รู้ให้ทันทักษิณาธิปไตย ทำไปทำมา ๖ กุมภา ๔๘ พรรคไทยรักไทย ชนะเลือกตั้งถล่มทลาย เป็นประวัติการณ์ ไม่เคยมีใคร ทำได้มาก่อน เลยสมใจนึกทักษิณ ชินวัตรผู้เก่งกาจสามารถทำการเมืองให้นิ่ง นับแต่นี้ไป คงไม่มีใคร หาญขวางหน้าผู้นำของเราได้ น่าสงสารชมรมรู้ทันทักษิณ ยังอยู่ดีมีสุขหรือเปล่า ไม่ทราบ เมืองไทยจะเป็นอย่างไรในสี่ปีข้างหน้า เมื่อไทยรักไทยเป็นรัฐบาลพรรคเดียว กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ มีประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านต่างไม้ประดับตายซาก ครั้นจะสมน้ำหน้าประชาธิปัตย์ มันเกิดอารมณ์ชิงชังผลักไสไม่ดี เอาแค่สมเพชโทษฐานดีแต่พูด ปัดสวะไปวันๆ ตามประสาพวกหัวหมอจ้อผ่านจอ...ยังไม่ได้รับรายงาน เจ้าหลักการ แต่ไม่เคย ทำอะไรเป็นท่า ภาพลักษณ์น่าเบื่อเหล่านี้ มันตรงข้ามกับไทยรักไทย ดีชั่วยังไงผู้นำเขารู้จักคิดใหม่ ทำใหม่ ถึงจะดีบ้างไม่ดีบ้าง หักลบแล้วมันได้มากกว่าเสีย ผู้คนก็ยอมรับพอทนไหวโดยส่วนใหญ่ การเมืองของไทย มาถึงทางตีบตันอับจนทุกวันนี้ ด้วยน้ำลายฝีปากนักการเมืองมืออาชีพน้ำเน่า ทั้งหลาย บางครั้งจะมีน้ำดีเข้ามาแหลมแจ้งเกิดใหม่บ้าง ก็โดนสาดเสียเทเสีย หาว่าเป็นครึ่งคน ครึ่งพระ ในขณะที่ตัวเองเป็นพวกครึ่งคนครึ่งผี ลอยหน้าลอยตาสง่างามเพราะลอยนวล ยิ่งการเมืองไร้คุณธรรมเอามากๆ ไม่ยอมให้ศาสนาเข้ามายุ่งเกี่ยวใดๆ เลย เพราะกลัวศาสนา จะเข้าไป ครอบงำ กุมอำนาจทางการเมือง ผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้าย (โดยโมหะ) จึงพากันกีดกันศาสนาออกจาก การเมือง ให้ห่างไกลคนละฟากฟ้าไปโน่นเลย ต่างคนต่างทำ เช่น องค์กรการกุศล ห้ามยุ่งเกี่ยว การเมืองเด็ดขาด เราถึงได้นักการเมืองที่ไม่รู้บาปบุญคุณโทษดังที่เห็นและเป็นอยู่จริง คือ เสือสิงห์ กระทิงแรด เต็มสภา... "สภาใดไร้สัตบุรูษ สภานั้นไม่ใช่สภา" นักการเมืองคนไหนบ้าง ที่เคยได้ยินพุทธภาษิตนี้เป็นบุญหู และน่ารู้เหมือนกันว่า สภาห้าร้อยที่เลือกกันเข้าไปนั่น จะมีสัตบุรุษถือศีลสัตย์อยู่กี่คน แล้วจะไป หวังอะไรได้ ยิ่งโดนมนต์สะกดให้นิ่งเป็นเป่าสาก ตามใจท่านผู้นำ ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่ผู้เดียว เรียบร้อยโรงเรียนไทยรักไทย ภาพพจน์การเมืองที่กลายเป็นเรื่องเลอะเทอะ ยื้อแย่งผลประโยชน์ด้วยอุบายเล่ห์เหลี่ยมกลโกง ซ่อนซ้อนนานา ผลพวงเหล่านี้ มาจากนักการเมืองที่ล้วนนับถือศาสนาทั้งนั้น แต่นักการเอง ที่ถือศาสนาแท้ๆ คงไม่น่าห่วงเท่าไรดอก โดยเฉพาะ ไม่ค่อยมีหรอกที่จะถือศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ อะไรมากมาย เห็นมีแต่พวกถือศาสนาคิด ศาสนาพูด เป็นส่วนใหญ่แทบทั้งนั้นเลย ยิ่งการศึกษาด้วยแล้ว เห็นนำพาให้คนฉลาดคิด ฉลาดพูด มหา'ลัยกลายเป็นตลาดขายความรู้ เพื่อสนองตัณหา พวกรู้มากอยากเอาเปรียบคนทั้งหลายต่อๆ ไป เชื่อว่า พื้นฐานการเมืองน้ำเน่า ที่เอาตัวรอด ดีแต่คิด ดีแต่พูด หลอกชาวบ้าน แล้วล้วงตับกินไส้ หากินกอบโกย โดยไม่มีใครรู้ทัน เหตุสำคัญเหล่านี้กลายเป็นช่องว่างทางการเมือง คนดีๆ ไม่อยากเล่น การเมืองด้วย กลัวเปื้อนเหมือนไม้สั้นไปรันขี้ เมื่อเบื่อประชา-ธิปัตย์จึงไม่เห็นหน้าไหน เป็นทางเลือก ที่สาม ถึงจะเกิดพรรคมหาชนก็หนีไม่พ้นพวกที่แตกจากประชาธิปัตย์ ซ้ำร้ายไปอาศัยบารมีเจ้าพ่อ ที่สังคมเดียดฉันท์อยู่ เลยไม่ได้เรื่อง หลายคนทำใจ แม้จะช่วยเลือกหมาไปกัดกันก็เถอะ มันก็ยัง ไม่ได้ความ ไม่สำเร็จอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น เมื่อคนไทยไม่รู้จะเลือกพรรคไหนดี พรรคดีแต่พูดตกกระป๋อง เหลือแต่ไทยรักไทย ที่กล้าคิดกล้าทำ เป็นรัฐบาลมีผลงานปราบยาบ้า รักษาโรค ๓๐ บาท สารพัดเอื้ออาทร อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันจึงออกหวยที่ไทยรักไทย กลายเป็นคนกินรวบยอด จะไมให้ไทยรักไทยกินรวบได้ยังไง ในเมื่อคุณทักษิณ นักการตลาดยอดฉลาดแกไปกวาดซื้อ มาเกือบ เกลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นคอกค่ายความหวังใหม่ ชาติพัฒนา ชาติไทยส่วนใหญ่ ไม่ต้องนับถึงพรรคย่อย พวกยี้ ยี่ห้อไหน กว้านต้อนมาเลย ไทยรักไทยรับเละ เบื้องหลังการถ่ายทำปรากฏภาพลงทุนกันเช่นนี้ นักวิเคราะห์เจาะฐานเสียงเดิม มันนับได้สามร้อยกว่าอยู่แล้ว จึงยิ่งไม่น่าประหลาดที่ผู้นำท่านตั้งเป้า ๓๕๐ แล้วนอนมากว่านั้นอีก รวมความ ชัยชนะของไทยรักไทย ในมุมมองของผู้รู้ทันทักษิณ ท่านชี้ว่าเป็นเพียงผลสำเร็จ ทางเทคนิค เป็นสำคัญ ประกอบกับเหตุปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ อีกหลายประการล้วนเอื้ออำนวยช่วยส่งเสริมทั้งนั้น เรื่องจึงไม่น่าตื่นเต้น ที่จะไปเห็นว่าการเมืองมีอะไรก้าวหน้าขึ้นมาจริงจังแน่แท้ แม้เราจะต้องยอมรับผลสำเร็จของผู้นำไทยรักไทยตามกติกา จนสามารถตั้งรัฐบาลผูกขาดอำนาจ ทั้งฝ่ายบริหาร และนิติบัญญัติ มันก็อดห่วงไม่ได้กับการเมืองนิ่งๆ เมื่อพรรคฝ่ายค้านเหมือนพิการ ทำอะไรไม่ได้ แล้วจะมีใครทัดทานถ่วงดุลอีก ประชาชนมีสิทธิ์เสียงเฉพาะตอนหย่อนบัตร