- จำลอง ศรีเมือง -
เมืองไทยนานๆ จะโชคร้ายเสียที ผมยังหาไม่พบว่าเคยมีการบันทึกไว้ที่ไหน กี่สิบปีมาแล้วที่แล้งเหมือนปีนี้ แล้งจัดเกือบทุกจังหวัด เกือบหมดประเทศ ในหลายที่หลายแห่ง อย่าว่าแต่ขาดน้ำ ทำไร่ทำนาเลย น้ำจะใช้อาบ ใช้ซักผ้า ใช้ราดส้วม ก็เกือบจะไม่มีเอาเลย
สระหน้าห้องประชุมโรงเรียนผู้นำเคยมีน้ำตลอดปี ปีนี้แห้งมาเป็นเดือนๆ แล้ว แห้งจนท้องสระแตกระแหง วัวควายลงไปเดิน เหมือนเดินบนผืนนา เลือกขุดสระตรงจุดที่น้ำฝน ไหลจากภูเขา จากที่สูง หลายๆ สายมารวมกัน หน้าฝนน้ำล้นสระเป็นประจำเกือบทุกปี
น่าห่วงที่รัฐบาลจะระดมขุดบ่อนับหมื่นๆ แสนๆ บ่อ เชื่อเหลือเกินว่าหลายๆ บ่อจะเป็นเหมือนเอากะละมังไปตั้งไว้กลางแจ้ง ปีหนึ่งๆ จะได้น้ำสักเท่าไร แต่ก็ยังดีกว่าไม่แก้อะไรเลย
โรงเรียนผู้นำทำทุกวิธีที่จะหาน้ำมาประทังไปจนกว่าฝนจะมา ขอยืมรถบรรทุกน้ำขนาดใหญ่ไปสูบน้ำจากข้างนอกบ้าง สูบจากบ่อบาดาลในโรงเรียนบ้างซึ่งไหลๆ หยุดๆ เอาแน่ไม่ได้ และสูบน้ำจากโอ่งขนาดใหญ่ที่มีอยู่หลายร้อยใบ ซึ่งตุนน้ำไว้ก่อนแล้ง
มีการประชุมกสิกรในโครงการเกษตรอยู่รอด ให้ช่วยกันประหยัดน้ำใช้ ประหยัดให้ยิ่งขึ้นๆ มิฉะนั้นคงไม่รอดแน่ การใช้น้ำแต่ละครั้งให้ได้หลายๆ อย่าง เช่น ซักผ้าแล้วเอาน้ำไปล้างจาน ล้างจานเสร็จเอาไปราดส้วมหรือเอาไปรดน้ำต้นไม้ต่อ กสิกรบางคนเล่าให้ฟังว่านอกจากจะอาบน้ำใช้น้ำน้อยแล้ว ยังเร่ไปอาบใต้ต้นไม้ต้นนั้นต้นนี้ เพื่อรดน้ำไปในตัวด้วย
ชาวไร่ชาวนาโชคร้ายมาก นอกจากจะถูกถล่มด้วยภัยแล้ง น้ำมันยังแพงซ้ำเติมอีก แพงที่สุดอย่างไม่เคยแพงมาก่อน เสียค่าน้ำมันเครื่องสูบน้ำมากขึ้น การขนส่งพืชผลการเกษตรเสียเงินมากขึ้น ราคาปุ๋ยแพงขึ้น และอะไรต่อมิอะไรก็ราคาแพงตามไปหมด
เกษตรกรรายย่อยจะรอดพ้นจากภาวะย่ำแย่นี้ไปได้ ต้องใช้วิธีเดิม แต่ทำให้จริงจังยิ่งขึ้น ได้ผลมากขึ้น คือ ลดต้นทุนการผลิตด้วยการไม่ใช้สารเคมีเลย และประหยัดให้ถึงที่สุด
ท่านรัฐมนตรีสุดารัตน์ รับตำแหน่งใหม่ไม่กี่วันก็ขอให้คณะกรรมการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์แห่งชาติช่วยให้คำแนะนำ ทำเป็นจังหวัดนำร่อง ทุ่มเรื่องเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มที่ ให้เห็นผลอย่างช้าภายในปีครึ่ง แล้วให้จังหวัดอื่นๆ ทำตาม
พลตรีพิเชษฐ์ วิสัยจร ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๖ เป็นกรรมการด้วยคนหนึ่ง ส่งกำลังไปช่วย ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ติดต่อกันมาเป็นปี ได้เล่าให้ที่ประชุมฟังว่า การที่ทหารไปเผยแพร่สนับสนุนให้ชาวบ้านทำเกษตรอินทรีย์นั้น ชาวบ้านชอบมาก จะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาได้อย่างดีถ้าทางราชการจะเพิ่มการช่วยเหลืออย่างเต็มที่
ที่ประชุมจึงมีมติให้จังหวัด ยะลา นราธิวาส และปัตตานี เป็นจังหวัดนำร่องเกษตรอินทรีย์ ร่วมกับจังหวัดอื่นๆ ทุกภาค รวม ๑๖ จังหวัด เมื่อน้ำมันดีเซลขึ้นราคาอย่างพรวดพราด คณะกรรมการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์แห่งชาติต่างเห็นพ้องต้องกันว่า จะต้องเตรียมผลิตและขายปุ๋ยอินทรีย์ราคาถูกมากให้เกษตรกร
กรมพัฒนาที่ดินชี้แจงว่ากำลังเตรียมสร้างโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ๗,๐๐๐ แห่งทั่วประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ผมท้วงติงว่าน่าจะเริ่มสร้างน้อยๆ โรงก่อน เมื่อได้ผลดีแล้ว จึงจะสร้างเป็นพันๆ โรง มิฉะนั้นจะกลายเป็นเศษเหล็ก เสียเงินเปล่า การสร้างโรงงานปุ๋ยต้องใช้เวลา ซึ่งจะผลิตปุ๋ยขายได้อย่างเร็วก็ปี ๒๕๔๙ ในระยะเร่งด่วนนี้ ควรทำตาม ที่ท่านนายกฯ ทักษิณ สั่งคือ ทำเหมือนบริษัทเท่าทุน สามารถช่วยเกษตรกรได้ทันที
เรื่องเกษตรอินทรีย์ที่ไม่ใช้สารเคมี พูดกันมานาน ทำกันมานาน แต่ยังไม่ก้าวหน้าคราวนี้รัฐมนตรีเกษตรลุยเต็มที่ คงจะเห็นเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นที่พึ่งของเกษตรกรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามนี้ ยามที่ปุ๋ยเคมียาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ราคาแพงลิบลิ่ว
โรงเรียนผู้นำตั้งมา ๑๙ ปี ผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมอายุ ๒๕ ถึง ๕๕ ปี ปีนี้จะเริ่มฝึกอบรมให้นักศึกษามหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมากๆ ควบคู่กันไปกับการฝึกอบรมผู้ใหญ่ เมื่อกลางเดือนมีนาคมมีนักศึกษาจากมหา-วิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณีไปโรงเรียนผู้นำ ๒๑๘ คน ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดนับแต่เปิดโรงเรียนมา ทำให้บ้านป่านาดอย คึกคักขึ้นเป็นพิเศษ
เช้าวันสุดท้ายเป็นกิจกรรม "ปีนเขาเข้าถ้ำ เน้นย้ำอุดมการณ์" ไปถึงถ้ำกันได้ครบเพราะล้วนแล้วแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาวทั้งนั้น ผมพูด ในถ้ำเสร็จ ขณะเดินอยู่กลางป่า ก็มีผู้สื่อข่าววิทยุ พูดโทรศัพท์จากกรุงเทพฯ ถามว่าผมอยู่เบื้องหลังการชุมนุมของพระสงฆ์ ๕,๐๐๐ รูปที่ตลาดหลักทรัพย์ใช่ไหม ผมไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีการชุมนุม เพิ่งทราบจากผู้สื่อข่าวตอนนั้นนั่นเอง
ผมให้ความเห็นว่าถ้าผมอยู่เบื้องหลังก็ไม่ผิด แต่ผมไม่ได้ทำก็บอกว่าไม่ได้ทำ ท่านจันทร์ สมณะนักเทศน์สันติอโศกท่านบอกผมว่า ท่านเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า พระองค์ไหน อยู่เบื้องหลัง เพื่อจะไปกราบได้ถูกองค์ วันต่อมาจึงทราบรายละเอียดจากหนังสือพิมพ์ ซึ่งการชุมนุมคัดค้านของพระท่านบางแง่มุมท่านมีเหตุผลดีกว่าผม แม้ผมจะเป็นคน จุดพลุก่อนก็ตาม
"เมื่อเวลา ๐๗.๓๐ น. วันที่ ๑๘ มีนาคม พระสงฆ์กว่า ๕,๐๐๐ รูป ภายใต้ศูนย์ประสานงานคณะสงฆ์แห่งประเทศไทย (ศปส.) มาจากหลายสำนัก เช่น เสถียรธรรมสถาน สำนักสันติอโศก วัดพระธรรมกาย รวมถึงพระสงฆ์ตัวแทนจากภาคใต้ ภาคอีสาน ได้เดินทางด้วยรถบัสกว่า ๕๐ คัน มาชุมนุมหน้าอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อประท้วงการนำบริษัทไทยเบฟเวอร์เรจส์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของผลิตภัณฑ์เบียร์ช้างเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ต่อมานางภัทรียา เบญจพลชัย รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ออกมารอรับหนังสือคัดค้าน โดยไม่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ มาร่วมต้อนรับ หรือรับการร้องเรียน และเมื่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่ของตลาด ได้รับคำตอบว่า กิตติรัตน์ ติดประชุม ไม่สามารถลงมารับขบวนประท้วงของพระได้
