ชีวิตนี้มีปัญหา ๑ - สมณะโพธิรักษ์ -


ต่อจากฉบับที่ ๑๗๔

ยังมีคนหลง (โมหะ) หรือเข้าใจผิด (มิจฉาทิฏฐิ) จริงๆว่า การได้"อรูปฌาน"ตามแบบนั่งสะกดจิตนี้ คือ การทำให้ไม่มีภพ หรือเข้าไป"ดับภพจบชาติ" หรือ"ดับกิเลส" หรือได้"ดับนิวรณ์ ๕"อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเห็นผิด ถนัดทีเดียว เพราะการปฏิบัติสมาธิแบบดังกล่าวนั้นจะไม่รู้จัก"ตัวกิเลส-ตัวตัณหา-ตัวอุปาทาน" ที่แสดงตัวตน อย่างเป็นจริง ในขณะเกิดจริง มีปรากฏการณ์จริงในขณะที่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ ทำงานอยู่เต็มสภาพ สัมผัสอยู่ครบครันทั้งภายนอกภายในชนิดจิตขึ้นรับวิถีอยู่โทนโท่ เมื่อไม่รู้จัก"ตัวตน" ที่จะพิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ก็ไม่สามารถ"จัดการกับตัวตน"นั้นๆได้จริงแท้ การทำสมาธิเข้าไป ในภวังค์ ดังนี้จึง "ไม่ได้ดับอัตตา-ไม่ได้ดับภพ" แต่เป็นการ "ได้ทั้งอัตตา_ได้ทั้งภพ" ครบพร้อมอยู่ชัดๆ ผู้ได้ภพได้อัตตาแล้วยังมีสุขกับ "อรูปฌาน" ก็ยังมีอัสสาทะ

และยังมีความเข้าใจผิดอีกอย่าง ว่า การปฏิบัติได้"อรูปฌาน"ชนิดนี้ คือ "อนุปุพพวิหาร ๙" [ภาวะเข้าสู่ วิหารธรรมไปตามลำดับ ๙ ลำดับแบบพุทธ ได้แก่ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ กับสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นที่ ๙] ความจริงเป็นแค่ "อนุปุพพวิหาร ๘" [ภาวะเข้าสู่วิหารธรรมไปตามลำดับ ๘ ลำดับ ได้แก่ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔] ของฤาษีดาบสดั้งเดิมเท่านั้น ซึ่งไม่มีทางจะเข้าถึง "สัญญาเวทยิตนิโรธ" ได้ เด็ดขาด จึงมิใช่ "อนุปุพพวิหาร ๙"ตามทิฏฐิของพุทธแต่ประการใด เพราะฌานก็ดี สมาธิก็ดี ในแบบฤาษีดาบส ที่นั่งหลับตา สะกดจิตเข้าไปในภวังค์นี้ ไม่ใช่"อธิจิตสิกขา"ที่เกิดจากการปฏิบัติ"สัมมามรรค อันมีองค์ ๘" หรือไตรสิกขา แต่เกิดจาก "สมาธิ อันมีองค์เดียว" แท้ๆ หมายความว่า สมาธินี้เกิดจากการปฏิบัติ ด้วยการหลับตา สะกดจิตเข้าไปอยู่ในภวังค์ประตูเดียวเท่านั้น จึงเป็นสัมมาสมาธิ ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ สมาธิ ที่เกิดจากการปฏิบัติ อันมี "องค์ทั้ง ๗ ของมรรค" เป็นเหตุ (อุปนิโส) เป็นองค์ประกอบ (ปริขาโร) ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๒-๒๘๑ และเพราะ "อธิจิตสิกขา" ของ อนุปุพพวิหาร ๘ ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติ "จรณะ ๑๕" ด้วย

ผู้ที่เคยปฏิบัติ "สมาธิ อันมีองค์เดียว" ก็คงจะรู้และเคยปฏิบัติ นั่นคือ ปฏิบัติโดยวิธีตัดการรับรู้ ภายนอก ทุกอย่าง ให้จิตเข้าไปรวมเป็นหนึ่งอยู่ในภวังค์ถ่ายเดียว มิได้เกิดจากการปฏิบัติที่ใช้ "องค์ทั้ง ๗ ของมรรค" รับรู้ไปกับทวาร ๖ อย่างครบถ้วน หรือ มิได้เกิดจากการปฏิบัติ"จรณะ ๑๕"กันจริงๆ ก็เห็นอยู่ชัดเจน

