ ดร.ปาริชาติ
สถาปิตานนท์
ผู้สูญเสีย แต่จิตใจไม่เสียศูนย์
*** สภาพจิตใจต่อความสูญเสีย
ดิฉันคิดว่าอาจปกติบ้างไม่ปกติบ้าง แต่สิ่งที่ดิฉันจำเป็นต้องฝึกอยู่ตลอดเวลาก็คือ
ดิฉันต้องพยายาม ถามใจตัวเองว่า สภาพจิตใจตอนนี้ของเราเป็นอย่างไร เรากำลังอยู่ในช่วงของความเศร้า
และหงุดหงิด กับการกระทำอะไรบางอย่างหรือเปล่า หรือเรากำลังอยู่ในสภาพของการคิดถึงคนที่จากไปหรือเปล่า
ดิฉันพยายาม ที่จะใช้จังหวะเวลาของความเศร้าโศกเสียใจตรงนี้บำเพ็ญปฏิบัติเพื่อรู้เท่าทัน
จิตของตนเอง ถือว่า เป็นการทดลองปฏิบัติไปในการใช้ชีวิตประจำวัน
*** ที่มาที่ไปของเหตุการณ์โศกสลดในครั้งนี้
เริ่มต้นจากน้องสาว ๒ คนของดิฉัน คือคุณกชกร และคุณนวมณท์ ได้ไปเที่ยวที่หมู่เกาะสุรินทร์
จังหวัด พังงา และที่หมู่เกาะสิมิลัน เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๔๗ และเขาก็ชื่นชมมากว่าท้องทะเลบริเวณนั้น
สวยงาม ที่สุดในโลก เขาเดินทางมาเยอะ ไม่เคยเห็นใต้ทะเลที่ไหนมีสภาพปะการังสมบูรณ์เท่านี้
เขาก็กลับมาเล่า ให้ที่บ้านฟัง การไปรอบนั้นเขาค่อนข้างลำบาก เพราะเป็นช่วงหยุดสงกรานต์
ไม่ได้มีการ เตรียมการล่วงหน้า ทำให้เขาต้องนอนในเต็นท์ และในการไปครั้งนั้น
น้องสาวคนเล็ก ได้มาเล่าให้ดิฉัน ฟังว่า เขาได้ไปเห็นสภาพอันหนึ่งซึ่งทำให้รู้สึกหดหู่
คือภาพปูเสฉวน ซึ่งแทนที่ จะมีกระดองอยู่ แต่เนื่องจาก เขาเข้าใจว่า มนุษย์อาจไปเก็บเปลือกหอยไป
ก็เลยทำให้ปูนั้น จะต้อง อาศัยกล่องเล็กๆ ของนมเปรี้ยว เป็นเสมือนกระดอง
เขาก็ตั้งใจว่าวันหนึ่ง เขาจะต้องกลับไปที่นั่นอีก จะพาคุณพ่อคุณแม่ และ
ดิฉันไปที่นั่น จะนำเปลือกหอยที่เราเคยเก็บกันตอนเล็กๆ ไปปล่อยคืน ที่หมู่เกาะ
เพื่อให้สัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะหอยอยู่อาศัยได้ นี่คือจุดเริ่มต้นที่เขาคิด
พอเขาคิด เขาก็เริ่มต้นศึกษาหาข้อมูลเปรียบเทียบว่าจะเดินทางโดยเส้นทางใดดี
เขาเช็คเรื่องที่พัก พยายาม เลือกที่อย่างคุ้มค่าที่สุด ทั้งในเชิงคุณภาพ
ราคา และการบริการเรื่องต่างๆ จนที่สุด เขาเลือก เขาหลัก บังกะโล ซึ่งเป็นบังกะโลแห่งแรกของเขาหลัก
และจองที่พักที่หมู่เกาะสุรินทร์ ที่ทางวนอุทยาน เปิดให้จอง ช่วงที่จองเราอยู่กันที่ประเทศจีน
เขาก็พยายามประสานกับคนทางกรุงเทพฯ ให้รีบไปจอง ในวันแรกที่เปิดจอง เพื่อให้ได้ห้องพักที่ดีที่สุด