กระทั่งเวลา ๐๙.๔๐น. คณะสงฆ์ได้มาชุมนุมบริเวณหน้าอาคารตลาดหลักทรัพย์พร้อมทั้งเริ่มสวดรัตนสูตร บท "ยังกิญจิ" หรือบทขับไล่ความชั่วร้ายนำสิ่งดีๆ มาแทน แล้วต่อด้วยคำถวายพรพระ "พาหุง" ก่อนที่ตัวแทนพระสงห์จะอ่านแถลงการณ์เป็นภาษาอังกฤษ และตามด้วยภาษาไทย ระบุว่าการนำธุรกิจเหล้า เข้าตลาด ถือเป็นการระดมทุน ที่ขัดต่อหลักศีลธรรม ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๘ เป็นการระดมทุนเพื่อสร้างผลประโยชน์ส่วนตัว เป็นการทำลายโครงสร้าง ทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วยจากแอลกอฮอล์ ทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียงบประมาณหลายหมื่นล้าน"
ในเวลานั้น ผู้สื่อข่าวต่างก็อยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง ถ้าสืบไม่ได้ก็เสียชื่อผู้สื่อข่าวหมด พระจีนรูปหนึ่ง ชื่อ พระติกเกียมป๊วยอยู่วัด แถวๆ เยาวราช ท่านบอกผู้สื่อข่าวว่า ไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง ท่านทราบข่าวว่าจะมีพระเดินทางไปรวมกันจึงไปตามนัด เพราะเห็นว่าปรกติเจ้าของบริษัทน้ำเมาก็รวยอยู่แล้ว ถ้าเอาบริษัทเข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุนมากๆ ได้ก็จะขายได้ถูกลง ประชาชนจะถูกมอมเมามากขึ้นอีก
ผมทราบเรื่องที่เขาจะเอาบริษัทน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ วันที่ ๒๓ มกราคม ซึ่งเหลือเวลาอีก ๓ วัน คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์จะประชุมตัดสินแล้ว นักธุรกิจ ที่ผมรู้จัก มานานแล้วคนหนึ่ง ซึ่งไม่ปรากฏชื่อในวงสังคม บอกผมเรื่องนี้ ถ้าบริษัทน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ เขาและเพื่อนๆ กลุ่มหนึ่งที่อยู่ในแวดวงนั้นจะได้เงินกว่าร้อยล้านบาท แต่บ้านเมืองจะเสียหายมาก
เห็นว่าผมอาจช่วยคัดค้านได้ เพราะเรื่องอะไรๆ ที่มีผลกระทบต่อสังคมผมค้านเป็นผลมาแล้วหลายเรื่อง ผมเองก็แปลกใจ เรื่องสำคัญๆ อย่างนี้ทำไมถึงเงียบ จึงตอบรับทันที ว่าจะพยายาม แต่หวังผลไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีใครช่วยคัดค้านบ้าง
ผมรีบโทรศัพท์ถึงกรรมการตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่เห็นด้วยกับการอนุญาต และผู้ที่ยังครึ่งๆ กลางๆ ยังไม่ตัดสินใจว่าจะอนุญาตให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ดีหรือไม่ เพื่อผนึกกำลัง กันให้แน่น ที่จะไม่อนุญาต ส่วนกรรมการที่ปักใจแน่วแน่แล้วว่าจะออกเสียงอนุญาตนั้นผมไม่พูดให้เสียเวลา และให้บาดหมางกันเปล่าๆ ซึ่งกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด ผมรู้จักเพียง คนสองคนเท่านั้น
กรรมการทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับผม ท่านใจดี รับการคัดค้านของผม ยืนยันว่าหากอนุญาตให้เข้าตลาดหลักทรัพย์อาจเกิดความขัดแย้ง ในสังคมอย่างมากได้ เพราะผมได้พูดคุย กับนักปฏิบัติธรรม ที่รู้จักกันทั้งชาว พุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกข์ รวมองค์กรย่อยถึง ๔๒ องค์กร ต่างเห็นโทษภัยของการเข้าตลาดหลักทรัพย์ที่จะเพิ่มทุน เพิ่มการผลิต เพิ่มการดื่ม
คณะกรรมการมีความเห็นให้เลื่อนการตัดสินจาก ๒๖ มกราคม เป็น ๗ กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นไปตามข้อเสนอของผมว่า ถ้าประชุมตามกำหนดเดิม ก่อนวันเลือกตั้ง (๖ กุมภาพันธ์) อาจจะมีพรรคการเมือง บางพรรค นำไปหาเสียง ช่วงชิงความได้เปรียบ และนำการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เมื่อยืดการประชุมออกไปอย่างนั้น ผมมีเวลา จึงทำทั้งสองอย่าง พูดคุยโน้มน้าวคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ด้วย เขียนเป็นจดหมายถึง กรรมการทุกคน แนบหลักฐาน ชี้แจงแสดงเหตุผล อย่างชัดเจนว่า ไม่ควรอนุญาตให้เข้าตลาดหลักทรัพย์เพราะอะไร ซึ่งเรื่องตลาดหลักทรัพย์ เรื่องทฤษฎีการผลิต อะไรทั้งหลายแหล่นั้น ผมก็เคยเรียน มาแล้วเหมือนกัน สมัยทำปริญญาโททางการบริหารที่สหรัฐอเมริกา
การคัดค้านครั้งนี้ ผมทำในนามประธานกองทัพธรรมมูลนิธิ และคัดค้านคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์เพียงคณะเดียวเท่านั้นที่ ผูกขาดการตัดสินใจ ตอนนั้น ยังไม่มี ส.ส. และยังไม่มีรัฐบาลใหม่
ก่อนถึงวันประชุม คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ใจดีอีก เลื่อนการประชุมอีก จากวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ เป็น ๒๓ มีนาคม ผมมีเวลาอีกกว่า ๑ เดือน มีมาตรการคัดค้าน หนักหน่วง เพิ่มเติมขึ้น หนังสือพิมพ์บางฉบับวิจารณ์ว่าผมไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการค้าน
ผมร่างจดหมายเอง จ้างพิมพ์ จ้างถ่ายเอกสาร แล้วลงลายมือชื่อ ชนิดอ่านออกทั้งชื่อและนามสกุลในจดหมายทุกฉบับ รวม ๘,๒๕๓ ฉบับ ผมมีฉันทะ ในการลงลายมือชื่อ ที่ค่อนข้างพิถีพิถัน มานานแล้ว แม้จะเขียนไม่สวยก็ตาม เพราะสมัยเป็นเด็กชั้นมัธยมครูเล่าให้ฟังว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ท่านเคยตรัสว่า ใครที่เขียนหวัดๆ ลงลายมือชื่อ อ่านไม่ออก ให้เรียกคนๆ นั้น ว่า "นายหมา" ผมไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่เชื่อครูไว้เป็นดี
จดหมายรัก ๘,๒๕๓ ฉบับนั้น ผมส่ง ส.ส. ๕๐๐, ส.ว.๒๐๐, ผู้บริหารการศึกษาทุกสถาบันทั่วประเทศ ตั้งแต่ครูใหญ่โรงเรียนเล็กๆ ถึงอธิการบดี มหาวิทยาลัย ๓,๗๗๗ ฉบับ, ผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด ผู้อำนวยการทุกโรงพยาบาล ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม อธิบดีกรมการศาสนา ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนา ผมยังมีหนังสือกราบนมัสการ ท่านสมเด็จ รักษาการแทน สมเด็จพระสังฆราช ท่านประมุขของศาสนาคริสต์ และอิสลามในประเทศไทย และท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องท่านอื่นๆ อีก