ถ้าแม้นได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๒-๒๘๑) หรือในมิจฉาทิฏฐิสูตร-สักกายทิฏฐิสูตร-อัตตานุทิฏฐิสูตร (เล่ม ๑๘ ข้อ ๒๕๔-๒๕๖) ซึ่งมีการรับรู้ ทั้งภายนอกภายในครบทุกทวาร ฝึกฝนให้เกิด "สัมมา" ในทุกๆองค์มรรค หรือบรรลุเห็นแจ้ง "อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา" จิตจึงจะสั่งสมเป็น"สัมมาสมาธิ-สัมมาญาณ-สัมมาวิมุติ" จิตที่เป็น"สัมมาสมาธิ" อันปฏิบัติตาม "จรณะ ๑๕" ของพุทธ ก็จะเป็น "ฌานแบบพุทธหรือสัมมาฌาน" เมื่อจิตบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส ก็จะมีคุณสมบัติเป็น"จิตหัวอ่อน" (มุทุภูเต) "ควรแก่การงาน" (กัมมนิเย) "ตั้งมั่น" (ฐีเต) "ไม่หวั่นไหว" (อาเนญชัปปัตเต)

"ฌานแบบพุทธ" จึงเป็น"ฌาน"ที่เกิดในขณะลืมตาโพลงๆ เป็นคนที่รับรู้ทุกกรรมกิริยา และสิ่งที่สัมผัส สัมพันธ์อยู่กับเราทั้งภายนอกภายในทุกอย่าง เพราะ"สมาธิ"นี้เป็น"สัมมาสมาธิ" ที่มีญาณทัสสนะ มีวิปัสสนา ญาณซึ่งรู้แจ้งครบถ้วนทั้งกายภายนอกอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายแลกระจัดกระจาย เป็นธรรมดา และรู้แจ้งทั้งภายในว่า วิญญาณของเรานี้ ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ (พระไตรปิฎก เล่ม ๙ ข้อ ๑๓๑ และข้ออื่นๆอีกมาก) คือ มีความรู้ยิ่ง หรือมีตาทิพย์ หรือมีวิชชา

นั่นก็หมายความว่า "ฌาน"ที่เป็น"สัมมาสมาธิ" (ฌานจิตสั่งสมลงจนแข็งแรงตั้งมั่น) นี้ เป็น "ฌาน" ที่มี "วิชชา" หรือมี"ปัญญา"ก็คือ"อธิปัญญาสิกขา"นั่นเอง เกิดรู้แจ้งเห็นจริงไปทั่วทั้งภายนอกทั้งภายในซึ่งเรียกว่า "ญาณทัสสนะหรือวิปัสสนาญาณ" อันหมายความว่า ความรู้ยิ่งเห็นจริง ที่เป็น "ญาณหรือวิชชา" ตามแบบพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" เมื่อเกิดเจริญไปจนครบ ๘ ข้อ ก็เรียกว่า "วิชชา ๘"

ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมของพุทธทุกคน จะต้องเกิดต้องมี"วิชชา ๘" หรือมี"อนุสาสนีปาฏิหาริย์"นี้ เพราะเป็น "อธิปัญญาสิกขา" แท้ๆ ที่ต้องเกิดต้องมี ในผู้ปฏิบัติธรรมของพุทธ ผู้ปฏิบัตินั้นจึงจะรู้แจ้งเห็นจริงเป็น "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ" คือ พระธรรมอันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ผู้อื่นไม่พลอยตามรู้ตามเห็นด้วย ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงต้องมีความรู้ยิ่งเห็นจริงของตนเอง มิใช่ให้ผู้อื่นมารู้แทน หรือมาบอกเราว่า เรามีกิเลส หรือเราดับกิเลสได้แล้ว เราได้ญาณนั้นญาณนี้ ได้ญาณ ๓ ได้วิปัสสนาญาณ ๙ ได้ญาณ ๑๖ เป็นต้น การอาศัยคนอื่นรู้แทนเราหรือผู้อื่นมีปัญญาแทนเรานั้น มิใช่ "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ" แน่ๆ ก็เห็นอยู่ทนโท่ ผู้ปฏิบัติต้องรู้ได้ด้วยตนเอง จึงจะไม่ขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า

ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องมี..ปัญญาญาณหยั่งรู้สัจธรรมนั้นๆเอง ต้องรู้แจ้งเห็นจริงในอาริยสัจ ๔ (สัจจญาณ) -ปัญญาหยั่งรู้ในกิจปฏิบัติของตนว่า ทุกข์ก็ต้องปฏิบัติจนรู้จักรู้แจ้งรู้จริง เหตุแห่งทุกข์ก็ต้องละได้ลดได้ อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริง แม้ถึงขั้นดับเหตุแห่งทุกข์นั้นๆได้มากได้น้อยก็ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ทางปฏิบัติ คืออย่างไร ถูกต้องหรือยัง และได้ผลจริงแค่ใด (กิจจญาณ) -ปัญญาหยั่งรู้ในมรรคในผล ที่เกิดครบถ้วน ในอาริยสัจ ๔ โดยเฉพาะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงผลอันสมบูรณ์ว่า ตนเสร็จกิจที่จะปฏิบัติแล้ว เพราะจบแล้ว ไม่ต้องปฏิบัติเพื่อการดับกิเลสนั้นๆกันอีกแล้ว (กตญาณ) ไม่เช่นนั้น มันก็ไม่ใช่"ปัจจัตตังฯ" ที่ตรงตาม สวากขาตธรรม (พระธรรมอันพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ไม่มีวิปริตเด็ดขาด) เท่านั้นเอง

ปัญญาญาณดังกล่าวมานั้น คือ "วิชชา ๘" ที่เป็น "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" ของพุทธ เป็น"สัมมาญาณ" โดยตรง ผู้ปฏิบัติผู้ใดไม่มีไม่เกิดในตน ก็ไม่ใช่ผู้บรรลุมรรคผล ของพุทธธรรมแน่นอน เพราะ"วิชชา ๘" นี้เป็นผลของ "อธิปัญญาสิกขา" แท้ๆ ที่ชื่อว่า "สามัญผล"

ผู้มี "สามัญผล" หมายความว่า ผู้มีผลแห่งความเป็นสมณะ "สมณะ"นั้นก็คือ ผู้ปฏิบัติที่บรรลุธรรม ของพุทธ จนเข้าขั้นเป็น"อาริยบุคคล" สมณะที่ ๑ คือ โสดาบัน ที่ ๒ สกิทาคามี ที่ ๓ อนาคามี ที่ ๔ คือ อรหันต์ สมณะจึงต้องมี"ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ"

นั่นก็คือ ผู้นั้นจะต้องม "วิชชา ๘" และต้องเป็น "วิชชา ๘" ชนิดที่เป็น"อนุสาสนีปาฏิหาริย์"ด้วย กล่าวคือ ตนต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริง "ผลแห่งความเป็นสมณะ" ของตน ด้วยตนเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นรู้แทนเด็ดขาด

ดังนั้น บรรดาอาจารย์ผู้รู้ที่สอนว่า "วิชชา ๘"นี้ ผู้ปฏิบัติที่บรรลุธรรมของพุทธ จะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ นั้น จึงส่อให้เห็นได้ชัดว่า อาจารย์ท่านผู้รู้เหล่านั้นยังไม่เข้าใจใน "อนุสาสนีปาฏิหาริย์ที่เป็นสามัญผล" เข้าใจได้แค่ว่า "วิชชา ๘"นั้นเป็น"อิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์" อยู่เท่านั้น จึงได้พูดว่า "วิชชา ๘"นี้ ผู้บรรลุพุทธธรรมขั้นมรรคผล จะมีก็ได้-ไม่มีก็ไดความเข้าใจนี้เป็นความเข้าใจผิด -เป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วก็สอนผิดๆสืบทอดกันเป็นมิจฉาทิฏฐิมาตราบกระทั่งถึงทุกวันนี้

ในประเด็นนี้ ตามสัมมาทิฏฐิก็คือ ทุกคนจะต้องมี"อธิปัญญาสิกขา"ครบตามไตรสิกขา ถ้าไม่มีความรู้จัก รู้แจ้งรู้จริงในสัจธรรมโดยเฉพาะปรมัตถธรรม ซึ่งเป็น ความรู้ขั้นอาริยธรรม แล้วผู้นั้นจะเป็นผู้บรรลุธรรม ได้อย่างไร? นั่นก็หมายความว่า ผู้บรรลุธรรมต้องมี "ความรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในปรมัตถธรรม หรือในธรรมะ ที่ตนบรรลุอาริยมรรค-อาริยผลนั้นๆ" ว่าถูกต้อง (สัมมา) ถูกถ้วน (สัมมา) ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่งมงาย ไม่ใช่คลุมเครือ ไม่ใช่เชื่อจากผู้อื่น แต่เป็น"ความจริงที่พิสูจน์ได้ด้วยตน และท้าให้ใครๆ มาพิสูจน์ได้ว่าความจริงย่อมตรงกันเป็นหนึ่งเดียวกัน" (เอหิปัสสิโก)

ความรู้ชนิดนี้แลคือ "วิชชา ๘" อันมี"ผล ๒" ได้แก่ สัมมาญาณและสัมมาวิมุติอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งเป็นผล ของการปฏิบัติไตรสิกขา หรือเป็นผลของการปฏิบัติ"จรณะ ๑๕" จะเรียกสรุปๆว่า ผลของการปฏิบัติ"มรรค ๘"ก็ได้ ซึ่งเป็นสามัญผล (ผลทำให้เป็นสมณะ)

"สมณะ"ก็คือ"อาริยบุคคล ๔" (โสดาบัน-สกิทาคามี-อนาคามี-อรหันต์) ผู้เกิดเป็น"อาริยบุคคล"ได้ เพราะปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

[มีต่อฉบับหน้า]

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๕ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ -