เรื่องสั้น- นิยม
สุขวิสุทธิ์ - จากเชียงราย บีเอ็มเอี่ยมอ่องสีครามทะยานแหวกเปลวแดดจ้า ในตอนบ่ายเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ ปาดซ้ายป่ายขวา แซงรถบุโรทั่ง หลายต่อหลายคัน จนมาถึงหน้าโรงแรมไอยรา ผมยันเบรก เหยียบคลัทซ์ ปลดเกียร์จอดรถ แล้วคว้าซองเอกสารสีน้ำตาล กับซองแดง ข้างตัว เปิดประตูรถ ผลัวะออกมา เดินจ้ำอ้าวจะเข้าล็อบบี้ พอบริกรเห็นผมก็โค้งงามๆ ก่อนประคองมือรับกุญแจรถ ไอ้กิตติมันนั่งโชว์หนังหัวที่แพ้เส้นผมอยู่ในล็อบบี้อย่างที่โทรมาบอกไว้จริงๆ ศิษย์เก่าร่วมรุ่นของผมคนนี้ ตรงตามนัดเสมอ มันเป็นเพื่อนสนิท ที่ผมไว้เนื้อเชื่อใจได้ซึ่งเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ซ้ำมันยังมีบุญคุณ คอยช่วยเหลือการค้าขาย ด้วยสุจริตวิธี ให้ผมเป็นหลักเป็นฐานมั่นคง มาจนกระทั่งทุกวันนี้ เก้าอี้นวมตรงข้ามกับไอ้ซี้ปึกของผม มีเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งที่มันกำลังคุยด้วยความคุ้นเคย ผมถือวิสาสะ นั่งเก้าอี้นวม ข้างๆ มัน อย่างไม่จำเป็นต้อง เกริ่นวาจาทักทาย พอกิตติเหลือบเห็น หน้าผมก็ยื่นซองสีขาวให้โดยไม่ทักถามมากความ ผมรับซองมาเปิดผนึก ดึงแผ่นกระดาษ ในนั้นแลบ ดูเพียงแวบก็รู้ว่า เป็นเช็คเงินสด เชื่อถือได้ "เอานี่ค่าเหนื่อยของมึงสองหมื่น" ผมส่งซองเอกสารสีน้ำตาลให้ทั้งซอง ตามด้วยซองแดง "แล้วก็นี่ ตรุษจีน กูแต๊ะเอียมึง อีกห้าพัน" "เฮ้ย...มากกว่าที่มึงกับกูตกลงกันไว้นี่หว่า" มันทักท้วงตามสันดานจองหองของลูกผู้ดีเก่าตกยาก "ไอ้ระยำ เสือกพูดมากอีก มึงกับกูเป็นเพื่อนกันมายี่สิบกว่าปี มึงยังไม่รู้จักสันดานเสี่ยเตียง เชียงราย อีกรึไงวะ!" ผมเกทับ ด่าให้มันบรรเทาความจองหอง พองขนลงเสียบ้าง "งั้นเย็นนี้กูขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงเหล้ามึงก็แล้วกัน" กิตติเกกลับด้วยข้อเสนอที่ผมปฏิเสธไม่ได้ กินเหล้า กับใคร ไม่เคยอุ่นใจ เท่ากับกินเหล้ากับ ไอ้หมอนี่ "อ้อ... กูลืมแนะนำมึง นี่ไอ้พรหลานลูกน้องเก่ากูเอง จบ ปวส. พ่อตายนานแล้ว แม่ก็เพิ่งมาตายเมื่อไม่กี่เดือน มันอยากทำงาน ทางเหนือนี่ ให้มันฝึกงาน อยู่กับมึงได้มั้ยวะ?" "หวัดดีครับเสี่ย" พรบรรจงกระพุ่มมือไหว้แบบเด็กขอฝากเนื้อฝากตัว ผมรับไหว้ พินิจพิเคราะห์ไอ้หมอนี่เพียงหางตา หน้าตาใสๆ สะโอดสะองเหมือนวัยรุ่น เหยียบขี้ไก่ ไม่ฝ่อ ตามเธค ในกรุงเทพฯ ออกจะขัดทัศนคติของผม "อืม...