เลือกตั้ง ท่านั้นเอง หรือหลังเลือกตั้งเสร็จไปอีกสี่ปี ทุกคนได้แต่มองดูรัฐบาลทำไป ไม่มีสิทธิ์โวยอะไรอีก จนกว่า จะถึงวันเลือกตั้งใหม่อีกครั้งในสี่ปีข้างหน้า จะไหวไหมนี่ ถ้าทุกอย่างเดินหน้าไปตามทางที่ผู้นำไทยรักไทยวางหมากไว้ แสดงว่าเราช่างห่างชั้นกับประชาธิปไตย เสียเหลือเกิน คือ ประชาชนมอบสิทธิ์ขาดสี่ปี (เซ้งสิทธิ์) ในการบริหารประเทศให้แก่พรรคไทยรักไทย นายกฯทักษิณทำอะไรๆ ได้เด็ดขาด โดยไม่มีใครในสภาแตะได้ ไม่มีใครในพรรคกดดันได้ ประชาธิปไตย สายเดี่ยว ไม่มีดุลถ่วงเสียเลย นี่หรือคือ ประชาธิปไตยแบบทุนนิยม ที่ผู้นำของเรา ชื่นชอบเหลือล้น !? แม้ว่าในไทยรักไทย จะไม่มีใครกล้าหือหรือลุกขึ้นขบถได้ เพราะหัวหน้าพรรคฉลาดเลี้ยงเสือสิงห์ กระทิงแรด หลายมุ้งหลายวัง เข้าตำราแบ่งแยกแล้วปกครองง่ายดี ลูกพรรคร้อยพ่อพันแม่ รวมกัน ไม่ติด จึงไม่มีวันกดดันผู้นำของเราได้ ขนาด ส.ส.ในพรรคไทยรักไทยเอง ยังไม่มีน้ำยาขัดใจท่านผู้นำได้เลย แล้วประชาชนเดินถนนพวก ไหนๆ จะไปมีฤทธิ์เดชทักท้วงอะไรท่านได้ การเมืองคงจะนิ่งเงียบฉี่ทำนองนี้กระมัง.. คุณทักษิณตั้งท่าบริหารบริษัทประเทศไทย เหมือนกับบริษัทชินวัตร ข้อแตกต่างสำคัญเช่น ผลกำไร ของประเทศที่เป็นตัวเงิน เป็นของประชาชนแค่ไหน...ตัวอย่างแค่เอาหุ้น ปตท.เข้าตลาดหลักทรัพย์ ไม่ถึง ๒ นาที หมดเกลี้ยง ตัวเขมือบเป็นใครไม่รู้ ราคาหุ้นเพิ่มห้าเท่า เข้ากระเป๋าใครบ้าง ช่วยไม่ได้ ที่ไปกระจุกบางคน แต่นายกฯ ก็ยกเอากรณี ปตท.มาคุยโขมงว่าสำเร็จผลวิเศษเป็นคุ้งเป็นแคว คุยโอ่ ไม่เสร็จเพื่อแปรรูปต่อไป ทั้งที่มันน่าจะขายขี้หน้ามากกว่า แต่คนฉลาดเลือกพูดเฉพาะมุมโก้ๆ มุมเน่าๆ ซุกไว้ใต้พรม สี่ปีสร้างต่อจากสี่ปีซ่อม โดยพรรคไทย-รักไทย ผู้รับสัมปทานผูกขาดบริษัทประเทศไทย คงน่าจับตามอง อย่ากะพริบตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าไปเพ้อฝันเลยว่า คนจนจะหายจนหรือดีขึ้นกี่มากน้อย ในขณะที่นายทุน ไม่กี่สิบตระกูล รวยเอาๆ ไม่รู้เท่าไหร่ แล้วยังจะทวีคูณไปอีกกี่ต่อ รวยจนช่องว่างยิ่งถ่างห่างมากขึ้น อันนี้เป็นของตายแน่ ที่รวยไม่เสร็จ ช่างตรงกันข้ามกับนายตายแน่ มุ่งมาจน ผู้กลัวรวยอีกต่างหาก จึงน่าคิดเหมือนกันว่า วิถีกล้ารวย กับวิถีกล้าจน อันไหนทำบาปบุญคุณไทยให้แก่แผ่นดินได้มากกว่ากัน มีใครตอบได้บ้าง? อนึ่ง ปัญหาสำคัญของประชาธิปไตยแบบไทยๆ กลายเป็นถอยหลังเข้าคลอง นักลงทุนสามารถ แปรทุน เป็นอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง จนกระทั่งแปรอำนาจรัฐหรืออำนาจผูกขาด กลับมาเป็น ทุนทรัพย์มหาศาลเพิ่มขึ้นอีก ในที่สุด วิถีธนาธิปไตยช่วยให้เกิดทักษิณาธิปไตย ใช่หรือไม่...? คงจะเป็นเพราะสังคมเข้าใจประชาธิปไตยไม่เพียงพอเสียเลย เช่น สภา ส.