ซึ่งก็ได้สมใจตามเจตนารมณ์ อันนั้นคือแผนการล่วงหน้า ของพวกเขา แล้วเขาก็มาชวนคุณพ่อคุณแม่
และดิฉันไปด้วย รอบแรกเราวางแผนจะไปกันทั้ง ๕ คน แต่เนื่องจากดิฉันเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่ที่จุฬาฯ
ทำให้ไม่สามารถจะลาหยุดติดต่อกันเป็นเวลา ๔ วันได้ แล้วในช่วงเสาร์อาทิตย์นั้นดิฉันได้รับปากกับกลุ่มพี่น้องที่
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เราจะลงไป เยี่ยมพวกเขาทำกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมด้วยกัน
ดิฉันเลยขอไปทำงาน และให้พวกเขา เที่ยวให้สนุก กันดีกว่า
*** ใจลึกๆ อยากไปเที่ยวกับครอบครัวไหม
อยากที่จะไป เพราะเขาคุยเหลือเกินว่ามันสวยมาก และดิฉันเองก็ไม่รู้ว่า ถ้าไม่ได้ไปกับเขารอบนี้
จะมีโอกาสเมื่อไหร่อีกที่จะไป แต่ดิฉันเองก็คิดว่า เรายังมีชีวิตอีกนาน วันใดวันหนึ่งเราก็คงจะไป
อาจจะไป กับกลุ่มอื่น หรือพวกเขาอาจจะติดใจไปรอบที่ ๓ ก็ได้ เพราะว่าเขาไปครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่
๒ แสดงว่า คงต้องมีเสน่ห์จริงๆ เขาถึงยอมไปถึง ๒ ครั้งในรอบปี
*** ในระหว่างการตัดสินใจไป-ไม่ไป มีความคิดจะไปกี่เปอร์เซ็นต์
มันลังเลตอนแรกคิดว่าจะไป ๗๐ % แต่พอรู้ว่าต้องไปวันธรรมดา
รู้ว่าจะต้องลางานทั้งหมด ๔ วัน รู้ว่าเสาร์อาทิตย์ตรงกับภารกิจที่นัดไว้
ก็จะเหลือแค่ประมาณ ๒๐% คือดิฉันเป็นคนทำงาน ค่อนข้างเยอะ
เพราะฉะนั้นพวกเขาค่อนข้างเที่ยวกันเองบ่อย และเขาจะคุ้นกับการไปเที่ยว โดยไม่มีดิฉันร่วมไปด้วย
เพราะดิฉันมักติดงานเสมอ
*** คุณพ่อคุณแม่ไปเพราะอยากไป หรือเกรงใจลูกสาว
คุณพ่อคุณแม่เป็นคนรักทะเล และมักจะไปในสถานที่ท่องเที่ยวที่ลูกบอกว่าดี
ท่านเองก็มองว่า อายุเยอะแล้ว การเที่ยวทะเล การเที่ยวทางน้ำ จำเป็นต้องมีความกระชุ่มกระชวย
แข็งแรง ก่อนหน้า ดิฉัน และน้องสาวได้ไปเที่ยวที่จังหวัดตรัง ไปเที่ยวที่เกาะไห
เกาะมรกต และก็มาเล่า ให้คุณพ่อ คุณแม่ฟัง หลังจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ไปกันเอง
๒ คน ในเส้นทางที่เราไปกัน เพียงแต่รอบนี้ น้องเขาบอกว่า ไม่ปล่อย ให้คุณพ่อคุณแม่ไปกัน
๒ คน เขาจะนำพาไป ซึ่งดิฉันรู้สึกดีใจ ที่พวกเขา ได้เลือกไปพักผ่อน ในช่วง
ก่อนปีใหม่ ถ้าไปช่วงปีใหม่คนจะแน่น และเรื่องอาหาร เรื่องที่พัก ก็คงไม่สะดวกเท่าไร
นี่คือที่ดิฉันรู้สึก เพราะเขาเอง ก็เคยถามว่าจะเลื่อนการเดินทาง ให้เป็นช่วงอื่นไหม
เพื่อให้ดิฉันไปด้วยได้ ดิฉันก็บอก ไม่เป็นไร ในเมื่อตัดสินใจแล้ว และการจองที่พักก็เป็นเรื่องลำบาก
เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเขา มุ่งหน้า เดินทางต่อไปเถอะ
*** ช่วงนั้นที่อาจารย์ไปไม่ได้ ติดภารกิจอะไร
เรามีขบวนวัฒนธรรมสัญจรเพื่อสันติภาพที่จังหวัดปัตตานี โดยที่โครงการชีวิตสาธารณะท้องถิ่นน่าอยู่
ของสถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม กับสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ได้ประสานร่วมกันกับ
กลุ่มพี่น้องที่อยู่ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดอื่นของภาคใต้ ที่จะจัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม
กันที่จังหวัดปัตตานี มีการประชุมกัน พูดคุยกัน แลกของที่ระลึกกัน มีการไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ
ร่วมกัน
*** เมื่อเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่ม ได้ข่าวคราวจากสื่อไหน อย่างไร
เริ่มต้นเมื่อวันที่ ๒๖ ตอนเช้า ดิฉันอยู่ในห้องพักเมื่อเวลาประมาณ ๘ นาฬิกาเศษ
ดิฉันกำลังจัดกระเป๋า อยู่ เห็นตัวไม้แขวนเสื้อแกว่ง และมีเสียงเหมือนคนมาเคาะ
เราก็เอ๊ะ! มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อลงไปข้างล่าง เขาก็บอกว่าแผ่นดินไหว
เราเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งได้ไปมัสยิดกรือเซะ ไปวัดช้างไห้เรียบร้อย
จนกระทั่ง มาถึงวัดทรายขาว ก็มีเพื่อนนำโทรศัพท์มือถือมาให้อ่านข้อความ ซึ่งเป็นข่าวว่า
มีคลื่นยักษ์ ถล่ม ที่หาดป่าตอง ภูเก็ต ดิฉันก็รู้สึกตกใจ ไม่แน่ใจว่าคุณพ่อคุณแม่
จะออกจากทางเขาหลัก เข้ามาอยู่แถว ภูเก็ต มาเที่ยวที่ป่าตองหรือเปล่า ดิฉันพยายามใช้โทรศัพท์มือถือโทรหาทุกคน
แต่ปรากฏว่า สัญญาณ เงียบหมด ดิฉันเริ่มได้ทราบข่าวจากโทรศัพท์มือถือว่า
เขาหลักเองก็โดน ในช่วงนั้น เส้นทางเข้าเขาหลัก ถูกตัดขาด เพราะฉะนั้น การจะเข้าไปช่วยเหลือ
ค่อนข้างลำบาก ดิฉันก็เริ่มภาวนา ขอให้ทุกคนปลอดภัย สภาพจิตใจตอนนั้น มีความกังวล
รู้สึกเป็นห่วงมาก
*** สรุปอย่างไรที่คิดว่าทุกคนได้สูญสิ้นกับคลื่นยักษ์
จากหลักฐานทั้งหมด ดิฉันเข้าใจว่าทุกคนคงจะเสียชีวิต เพียงแต่ไม่สามารถสรุปได้ว่าร่างพวกเขาอยู่
ณ ที่ไหน ท่านอาจแปลกใจว่าทำไมดิฉันสรุปอย่างง่ายๆ ตั้งแต่ดิฉันเดินทางกลับไปที่ภูเก็ต