อั๊วจะให้ลื้อลองงานที่ฝ่ายขายดูก่อน" เปรยแค่นั้นผมก็หันไปต่อคำกับกิตติ "เห็นหน้ามึงทีไร ก็อยากให้มึง ช่วยดูเครื่องราง ให้ทุกทีสิน่า กูได้มา อีกอันหนึ่ง มึงช่วยดูให้ละเอียดนะ กูจะไม่บอกว่า เป็นอะไร มึงดูแล้วค่อยบอก อยากรู้ว่ามันตรงกันมั้ย" ผมควักกระเป๋าตังค์ หยิบพับผ้ายันต์ เปิดสองทบ เผยให้เห็นมีดหมอเล่มเล็กจิ๋ว พร้อมฝักสลักอักขระ ส่งให้กิตติดู พอเห็นปุ๊บไอ้หมอนั่นรีบล้วงกระเป๋าหยิบแว่นดูพระปั๊บ คว้ามีดหมอเล่มนั้นส่องดูผิวฝักเป็นการใหญ่ ถอดฝักออก แล้วส่องดูใบมีด เนื้อเหล็กสีดำสนิท อีกพักหนึ่ง มันเงยหน้าขึ้น เหงื่อซึมเป็นฝ้า จับบนผิวหนังหัวอาภัพเส้นผม อย่างเห็นได้ชัด ขนตามแขนของมัน ลุกซู่ซ่า ดวงตาลอยค้างเติ่ง ทบทวนความทรงจำให้แม่นยำ แล้วก้มแนบลูกกะตากับแว่นดูอีกทีเพื่อความแน่ใจ "ไอ้เตียง...นี่...นี่ มันมีดหมอมะขามเฒ่านี่หว่า เก่ามากแต่สภาพยังดีอยู่เลย ตอนนี้ไม่ค่อยมีใคร เห็นกันแล้ว นอกจากภาพถ่าย ขาวดำ มันมาอยู่ที่มึง ได้ยังไงวะ?" กิตติละล่ำละลักถาม "สี่หมื่นบาท มีคนเอามาขายให้กู" ผมตอบ อย่างภาคภูมิใจ "จริงๆ ราคามันเกือบแสนเชียวนะโว้ย!" มันโพล่งเสียงดัง "ตาของมึงนี่ดูของขาดจริงๆ ไม่เสียทีที่กูมีมึงเป็นเพื่อน เอาของกูคืนมา!" ผมชมมันก่อนแย่งมีดหมอ มะขามเฒ่า ห่อผ้ายันต์ กลับคืนมา เก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม เหลือบเห็นกิตติตีหน้าแหยๆ ด้วย ความเสียดาย ที่ได้ชมของขลังชั้นเยี่ยม เพียงไม่กี่อึดใจ ส่วนไอ้เด็กหนุ่ม หน้าใสคนนั้น นั่งเงียบกริบ เหมือนพูดไม่เป็น "ลื้อชอบเล่นเครื่องรางของขลังหรือพระเครื่องมั่งมั้ยวะพร?" ผมถามอย่างยิ้มเยาะ อายุขนาด ไอ้หมอนี่ น่ะหรือ จะรู้จักของพวกนี้ อย่างถึงกึ๋น "ผมไม่มีความรู้เลยครับเสี่ย แต่ผมห้อยพระที่แม่ให้ไว้เป็นที่ระลึกองค์เดียวเท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็น พระอะไร แล้วก็ไม่หาองค์อื่น มาห้อยอีก มันแพงเกินฐานะ ที่ผมจะหาซื้อครับ" มันตอบผมด้วยท่าทาง น่าเวทนา "อ้อ...ที่คอก็มีสร้อยนี่หว่า พระอะไรวะ? ไหนเอาออกมาให้อั๊วชมหน่อยซิ" ผมสงสัย พรล้วงคอเสื้อเอาพระเครื่องออกมา เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมเห็นองค์สามเหลี่ยมขนาดเล็ก เท่าเรือน แหวน ในกรอบสเตนเลส ก็เลิกคิ้ว ตะลึงงัน เด็กหนุ่มถอดสร้อยส่งให้ ผมคว้าแว่นดูพระจากมือ ไอ้กิตติ มาส่องดูทันที "นางพญาพิมพ์เทวดา..." ผมเอ่ยชื่อของพระเครื่องในมือที่บันทึกรูปพรรณสันฐานอยู่ในความทรงจำ กิตติแย่งสร้อยกับแว่น จากมือผม ไปส่องดูบ้าง "โอ้โฮ...