ส.ห้าร้อย ไม่ควรมี มติพรรค มาบังคับสมาชิกพรรค จะต้องออกเสียงตามมติพรรค (ที่ตัดสินโดยแกนนำ) ส.ส. ทุกพรรค ความมีอิสระ ในการตัดสินแต่ละกรณี ดังนั้น แม้ไทยรักไทย จะยึดที่นั่งในสภาได้ถึงราว ๗๓ % จนผูกขาดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว มีประชาธิปัตย์ และชาติไทยคอยเป็นฝ่ายค้านเสียงข้างน้อย ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่ารัฐบาลเผด็จการนั้น อันตราย อันที่จริงพรรคฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งตายตัว ในพรรคไทยรักไทยเอง ทุกคนควร พร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้านกับแกนนำ หรือพร้อมค้านในสภาได้ทุกกรณีเมื่อเห็นความไม่ชอบธรรม ถ้า ส.ส.นั้นๆ ยังเป็นไทย ไม่ใช่ทาสของใครจะสั่งหันซ้ายหันขวาได้ตามใจชอบแห่งตัณหา หรือ อัตตามานะทิฐิ โดยสัจธรรม ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ทุกคนมีอิสระทางความคิด กล้าคิดใหม่ทำใหม่ มีสิทธิมนุษยชน ของตัวเอง จึงออกประหลาดที่คุณทักษิณวาดฝันการเมืองนิ่งๆ จนทำได้จริงดังฝันในวันนี้ และ รังเกียจแม้กระทั่งข่าวการเมืองแต่ละมุ้งในพรรคนอกพรรค ไม่อยากให้สื่อข่าวนั้นๆ หลายคนคง ไม่วายสงสัย การเมืองจะแน่นิ่งไปได้สักกี่น้ำ... อย่างไรก็ดี เราท่านในฐานะผู้น้อยที่ต้องยอมรับคนชื่อทักษิณ ชินวัตรว่าเป็นผู้นำของบ้านเมือง โดยชอบธรรม ขณะเดียวกันเมื่อท่านติดยึดปักมั่นถือเหนียว ผูกขาดความถูกต้องแต่ผู้เดียว โดยใครๆ ไม่กล้าขัดขวาง หรือท้วงติงอะไรได้เลย แนวโน้มของผู้มีอำนาจเหลือล้น จะคิดใหม่ทำใหม่ อะไรเลยเถิดถึงไหนต่อไป อย่างที่หวาดกลัวหรือเปล่า เราคงรู้ไม่ทันท่านได้ง่ายๆ คงได้แต่ปรับทุกข์ และรู้ให้ทันในอุทาหรณ์ใดๆ อันจะพึงบังเกิดขึ้น ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอย่างไร เชิงไหน เป็นเรื่องอนาคตยังมาไม่ถึง จึงไม่น่าวิตกล่วงหน้า เพียงแต่ เคยได้ยินคำสอนพระผู้รู้ท่านสอนไว้อย่างน่าฟังว่า "ปราชญ์ จะไม่สร้างอำนาจให้แก่ตนเองจนคนเกรง ไม่กล้าติ ไม่กล้าท้วง ส่วนคนแค่ฉลาด จะสร้างอำนาจให้แก่ตนเอง จนคนเกรง ไม่กล้าติ ไม่กล้าท้วง" - เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๖ เดือน มีนาคม ๒๕๔๘ - |