ก็มีคน ส่งข่าวว่า คุณพ่อใส่นาฬิกาแบบนี้หรือเปล่า คุณแม่แต่งตัวแบบนี้หรือเปล่า
พวกเรามีใครใส่เสื้อ ลายเป็ดบ้างไหม ช่วงนั้นเป็นจังหวะที่ดิฉันรู้สึกว่าชาทั้งตัว
และก็แน่นหน้าอกเหมือนหายใจไม่ออก มันคงเป็นภาวะช็อก เครียดไม่คิดว่าสิ่งที่เราคิดเล่นๆ
ว่าพวกเขาอาจจะเป็น กลับกลายเป็นเรื่องจริง ที่ว่าเขาอาจตาย สิ่งที่ดิฉันคิดว่า
ต้องทำในขณะนั้นก็คือ ทำใจว่าความจริงก็คือความจริง เราหลอก ความจริงไม่ได้
อะไรจะต้องเผชิญ ก็ต้องเผชิญ เราต้องเรียนรู้กับความจริง
วันรุ่งขึ้นเข้าไปในที่เกิดเหตุ ได้เจอผู้ชายคนหนึ่ง เขาเดินตามหาภรรยาของเขา
ซึ่งเป็นกุ๊กอยู่ที่นั่น เขาเล่าว่า มีคณะหนึ่งจากกรุงเทพฯ เขาได้รับการว่าจ้างให้ไปรับจากภูเก็ต
และมาส่งที่รีสอร์ทแห่งนี้ และเขาเล่าถึงบุคคลซึ่งตรงกับคุณพ่อคุณแม่ และบอกต่อว่าเขากำลังจะมารับคนกลุ่มนี้กลับในตอน
๑๑ โมง แต่เมื่อเขามาถึงแล้วทุกอย่างราบเรียบหมด ตอนนั้นถ้าถามว่าดิฉันเป็นมนุษย์มนาอยู่
ดิฉัน น่าที่จะเป็นลม แต่ดิฉันก็แปลกใจที่ดิฉันไม่รู้สึกว่าเป็นลม สาเหตุอาจมาจากเพราะได้ยินเขาพูด
จากปากเขา ว่ากำลังตามหาภรรยา เขาก็สูญเสีย ดิฉันก็สูญเสีย เราเริ่มมองเปรียบเทียบกับคนอื่น
และบริเวณนั้น ก็มีคนอีกจำนวนมาก กำลังเริ่มเข้ามาตามหากัน เขาก็สูญเสียด้วยกันทั้งสิ้น
*** ข้อมูลจากภาพเหตุการณ์สุดท้ายที่มีผู้พบเห็นเล่าให้ฟัง
ตอนจังหวะเวลาเช้าวันนั้น ครอบครัวของดิฉัน ๔ คนมาทานข้าวพร้อมกัน และในจังหวะตอน
น้ำทะเลลด น้องสาวทั้งสอง ออกไปถ่ายรูป ก็มีเสียงเอะอะโวยวาย คนเล่าว่าเขากำลังฉุดภรรยาหนี
คุณพ่อก็ถามว่า เกิดอะไรขึ้น เขาก็บอกว่าหนีเร็ว แต่คุณพ่อไม่ได้วิ่งตามเขา
คุณพ่อวิ่งสวนลงไปที่ทะเล เพื่อตามหาน้อง ซึ่งตรงนี้ทำให้ใจดิฉันสงบขึ้นว่าคุณพ่อก็ได้ทำหน้าที่ของบิดาที่สมควรแล้ว
และใน ขณะเดียวกัน ผู้ชายที่ฉุดภรรยาวิ่งหนี ภรรยาเขาก็ใช่ว่าจะรอด เขาเป็นผู้สูญเสียเหมือนกัน
*** รับหลักฐานที่ สภ.อ.ตะกั่วป่า
บน สภ.อ.เงียบเหงามาก ตำรวจอำนวยความสะดวกให้อย่างดี เราได้ค้นหาเอกสารหลักฐาน
ซึ่งก็พบ ทั้งของคุณแม่ และน้องสาว มีบัตรประชาชน บัตรเครดิตบัตรต่างๆ พร้อมกระเป๋าสตางค์
ของคุณแม่ อยู่ครบ ตอนนั้นดิฉันเศร้าอยู่พอสมควร ตำรวจบอกดิฉันว่า รู้ไหมเจ้าของโต๊ะที่เรากำลังยืนคุ้ยบัตรอยู่
ก็เสียชีวิตเหมือนกัน ดิฉันเกิดความรู้สึกว่า เออ!
มันไม่ใช่เราที่สูญเสีย ไปตรงนี้คนกลุ่มหนึ่งก็เสีย ไปตรงโน้น คนกลุ่มหนึ่งก็เสีย
มาที่โรงพักตำรวจเองก็เสีย พอออกมานอกบริเวณหน้าโรงพัก ซึ่งเป็นจุด ให้ประชาชนติดต่อ
ภาพตำรวจนับ ๑๐ ถูกถอดออก เนื่องจากตำรวจเหล่านั้น เสียชีวิตไปกับคลื่นยักษ์
สึนามิ
*** เข้าตรวจสอบ ค้นหาศพ
ไปเดินดูศพ บางศพติดอยู่ตามต้นไม้ บางศพโดนตึกทับ เราพยายามเพ่งพินิจว่ารูปร่างหน้าตา
ใช่หรือเปล่า แต่ปรากฏว่าศพทั้งหลายเหมือนกันหมด เพราะกินน้ำทะเลเข้าไปเยอะ
เลยขึ้นอืด กว่าตัวจริง ดิฉันก็ได้ปลงสังขารว่าร่างกายก็เท่านี้เอง เราเดินทางไปมูลนิธิที่หาศพ
ขอให้เขาหาศพนี้ พิเศษได้ไหม เขาบอกทำตามหน้าที่โดยไม่ต้องมีอามิสสินจ้าง
และเขาก็พยายามหาให้ พาเราปีนป่าย ตามซาก ปรักหักพัง ไปดูอีกสิบๆ ศพ แต่ก็ไม่พบ
พอไม่พบในที่เกิดเหตุ เราก็ไปที่วัดย่านยาว ไปดูอีกเป็น ๑๐๐ ศพ ซึ่งเจ้าหน้าที่พยายามเปิดออกมาให้ดู
คลี่ออกมาให้ดู เห็นแล้วก็อนิจจัง เพราะว่าจำหน้าใคร ไม่ได้เลย ผมที่คิดว่าจะมีก็ไม่เหลือ
ซึ่งเขาบอกดูหลักฐานจากผม จากคิ้วก็ไม่ได้ มีแต่สภาพหนอน ไปดูที่ภาพถ่าย
ก็เหมือนกันไปหมด เห็นแล้วก็รู้สึกปลง ดิฉันคิดว่าตรงนี้ละมัง
ที่เป็นส่วนทำให้ดิฉัน ทำใจได้ ถ้าอยู่ใน กรุงเทพฯ และเอาแต่เศร้า วันนี้ก็อาจลุกไม่ได้
อาจยืนไม่ได้ แต่เพราะดิฉัน ได้ลงไปพิสูจน์ความจริง ได้เรียนรู้ว่า ชีวิตก็เท่านี้
ท้ายที่สุดคนเราก็เหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะรวยล้นฟ้า ไม่ว่าจะจน พอจุดสุดท้าย
คือ จุดเดียวกัน
*** วิธีคิดเพื่อนำไปสู่การวางใจ
การสูญเสียครั้งนี้ แม้เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ไป ๔ คนพร้อมกัน เขาไปไม่ทรมาน
อาจจะดีกว่า ที่ดิฉันเห็นคุณพ่อสายระโยงระยางเต็มไปหมดอยู่นานเป็นปีๆ อย่างไม่มีความสุข
หรือหลังจากนั้น เห็นคุณแม่เป็นปีๆ รวมแล้วอาจเป็น ๔ ปี ๕ ปี ๑๐ ปี อย่างไม่มีความสุข
และนี่ก็ไม่ใช่เพียง ครอบครัวเรา ที่สูญเสีย ดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่มางานศพ
ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนคงเคยเผชิญกับ ความสูญเสียชีวิต ของคนที่รัก
ในเมื่อเขาเอาชนะได้ ดิฉันก็ต้องเอาชนะฝ่าฟันจังหวะตรงนั้นให้ได้
*** ในท่ามกลางความหนาวเย็นก็มีแสงแดดอุ่น
เบื้องหลังความเจ็บปวดคือความงดงาม ดิฉันเจ็บปวดที่ครอบครัวสูญเสียชีวิตถึง
๔ คน แต่ถ้าถามว่า ดิฉันมีความสุขไหม เมื่อลงไป ณ พื้นที่เกิดเหตุ ดิฉันเห็นคนที่พร้อมจะช่วยเหลือ
ไม่ว่าครอบครัวของเรา ครอบครัวของคนอื่น ดิฉันเห็นอาสาสมัครเดินทางมาจากที่ต่างๆทั่วประเทศ
ดิฉันได้พบเจอเพื่อน ที่ทำงานที่เดียวกันก็ไปเป็นอาสาสมัคร ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากอาสาสมัครที่โทรมาถามข้อมูลเพิ่มเติม
เขามาจากจังหวัดพิษณุโลก อีกทีมอยู่ที่จังหวัดตรัง เรียกว่ามีอาสาสมัครเกิดขึ้นมากมายในสังคมไทย
ณ จังหวะสูญเสีย ตรงนี้ได้พบอาสาสมัครจากประเทศต่างๆ ซึ่งแต่ละทีมส่งมาเต็มที่
มันเหมือนกับว่า โลกไร้พรมแดน เมื่อมีวิกฤต นี่คือโอกาสที่ทั้งหมดจะมาร่วมมือกันสร้างสรรค์โลกใหม่
จัดระเบียบโลกใหม่
*** บทเรียนชีวิต
สิ่งที่ผ่านมาในชีวิตทุกอย่าง คือการเรียนรู้ไม่ว่าจะทำอะไรทุกย่างก้าวสามารถสอนเราได้เสมอ
เพียงแต่ เราพร้อมที่จะรับฟังสิ่งที่เราเรียนรู้ผ่านมาเหล่านั้นหรือเปล่า
ขอยกตัวอย่างรูปธรรม ดิฉันได้เข้าร่วม ทำงานกับท่านจันทร์ เรื่องโครงการลดอุบัติเหตุจากการจราจรและโครงการลดการดื่มสุรา
มีสโลแกนว่า "ตั้งสติก่อนสตาร์ท"
อันนั้นหมายความว่า เวลาจะขับรถ ถ้าคุณมีสติ คุณจะไม่ง่วง คุณจะไม่เมา
ก่อนเดินทาง ดิฉันก็จะพยายามเอาความคิดอันนั้นมาแปรให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง
ก็คือว่า ก่อนที่ดิฉัน จะทำอะไรก็ตาม ต้องถามตัวเองก่อนว่าสติของตัวเองอยู่ที่ไหน
เรากำลังทำอะไรอยู่ เรากำลังปรุงแต่ง อะไรในอารมณ์ของเราหรือเปล่า เราควรจะต้องมีหน้าที่ทำภารกิจอะไรต่อไป
เพราะว่าชีวิตเรา ต้องสตาร์ท ในการทำงานอื่นต่อไป คือ ประยุกต์สิ่งที่ใกล้ตัว
สิ่งที่เราสามารถสัมผัสได้ เราต้องนำ มันมาใช้ ในชีวิตประจำวันให้ได้
ดิฉันจึงจะถือว่าตรงนั้นเป็นการเรียนรู้ที่สูงที่สุด
มากกว่าจะไปอ่านตำรา เพราะตัวเองก็ไม่ได้อ่าน ธรรมะใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่อาศัยการประยุกต์ใช้จากบุคคลรอบข้าง