วันนี้มันวันอะไรวะ! กูได้เห็นของเด็ดถึงสองอย่าง" มันอุทาน ผมคว้าสร้อยเส้นนั้นยื่นส่งคืนเจ้าของ "น้องชาย ถ้าได้ทำงานกับเฮียที่เชียงราย แล้วลื้อจะพักที่ไหนวะ จะกินจะอยู่ยังไง มีงบมาพอแล้ว หรือยัง?" ผมเปลี่ยน สรรพนามตัวเอง เป็นคำว่า เฮียแทนที่คำว่า อั๊ว ทันที "แม่ผมเพิ่งเสียครับ พอมีเงินเหลือติดตัวอยู่บ้างเล็กน้อย เลยขอตามพี่กิตติ มาหางานทำที่นี่ พี่เค้า บอกว่า จะฝากงานให้ผมทำ กับเสี่ยเตียง เชียงราย" มันบอกผมตามประสาซื่อ "ลื้ออยากมีงบพออยู่ที่นี่นานๆ มั้ยล่ะ แถมได้งานดีๆ ทำอีกด้วย?" ผมเผยข้อเสนอด้วยเลศนัย "อยากสิครับเสี่ย" พรตอบด้วยสีหน้าแช่มชื่น "แสนนึงสำหรับนางพญาพิมพ์เทวดาของลื้อที่เฮียขอซื้อ" ผมระบุข้อเสนอของทันที "ไม่ขายครับ เป็นพระของแม่ผม ผมต้องเก็บไว้เป็นที่ระลึก" เด็กหนุ่มตอบแข็งขัน "เอานะ...เฮียจะพูดอะไรบางอย่างให้ลื้อรู้ไว้ คือถ้าลื้อเกิดอดอยากปากแห้งขึ้นมา นางพญาพิมพ์เทวดา ของลื้อน่ะ บอกขายใคร เฮียรับรองได้ว่า ไม่เกินแสนหรอกวะ แต่นี่เป็นเฮีย เสี่ยเตียงเชียงราย ที่รู้จัก ค่าของพระเครื่ององค์นี้ดี เฮียถึงเสนอ แสนเต็มๆ พร้อมทั้ง งานดีๆ ให้ลื้อ ด้วยความเต็มใจ ลื้อน่าจะดีใจนะ ที่แม่ให้มรดกราคาเท่านี้ ตกทอดมาถึงลื้อ เอาล่ะ...เฮียบอกลื้อ ตามความจริงก็ได้ ว่าทำไม เฮียถึงอยากได้ พระองค์นี้นัก พระของลื้อราคาซื้อขายในระดับเสี่ยอย่างเฮียนะ ไม่ต่ำกว่า ห้าแสนบาท แต่เฮียจะให้ลื้อสูงกว่า ราคาเดิม เมื่อกี้นี้ พร้อมทั้งข้อเสนอ เหมือนเดิมทุกอย่าง สามแสน สำหรับนางพญาพิมพ์เทวดาของลื้อ!" ผมเรียบเรียงถ้อยคำ ให้น่าเชื่อถือ พร้อมทั้งควักสมุดเช็ค จากกระเป๋ากางเกง "เฮ้ย...ไอ้พร เอ็งขายให้เสี่ยเค้าไปซะ อย่างเอ็งไม่มีปัญญารักษาพระองค์นี้ไว้ได้ตลอดไปหรอก" กิตติเอ่ยสนับสนุนผม เต็มที่ ดวงตาของเด็กหนุ่ม มีน้ำเอ่อคลอหน่วย ยกมือไหว้ผม "ขอความกรุณาเถอะครับเสี่ย อย่าทำให้ผมเสียคนด้วยเงินมากมายขนาดนั้นเลย พระเครื่ององค์นี้ ผมไม่เคยรู้จัก ว่าท่านเป็น นางพญาพิมพ์เทวดา และก็ไม่รู้อีกด้วยซ้ำว่า ท่านมีค่าขนาดนั้น ท่านอยู่กับผม ทำให้ผมนึกถึงแม่อยู่เสมอ ตั้งแต่แม่เอามาห้อยคอผม ตอนเด็ก จนกระทั่ง แม่จากไป เมื่อสองเดือนก่อน..." พรพูดเสียงเครือ ระลอกหนึ่งที่ใจผมถูกคลื่นของความเศร้าซัดปะทะ แล้วค่อยๆ สงบราบเรียบ "เอาเถอะวะ เฮียเข้าใจ ลื้อไม่ขายไม่ใช่เพราะลื้ออยากโก่งราคาให้สูงกว่านี้ ทำใจให้สบายได้แล้ว" ผมปลอบโยน แล้วหันไปพูด กับกิตติ "เฮ้ย...