ชีวิตไร้สารพิษ - ล้อเกวียน
-
โรคภัยมาจากไหน
? (๒)
"สุขภาพดีต้องการทั้งความคิดและการกระทำที่ถูกต้อง" มีเหตุปัจจัยหลายอย่าง ในวิถีชีวิตสมัยใหม่ ที่ทำให้สุขภาพเราเสื่อมโทรมลง ไม่ว่าเราจะตั้งใจเกี่ยวข้องกับ ปัจจัยเหล่านั้น หรือไม่ก็ตาม เช่น
๔. จิตที่เป็นลบ ชีวิตในเมืองที่มีความเครียด มีการแข่งขัน ตัวใครตัวมัน มุ่งแสวงหาเงินทอง การบริโภควัตถุเกินจำเป็น ทำให้ต้องเหน็ดเหนื่อย เครียด มีเวลาพักผ่อนน้อย ไม่มีเวลาใส่ใจตนเอง และสิ่งรอบข้าง จนเกิดปัญหาทางด้านอารมณ์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความโกรธ ความหงุดหงิด ความซึมเศร้า ความกระวนกระวาย ร้อนรน ล้วนมีผลต่อการเกิดโรคภัยทั้งสิ้น
คัมภีร์อายุรเวท ได้ให้ความสำคัญของจิตไว้อย่างมาก จิตเป็นตัวนำชีวิตไปในทิศทางต่างๆ จิตมีอำนาจ ที่จะส่งผลต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง การออกกำลังกาย หรือการฝึกกาย มีประโยชน์ฉันใด การฝึกจิต ก็มีประโยชน์ฉันนั้น เมื่อจิตสงบจนเกิดสมาธิ ร่างกายได้หยุดพักอย่างเต็มที่ แต่จิตยังตื่นรู้อยู่ กล้ามเนื้อ คลายตัว ทุกอย่างผ่อนคลาย นับเป็นการได้พัก อย่างลึก ยิ่งกว่าการนอนหลับตามปกติ ในขณะเดียวกัน อารมณ์จะดี สดชื่น แจ่มใส มีความสุข ในขณะที่จิตได้พัฒนาขึ้นเป็นลำดับ กายก็สงบระงับลง นั่นคือระบบ การทำงานของกาย ได้ปรับเปลี่ยนตามจิตไปด้วย
จิตและสุขภาพ จิตและการเจ็บป่วยเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด ถึงขั้นที่โรคหลายโรคที่เคยคิดว่าเป็น "โรคทางจิตล้วน ๆ" หรือ "โรคทางกายเท่านั้น" อันที่จริงแล้ว อาจเป็นส่วนผสม ของทั้งสองส่วน ดังนั้น การบำบัดรักษาใดๆ ที่จะมีผลอย่างแท้จริง จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงความต้องการของทั้งกายและจิต หรือต้องผสมผสาน ความต้องการ ทั้งสองส่วน เข้าด้วยกัน ซึ่งความจริง ดูเหมือนว่าจิตใจ จะมีอำนาจ เหนือกว่าร่างกายด้วยซ้ำ กระบวนการของจิต ไม่ว่าจะเป็นการคิด ความรู้สึก จินตนาการ และประสบการณ์ ล้วนส่งผลอย่างลึกซึ้ง ต่อกระบวนการ และระบบของร่างกาย ซึ่งรวมถึง ระบบภูมิคุ้มกันด้วย (เฮนรี่ เดร์เฮอร์ "ใจของคุณคือปราการต้านมะเร็ง")
โรคทางจิตใจจะก่อให้เกิดโรคทางกายอย่างอื่นตามมา เช่น คนที่โกรธบ่อยจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง ริดสีดวงทวาร คนที่อิจฉาคนอื่น จะปวดหัวและเจ็บปวด ตามร่างกาย จากหัวไหล่ลงมา สำหรับคนที่ ขี้เหนียวหรือตระหนี่ จะเป็นโรคท้องผูก เพราะไม่ยอมปล่อยอะไร จากร่างกาย เป็นต้น จิตและกาย มีความสัมพันธ์กัน อย่างลึกซึ้ง สุขภาพดี จึงต้องมาจากการปฏิรูป ทั้งทางจิตและพฤติกรรม จิตใจที่เต็มไปด้วย ความขุ่นมัว ย่อมสร้างความปั่นป่วน ให้แก่ฮอร์โมนภายในร่างกาย เมื่อจิตสะอาด ร่างกายก็สดชื่น ฝึกมองโลก ในแง่ดี มีความรัก ให้แก่ผู้อื่น ชีวิตจะเป็นสุขยิ่งขึ้น
๕.ยาแผนปัจจุบัน หากเราไปพบแพทย์เมื่อเริ่มเป็นโรคบางอย่าง เช่น เบาหวาน แพทย์อาจให้กินยา ครึ่งเม็ด (ไปพบแพทย์สิบคน อาจได้ยามาสิบแบบ) หลังจากนั้นหกเดือน ก็อาจให้กินเพิ่มเป็นหนึ่งเม็ด เราก็กินต่อโดยไม่มีข้อแม้ ปีหนึ่งผ่านไปกินสองเม็ด จากนั้นสี่เม็ด หลังจากนั้นกินก็ไม่พอต้องฉีดอินซูลิน นี่คือการเข้าสู่กระบวนการฆ่าตัวตาย โรคหลายชนิด ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยา ยาแค่เพียงควบคุมอาการ ได้ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ด้วยหลักธรรมชาติบำบัด เราสามารถควบคุม โรคเบาหวาน และโรคอื่นๆ ได้โดยไม่จำเป็น ต้องใช้ยา แล้วเราจะยังกินยาไปทำไม
ตัวอย่างยาและผลกระทบต่อสุขภาพ
ยาแก้ปวดลดไข้ โดยทั่วไปแล้วตัวยาหลักที่ผสมในยาแก้ปวดคือยาแอสไพริน ซึ่งมีฤทธิ์ หากมีการใช้ยา แอสไพรินในปริมาณมาก จะเป็นพิษต่อร่างกาย บางคน อาจเกิดอาการแพ้ เช่น เกิดผื่นแดง ลมพิษ หายใจติดขัด เป็นต้น
ถ้าใช้ยาแก้ปวดติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือใช้มากเกินขนาด จะทำให้เกิดอาการพิษที่เรียกว่า "ซาลิซัยลิซึม" คือจะมีเสียงในหู วิงเวียน ปวดศีรษะ ตาพร่า มึนงง สับสน คลื่นไส้ อาเจียน ในทารก หรือเด็กเล็ก การรับประทานยาเกินขนาด จะทำให้สภาวะสมดุลของกรดด่างในร่างกายเสียไป อาจทำให้เด็กเสียชีวิตได้(พรพรรณ รพี "บริโภคปลอดภัย")
ยาพาราเซตามอล เป็นยาแก้ปวดลดไข้อีกชนิดหนึ่ง แม้แต่พาราเซตามอลที่กินกันทั่วไปอยู่นี้ ก็มีพิษร้าย เช่นกัน ยาทุกอย่างมี ผลข้างเคียง กินยา แก้ปวดหัวเข้าไป หายปวดหัวจริงแต่พิษไปสะสมที่ตับแทน และในที่สุดตับอาจถูกทำลาย
ยาสเตียรอยด์ (steroids) คือ ฮอร์โมนที่สังเคราะห์ขึ้นเลียนแบบฮอร์โมนกลุ่มหนึ่งที่สร้างมาจากต่อมหมวกไตชั้นนอก ในวงการแพทย์ สมัยใหม่ นำมาใช้ประโยชน์ หลายอย่าง เช่น ช่วยให้ระบบไหลเวียน ของเลือดเป็นปกติ ทำให้ปริมาณ เม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อเป็นปกติเป็นต้น
ถ้าหากมีการใช้อย่างไม่ถูกต้อง หรือใช้อย่างต่อเนื่อง ยาสเตียรอยด์จะกลายเป็นยาพิษในทันทีทันใด และมีโทษต่อร่างกายอย่างมาก เช่น ทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่าย ยับยั้งภูมิคุ้มกัน เกิดการสะสมไขมันเพิ่มขึ้น ในอวัยวะบางส่วน(เช่น หน้าอ้วนกลมผิดปกติ) ระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ทำให้กล้ามเนื้อลีบไม่มีแรง ทำให้กระดูกผุ น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในคนที่สุขภาพจิตไม่ดี อาจทำให้กลายเป็นโรคจิตได้ ถ้าใช้ยา มาระยะหนึ่งแล้วหยุดทันที จะเกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดกล้ามเนื้อ เป็นไข้ อ่อนเพลีย ความดันต่ำ เป็นต้น
ไวตามินอัดเม็ด เช่น ไวตามินธาตุเหล็ก มีผลข้างเคียงคือเสียดหน้าอก ปวดช่องท้องส่วนบน มีรสโลหะ ในปาก ซึ่งเชื่อมโยงกับสารประกอบในธาตุเหล็ก มีแนวโน้มที่จะมีอาการท้องเสีย ถ้าใช้วิธีการฉีด อาจมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลวถึงแก่ชีวิตได้
ยาขับปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการมึนงง ชาปลายมือ เหมือนมีเข็มจิ้มที่ปลายนิ้ว เวียนศีรษะ กระหายน้ำ เบื่ออาหาร กล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึมเศร้า มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะ มีกรดมาก มีกรดยูริกในเลือดสูง ส่งผลต่อไตและตับ
เมื่อเทียบคุณประโยชน์และโทษกันแล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ควรเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับการใช้ยา ต่อให้หายจากอาการที่เป็นอยู่ ก็ต้องตามรักษาผล จากอาการข้างเคียง ต่อไปไม่สิ้นสุด การเจ็บปวด ไม่รู้จบ เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ๆ
จากการที่มนุษย์ใช้ชีวิตผิดพลาด ก่อให้เกิดโรคต่างๆ ขึ้นมา ฉะนั้นอย่าไปโยนความผิดให้แก่เชื้อโรคเลย อย่ากำจัดเชื้อโรคด้วยยาปฏิชีวนะ ในเมื่อยาเหล่านี้ ทำลายเชื้อโรคได้ ทำไมจะทำลาย อวัยวะของเราไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีอาการเจ็บป่วยต่างๆ ที่เป็นผลข้างเคียงมาจากการใช้ยา ไม่มียาชนิดใด ที่มีผลข้างเคียง น้อยกว่า ๕ อย่าง ถ้าไม่มีอาการอาเจียน ก็ท้องเสีย ท้องผูก เวียนศีรษะ เกิดปัญหากับตับ ไต ไปจนถึงขั้น เป็นโรคตับอักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคกระเพาะ ไขข้อ โรคภูมิคุ้มกัน ทำลายตัวเอง (SLE) ฯลฯ ซึ่งโรคเหล่านี้ เป็นผลสืบเนื่อง มาจากการใช้ยาสมัยใหม่ทั้งสิ้น
จุดอ่อนของการรักษาโรคตามวิธีของแพทย์แผนใหม่ คือ ใช้การทดลองที่พิสูจน์ไม่นานพอ ส่วนใหญ่ ยาที่ผลิตขึ้นมีระยะเวลาติดตามผลไม่เกิน ๑๐ ปี ซึ่งยังไม่ถึง ช่วงอายุคน การทดลองกับสัตว์ หรือกับคน ที่เป็นตัวอย่าง การศึกษาเพียงกลุ่มหนึ่ง ไม่สามารถใช้ได้กับคนกลุ่มใหญ่ทั่วไป เพราะไม่ใช่การติดตาม ประเมินผล การรักษาจากชีวิตจริง ตลอดทั้งชั่วอายุคน หรือหลายชั่วอายุคน นอกจากนี้ ยังมีอิทธิพล ของการตลาดที่ใช้การโฆษณาให้เป็นที่รู้จักด้วย (สมบุญ สีคำดอกแค, "การเฝ้าระวังโรค จากการทำงาน สารพิษและสิ่งแวดล้อม : คู่มือแรงงานและชุมชน) บริษัทที่ผลิตยามีเป้าหมาย เพื่อผลกำไรสูงสุด ไม่ได้มีเป้าหมาย เพื่อช่วยเยียวยาผู้คน คนทั่วไป จึงไม่ได้รับรู้ข้อมูล เกี่ยวกับ อันตรายของยา เพราะบริษัท เปิดเผย เพียงส่วนดีเพื่อให้ขายยาได้ สถานการณ์ทุกวันนี้ จึงเป็นเรื่องเสี่ยงอย่างยิ่ง หากจะเลือกใช้ ยาสมัยใหม่ ในการรักษาโรค
เมื่อใช้วิธีของธรรมชาติบำบัด เราไม่จำเป็นต้องไปนอนโรงพยาบาล ไม่จำเป็นต้องใช้ยา เป็นวิธีการรักษา และดูแลสุขภาพที่ถูกที่สุด ไม่เสียเวลา และได้รับพลังมากมาย เราสามารถช่วยเหลือ ได้ทั้งคนอื่น และตัวเอง ไม่จำเป็นต้องกลัวผลข้างเคียง เพราะใช้วิธีที่เป็นธรรมชาติอีก ทั้งยังเป็นความรู้ ที่สั่งสมมา แต่อดีต ธรรมชาติบำบัด เกิดจากการที่บรรพบุรุษ ทดลองผ่านการใช้ชีวิต หลายชั่วอายุคน ไม่ใช่คิดค้น กันแค่ในห้องทดลองเท่านั้น เมื่อเข้าใจวิธีการของธรรมชาติบำบัดแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรอคอย ความช่วยเหลือ จากหมอ หรือยาที่ไหนอีกต่อไป
(ข้อมูลจากหนังสือ ธรรมชาติบำบัด ศิลปะการเยียวยาร่างกายและจิตใจเพื่อสมดุลของชีวิต)
-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๗ เมษายน ๒๕๔๗ -