ผมใช้ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ลงลายมือชื่อ ๔ วัน ๔ คืน คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน ถ้าไม่เกิดเรื่อง ผมคงไม่มีโอกาสทำอย่างนี้ แน่นอน
ผมได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ หลายช่อง วิทยุ หลายสถานี ปัญหาใหญ่ก็คือ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมปรากฏตัวเลย มีแต่ส่งตัวแทนไปบ้าง นานๆ ครั้ง ผมอยากให้ ออกมาพูดพร้อมๆ กันทั้ง ๒ ฝ่าย ใครมีเหตุผลอะไรก็ว่ากันไปเลย ประชาชนเจ้าของประเทศเป็นผู้ตัดสินไม่ใช่เลือก ส.ว. มาเมื่อสี่ปีกว่าๆ ๒๐๐ คน เพิ่งเลือก ส.ส. ๕๐๐ คน แล้วก็วางเฉย ไม่รู้ร้อน ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
แม้ ส.ส. จะเงียบฉี่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน แต่ ส.ว. มีการเคลื่อนไหว จัดให้มีการอภิปรายที่รัฐสภา เหมือนการประชุมสภาประชาชน เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ผู้อภิปราย เรื่องคัดค้านการ อนุญาตให้บริษัทน้ำเมา เข้าตลาดหลักทรัพย์ เตรียมข้อมูลเพียบ มีทั้งการฉายบนจอ การอัดเสียงคำพูดบุคคลสำคัญ ที่แสดงความคิดเห็นเรื่อง เหล้า-เบียร์ ผมได้รับความรู้ เพิ่มเติมมากมาย ที่จะเอาไปเถียงกับใครๆ อีกหลายเวที
ผู้อภิปรายคนหนึ่งเป็นตัวแทนของเยาวชนหญิง เคยสัมผัสกับพิษภัยของน้ำเมามาแล้ว พูดสะกิดใจผู้ใหญ่ในทำนอง ขอร้องท่านกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ว่า การจะพิจารณา อนุญาตนั้น ขอให้นึกถึงลูกๆ หลานๆ ซึ่งจะได้รับผลกระทบมาก มากกว่าผู้ใหญ่ที่ตัดสินใจในที่ประชุม
ก่อนถึงวันประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ๒๓ มีนาคม มีการคัดค้านหลายครั้งหลายแห่ง แต่มักจะไม่เป็นข่าว ซึ่งเราเห็นใจ เพราะเจ้าของ กิจการน้ำเมาได้ เอื้ออาทร สื่อมวลชน เอื้ออาทร ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เอื้ออาทรคนหลายกลุ่มหลายพรรค มีคนจำนวนไม่น้อย ที่อยากจะช่วยเราคัดค้านแต่ไม่กล้า
เจ้าของบริษัทน้ำเมาชี้แจงเหตุผลผ่านสื่อมวลชนมากมายว่า ถ้าอนุญาตให้เข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วดีอย่างไร แม้ชี้แจงสารพัด ก็เกรงว่า คนจะไม่เชื่อ เลยใช้ไม้ตาย แถลงผ่านสื่อมวลชนว่า คนที่คัดค้านนั้น รับเงินจากต่างชาติ ให้มาขัดขวางความเจริญของบริษัทน้ำเมา แห่งประเทศไทย ฟังแล้วก็ขำดี
ตัวผมเองนอกจากถูกกล่าวหาว่ารับเงินต่างชาติแล้ว ยังมีข้อหาอื่นๆ ตามมา เช่น ผมหมดน้ำยาแล้ว กลัวว่าสังคมจะลืม เลยจุดเรื่องนี้ขึ้นมา ผมขัดแย้งกับ เจ้าของเบียร์-เหล้า ผมขาดความรอบคอบ เอาแต่คิดเรื่องสังคมอย่างเดียว ไม่เห็นแก่ความเติบโตทางเศรษฐกิจ รู้หรือเปล่าว่า เบียร์-เหล้า ถูกกฎหมาย และตลาดหลักทรัพย์ เคยยินยอมไว้ครั้งหนึ่ง เมื่อปี ๓๘ ออกมาคัดค้านอย่างนี้ จะเสียทีเบียร์-เหล้า จากต่างประเทศ.....
อดีตบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ สัมภาษณ์ผมอย่างละเอียด เอาข้อกล่าวหาเกือบทุกข้อมาถาม คุยกันเป็นชั่วโมงๆ ผมอยากจะให้ซักถามสดๆ ในรายการวิทยุ ในรายการโทรทัศน์ ใช้เวลาให้มากพอ จะทำความเข้าใจได้อีกเยอะ
มีข้อกล่าวหาแม้กระทั่งที่ว่าทำไมผมมาเจาะจงค้านเฉพาะเรื่องน้ำเมา ทำไมไม่ค้านเรื่องบ่อนเสรี เรื่องหวยบนดิน เรื่อง........หลายเรื่อง ที่ผมค้าน แต่ไม่เป็นข่าว ก็หาว่าผมไม่ค้าน และที่จริงผมไม่ได้ผูกขาด รักสังคมเพียงคนเดียวกลุ่มเดียว เป็นหน้าที่ของทุกคน ถ้ามีโอกาส ต้องช่วยกันปกป้อง
ในช่วงหลังๆ ของการคัดค้าน ผมขอร้องผ่านสายลมแสงแดดไปยังเจ้าของบริษัทน้ำเมาว่าขอให้ช่วยเสียสละ อย่าเอากิจการน้ำเมา เข้าตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มการผลิต เพิ่มการขายเลย แม้จะได้กำไรเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลก็ตาม ขอให้เสียสละเพื่อประชาชน เพื่อเยาวชน และประเทศชาติ ลำพังไม่ขยายกิจการ ก็ร่ำรวยเป็นเศรษฐีโลกอยู่แล้ว
ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ออกมาประกาศ เลื่อนการประชุมออกไปไม่มีกำหนด เพราะไม่อยากประชุม ภายใต้การกดดัน ของฝ่ายคัดค้าน การเลื่อนประชุมนี้ ไม่ใช่การหนีปัญหา และไม่ใช่การถอย (คือยืนยันว่ายังเหมือนเดิมที่จะอนุญาต ถ้ามีโอกาส)
ไม่ใช่เป็นการกล่าวหา เป็นการใส่ร้ายแต่อย่างใด ถ้าจะพูดว่า การเอาน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นการโกงชนิดหนึ่ง ขายน้ำเมาให้ได้มากๆ ก็เท่ากับโกงเงิน ไปจากคนดื่ม เพราะไม่ใช่สิ่งจำเป็น จะต้องเสียเงิน โกงเงินไปจากรัฐ รัฐจะต้องจ่ายเกี่ยวกับอุบัติเหตุและโรคภัยอันเนื่องมาจาการดื่มน้ำเมาเพิ่ม
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ต่อให้มีความรู้ยิ่ง ความรวยยอด ก็ยังโกงได้ ความไม่มีกิเลสต่างหาก ที่เป็นหลักประกัน"
-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๗ เมษายน ๒๕๔๗ -