วันนี้กูขอเกทับมึงอีกวันว่ะ จะเลี้ยงเหล้ามึง ฉลองลูกน้อง คนใหม่ของกูซักหน่อย ค่ำนี้กินข้าวกับเฮียนะพร เอาที่ห้องอาหาร ไอยรานี่แหละ อิ่มแล้วขึ้นไปอาบน้ำ อาบท่าแต่งตัว เฮียจะพาลื้อเที่ยวที่ดุสิตอินน์" ผมนึกไม่ถึงว่า นางพญาพิมพ์เทวดา จะทำให้ใจผม กว้างยิ่งกว่า แม่น้ำปิงเสียอีก าวเย็นตกถึงท้องผมพออิ่มก็ขอตัวกิตติกับพรออกไปโทรศัพท์สักครู่ ไม่นานนัก ผมกลับมาพร้อมกับ มาร์แตล สำหรับฉลองราตรีวันนี้ ที่เชียงใหม่ จากไอยรา ผมพาไอ้เพื่อนร่วมรุ่นกับว่าที่ลูกน้อง บึ่งบีเอ็ม มาที่ดุสิตอินน์ ปะหน้ากับเพียงขวัญ เด็กสาวนักศึกษาวิทยาลัยครู ที่ผมคุ้นเคยเธอดี "อ้าว ขวัญมาทำอะไรที่นี่ดึกๆ ดื่นๆ เห็นทีเฮียต้องฟ้องไอ้มิ่งให้กำราบน้องสาวมันซะมั่งล่ะ" เด็กสาวประนมมือไหว้ผมอย่างนอบน้อม "เปล่าค่ะเฮียเตียง หนูมาดูหนัง กำลังจะกลับหออยู่พอดี" เธอทำหน้าเซียว ที่ถูกผมคาดโทษ "งั้นก็อย่าเพิ่งกลับ เฮียจะแนะนำเพื่อนใหม่ให้รู้จักกันไว้ นี่พรลูกน้องใหม่ของเฮีย จะทำงานกับเฮียเร็วๆ นี้ พรนี่เพียงขวัญ น้องสาว เพื่อนร่วมงานของเฮียเอง เรียนครูอยู่ที่เชียงใหม่ อ้อ...งานแรกที่เฮีย จะให้ลื้อทำ คือต้องคอยดูแล เป็นเพื่อนคุยกับขวัญ" ผมแนะนำ เด็กสองคนให้รู้จักกัน ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วยิ้มด้วยภาษาท่าทางของคนรุ่นเยาว์ ผมเดินเข้าไปในค็อกเทลเลานจ์ที่พีอาร์สาวๆ เห็นผมแล้ว รีบยกมือไหว้ แทบทุกคน ต่างคนต่างอาสา พามาหาที่นั่งสบายๆ เป็นส่วนตัว "วันนี้เสี่ยไม่อยากได้คนคุยด้วยหรือคะ?" พีอาร์นางหนึ่งถามเสียงอ่อนหวาน "เอาไว้วันหลังดีกว่าน้อง เฮียมีธุระคุยกับเพื่อนเยอะแยะเลย" ผมปฏิเสธ หันไปบอกกิตติ "วันนี้เราต้องดวดมาร์แตลขวดนี้ให้เกลี้ยง พรกับขวัญจะสั่งอะไร ก็สั่งมาได้เรื่อยๆ เฮียเลี้ยงไม่อั้น" ผมสรรหาเรื่องงานคุยกับกิตติชั่วโมงกว่าๆ คอยสังเกตอากัปกิริยาปิดปากหาวของพร ในสถานเริงรมย์ ที่ไม่เคยชิน "อ้าว...ทำไมง่วงเร็วนักวะพร เพิ่งจะหัวดึก เออ...จริงสิวะ เฮียลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่ดิสโก้เธค" ว่าแล้ว ผมก็ควัก กระเป๋าตังค์ หยิบแบงก์ห้าร้อย ปึกหนึ่ง นับมาแปดใบ แบ่งให้เพียงขวัญกับพร คนละครึ่ง "ลื้อเห็น แมมม็อส ดิสโก้เธค ของไอยราแล้วใช่มั้ยวะพร พาขวัญไปเที่ยวที่นั่น ให้สนุกนะ เอารถ ของเฮียไป" ผมยื่นกุญแจให้ "พรคงยังไม่รู้จักทางในเชียงใหม่ดีหรอกค่ะเฮียเตียง ให้หนูขับแทนนะ" เพียงขวัญรีบแย่งกุญแจ จากมือผม "เอางั้นก็ได้ สนุกกันพอแล้วก็ให้ไอ้พรขับรถไปส่งที่หอพัก มันจะได้รู้จักถนนหนทางที่นี่ไว้มั่ง พรลื้อ ส่งขวัญแล้วทิ้งรถ ไว้ที่ไอยรา นั่นแหละ ไม่ต้องกลับ มารับเฮียหรอก" ผมแสดงความใจกว้าง เป็นพิเศษ อีกตามเคย ลับหลังเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นั้นแล้ว ผมหันมาคุยกับกิตติต่อ "เพียงขวัญมันเด็กของมึงนี่นา กูจำได้" กิตติบอก "มึงนี่จำอะไรแม่นยำดีจริง ทำไมถึงไม่ยอมทำงานกับกูที่เหนือนี่ละวะ ฐานะมึงจะได้ดีขึ้น? กูจะได้ ไม่ต้องมีภาระ คอยฝึกเด็กอ่อนหัด อย่างไอ้พร ที่มึงฝากกูทำงาน" ตกบ่ายอ่อนๆ วันรุ่งขึ้น ผมกับไอ้บุญลูกน้องหน้าเหี้ยมมานั่งคอยพรในห้องพัก โรงแรมไอยรา อย่างใจเย็น ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เด็กหนุ่ม ก็เปิดประตูเข้ามา มองเห็นหน้าผม มองเห็นหน้าเหี้ยมๆ ของไอ้บุญ "เมื่อคืนลื้อสนุกมากมั้ยวะพร?" ผมถามน้ำเสียงราบเรียบอ่อนโยน "สนุกครับเสี่ย ผมขับรถพาขวัญไปกินข้าวกลางวัน แล้วไปส่งที่หอพัก เอารถเสี่ยมาจอดที่นี่" มันรีบรายงานโดยละเอียด "ลื้อรู้มั้ย ขวัญเป็นอะไรกับเฮีย?" "ไม่รู้ครับเสี่ย..." พรตอบ แต่สีหน้าบ่งบอกความเข้าใจรูปการณ์ชัดเจน "ขวัญมันเป็นเด็กของเฮียเอง อ้อ...เป็นอีหนูที่เฮียเลี้ยงไว้น่ะ เห็นมั้ย เฮียใจกว้างกับลื้อแค่ไหน และ เห็นลื้อ มีค่ากับเฮียแค่ไหน? อีหนูของเฮีย ยังยกให้ลื้อ มานอนกกในห้องนี้ได้เลย" ผมหยิบกระดาษ พับครึ่ง แผ่นหนึ่ง ออกจากกระเป๋าเสื้อ "นี่เช็คสามแสนบาทพร้อมข้อตกลงเหมือนเดิมทุกอย่าง
ลื้อขายนางพญาพิมพ์เทวดา ให้เฮียเถอะ" "เฮ้ย...ไอ้กิตติมันไม่รู้เรื่องนี้เลย มันเมาหลับตั้งแต่เช้ามืด เฮียขอซื้อพระของลื้อดีๆ ในราคายุติธรรม ที่สุดแล้วนะ ลื้อก็ยัง ไม่ยอมขาย" ผมพูดแค่นั้น หันไปพยักหน้ากับไอ้บุญ "อย่าให้หน้าตามันบอบช้ำล่ะ เดี๋ยวไอ้กิตติ มันจะมาด่าอั๊วเข้า" ผมออกคำสั่ง กับลูกน้องหน้าเหี้ยม ด้วยน้ำเสียง รักษาระดับ ความราบเรียบ อ่อนโยน บุญผวาเข้าไปอัดอัปเปอร์คัต ปักท้องพรดังสนั่น ร่างสะท้านสะดุ้งเฮือกสุดตัว ค่อยๆทรุดลงกองกับพื้น อาหารกลางวัน ที่เพิ่งกิน พุ่งกระฉูดจากปาก กระจายเป็นทางยาว บนพรมพื้นห้อง "เวรกรรม...เวรกรรม" ผมพึมพำอย่างสมเพชเวทนา ใบหน้าซีดเผือด ปากเขียวบิดเบี้ยว ด้วยความ เจ็บปวด มันขย้อนคอ กระอักน้ำข้นๆ เขียวเหลือง ออกมาอีก ผมก้าวเข้าไปกระตุกสร้อย นางพญา พิมพ์เทวดา จากคอมัน จนสายขาดติดมือ แล้วทิ้งเช็คที่ถืออยู่ ลงบนพื้น เสียงเปิดประตูห้อง...มีใครเข้ามาอีกคน "ไอ้เตียง..." กิตติเรียกผมด้วยเสียงแหบแห้ง มันเห็นผม มันเห็นอาการของพร มันเห็นสร้อย นางพญา พิมพ์เทวดาในมือผม มันเห็นเช็ค ที่ตกอยู่บนพื้นห้อง "มึงคงไม่ถามกูหรอกนะว่าทำไม?" ผมรีบเอ่ยปากดักคอ "กูเห็นแล้วไม่อยากถาม ไม่อยากทักท้วงอะไรทั้งนั้น แต่กูจะบอกอะไรอย่างหนึ่ง ที่กูรู้จักสันดานมึงดีว่า มึงเห็นค่า ของข้าวของ มากกว่า เห็นค่าของจิตใจคน เพราะอย่างนี้ กูถึงไม่อยากทำงานกับมึง ไม่อยาก ให้มึงมามีบุญคุณอะไรกับกู" กิตติแดกดันผม ด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ "กูขอซื้อมันด้วยราคาและข้อเสนอที่ยุติธรรม" เสียงห้าวลึกของผมย้อน "ยุติธรรมตามสันดานเอาแต่ใจของคนมีเงินอย่างมึงน่ะสิ! มึงแย่งของเด็กคราวลูกคราวหลาน มึงแย่งสัญลักษณ์ ที่เป็นตัวแทน แม่ของมัน แถมมึง ยังให้ลูกน้องทำร้ายมันอีก กูจะบอกให้มึงรู้ไว้ ไอ้เครื่องรางของขลัง หรือพระเครื่องน่ะ มันเป็นแค่ความเชื่อถือ หรือวัตถุมงคล ค่าที่เป็นตัวเงิน ของมันก็คือ ราคาคุยนั่นเอง ราคาจริงในท้องตลาด ไม่ถึงหมื่นบาทหรอกวะ ต้องขายกันในราคาต่ำๆ เพื่อให้มัน เปลี่ยนมือกันไป เปลี่ยนมือกันมาคล่องๆ เพราะไม่แน่ว่า มันเป็นของร้อนรึเปล่า มันไม่ใช่ หลักทรัพย์ ที่มีการประกันราคา เหมือนบ้าน เหมือนที่ดิน มึงค้าขายมา จนร่ำรวยขนาดนี้ กูนึกไม่ถึง เลยว่า มึงยังดักดานงมงาย ไอ้พรมันเป็นคนรักแม่ มึงก็เป็นคนรักอาม่า ของมึงมาก แต่มึงกลับ ทำร้ายเด็กรักแม่ อย่างไอ้พรได้ลงคอ มึงไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยรึไงวะ?" "ใช่สิ... อาจเป็นเพราะกูรักอาม่าของกูมาก รักยิ่งกว่าเตี่ยของกูเสียอีก" แวบเดียวที่หวนนึกถึงอาม่า ขาผมอ่อนล้า สั่นระริก ต้องถอย ไปนั่งเก้าอี้ที่มุมห้อง วางสร้อยนางพญาพิมพ์เทวดา ลงบนโต๊ะกระจก ข้างเก้าอี้ตัวนั้น กลืนก้อนเหนียวหนับ จับในคอหอยลงไป อย่างลำบาก ยากเย็น แล้วหันไปพูด กับเด็กหนุ่ม ที่ยังไม่หายจากอาการจุก เจ็บปวดทรมาน "ไอ้พร ลื้อคงรู้นะว่า คนอย่างเฮียขอโทษใครไม่เป็น แล้วลื้อก็คงรู้ว่า คนอย่างเสี่ยเตียงเชียงราย สันดาน มันเป็นยังไง เช็คสามแสนน่ะ ลื้อเอาไปเถอะ นางพญาพิมพ์เทวดาของแม่ลื้อ นำโชคมาให้แล้ว ลื้อกลับกรุงเทพฯ ไปซะ เฮียรับลื้อทำงานไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่า ลื้อเป็นคนเลว อะไรหรอก แต่เพราะ ถ้าลื้อยังอยู่ที่เชียงใหม่ หรือที่เชียงราย เฮียคงระงับความอยากได้ นางพญาพิมพ์เทวดา ของลื้อไม่ได้" "เวรกรรม...เวรกรรม" ไอ้กิตติมันรำพึงอย่างสมเพชเวทนา ด้วยน้ำเสียงเดียวกับผม ไม่ผิดเพี้ยน
- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๕ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ - |