เวทีความคิด - เสฏฐชน
-
วีรสตรีสากล
วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๑๘ เป็น "วันสตรีสากล" ให้ความสำคัญเพศหญิงทุกฐานะ นี่เป็นแรงจูงใจ ที่ทำให้ดิฉัน เขียนบทความนี้ขึ้นมา
วัยปลดเกษียณที่ย่างมาถึงในปีนี้ เป็นข้อมูลปัจจุบัน ที่สะท้อนนำย้อนกลับไปในอดีต แล้วอด ที่จะคิดท้วงติง ผู้หญิงด้วยกันไม่ได้ว่า ทำไมผู้หญิงสมัยนี้จึงอยากโชว์เนื้อหนังมังสา อันเป็น ส่วนสงวนกันมากขึ้น ทั้งๆ ที่ ความรักนวล สงวนตัวเป็นเครื่องแบ่งเพศ เป็นสัญลักษณ์ บอกความต่างของเพศ โดยเฉพาะเรื่องการเปิดเนื้อ เปิดตัว ทำให้ผู้หญิง หมดความเป็นของสงวน เป็นต้นแบบ ของพรหมจรรย์ แม้โดยสัญชาตญาณดิบ จะไม่ต่าง จากผู้ชาย ก็ตาม แต่ด้วย วัฒนธรรม ที่อบรมกันมาดั้งเดิม ทำให้ต้องรู้จัก อดทน ข่มใจ ระงับ ไม่ให้แสดงออก ถึงความอยาก เช่นนั้น
เริ่มแต่การเลี้ยงดูระหว่างลูกชาย ลูกหญิงก็แตกต่างกัน เพราะหวังให้เกิดภาพลักษณ์ที่ต่างกัน เช่น ผู้หญิง จะไม่โลดโผน จะไม่ซุกซนจะไม่เต้นแร้งเต้นกา ไม่พูดจาโฮกฮากเสียงดัง หยาบคาย หลายง่ามหลายแง่ ไม่สวมเสื้อผ้าล่อตาล่อใจ ให้ใครเกิด อารมณ์ใคร่ ไม่ออกหน้าออกตา จนดูเฟลิตเกิน ผู้หญิงจะไม่ไปทำอะไร ที่ท้าทายความรู้สึกคนอื่น จนสะท้อนกลับมา เป็นภัย แก่ตัวเอง ...ฯลฯ
จากการอบรมมาในทิศทางอย่างนี้ จึงทำให้ผู้หญิงประกอบอาชีพที่จำเพาะไม่กี่อย่าง มีสังคม ไม่มากประเภท ทำให้ผู้หญิงไม่ "ออกแขก" เป็นธรรมดา "ยิ่งอาชีพที่ต้องโชว์เนื้อโชว์ตัว-โชว์เสียง" ด้วยแล้ว ต้องคิดหลายตลบ ไม่งั้น คงต้องจบชีวิตลง อย่างดาราหนังเกาหลี ที่เพิ่งฆ่าตัวตาย ไปในเร็วๆ นี้
เพราะเธออยากได้เงินมากๆ อยากได้ชื่อเสียงเร็วๆ โดยไม่คิดให้รอบคอบ ไม่คิดถึงทางอื่น ที่มีอีก มากมาย ที่ดีกว่านี้ จึงเปลืองตัว ไปแสดงหนังโป๊เปลือย ภายหลังคิดได้ แต่แก้กลับไม่ได้แล้ว จึงฆ่าตัวตาย ทั้งๆ ที่อายุ ๒๖ เท่านั้นเอง
เมื่อยกเรื่องนี้ขึ้นมา ผู้หญิงในวงการบันเทิงบ้านเราบางคน ที่แสดงตัวในบทบาท ทำนองเดียวกับ นางเอก เกาหลี คนนี้บ่อยๆ อาจจะขัดแย้งว่าเพราะเกิดความละอายใจน่ะสิ ถึงต้องฆ่าตัวตาย แต่ถ้าไม่คิดมาก ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร มิหนำซ้ำ จะได้รับผล ตรงกันข้ามไปเสียอีก "โกอินเตอร์" ไปโน่น! ตัวอย่างนี้แสดงว่า "ความคิดได้" นี้ไม่ถูกต้อง สู้ให้เหตุผลว่าเป็นการ "อัพเกรด" เป็นการ สร้างสรร ความก้าวหน้า เพิ่มสีสัน ให้แก่วงการนี้ ให้ความบันเทิง แก่คนดีกว่า เป็นการ กรุยทาง เป็นบันไดก้าวขึ้นสู่ วิวัฒนาการเพิ่มค่า ให้แก่อาชีพ วงการนี้ด้วยซ้ำไป เพราะถึงยังไงๆ คนก็ชอบ เรื่องทำนองนี้กันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ใครที่คิดตรงกันข้าม เป็นพวกเดียวกับ "ลุงเชย" ไดโนเสาร์ เต่าล้านปี เกิดผิดยุคผิดสมัย
ยุคนี้ผู้หญิงต้องช่วยกันหาเงิน ต้องหาประสบการณ์มากๆ แต่ก็คิดได้แค่นี้ คิดไม่ออกไปไกลอีกว่า การหาเงิน ด้วยวิธีอื่น ที่ไม่ต้องใช้ต้นทุน ทำลายคุณค่าของตัวเองก็มีอยู่ให้เลือก แม้เงินจะน้อย ไปบ้าง ก็มีวิธีออม ประหยัด ไม่ต้องไปสร้างบาป สร้างเวร เพียงเพื่อรายได้เป็นตัวเงินอย่างเดียว แต่ต้องสูญเสียคุณค่าของลูกผู้หญิง อย่างไม่เหลือท่าเช่นนี้
โลกสมัยนี้นิยมชมชื่นกับ "ผู้หญิงเก่ง" อันมักวัดจากความปราดเปรียว สังคมกว้างด้วย เป็นผู้หญิง ฉีกแนว ออกจาก ประเพณีนิยม ดั้งเดิมของไทยเรา เพราะเป็นเชื้อผสมลูกครึ่ง เพิ่มจำนวนมากขึ้น กลับกันกับยุคก่อน ที่ต้องทำใจ กับสายตาดู หมิ่นดูแคลน ในแวดวง คนชาติเดียวกัน เพราะปัจจุบันนี้ เหล่าดารา นักแสดง นักร้อง นางแบบยอดนิยม ขวัญใจวัยโจ๋ ที่เห็นหน้า ทางโทรทัศน์ เขานิยม ผู้ที่ผ่านมาจากต่างประเทศ เพิ่มขึ้น
ปัญหาวัยรุ่นที่จำนวนตัวเลขสูงขึ้น เป็นเหตุหนึ่งที่ยืนยันหลักฐานชี้ชัด ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คุณธรรม ของคนต่ำลง วัยรุ่นหญิง ตามสถาบันการศึกษา แหล่งโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ หน้าเวที คอนเสิร์ต ย่านศูนย์การค้าชื่อฝรั่ง ฯลฯ คือที่เพาะพันธุ์ "เด็กแนว" ทั้งสิ้น จนแม้แต่ ผู้ปกครองเอง ก็ต้องยกมือยอมแพ้
เรื่องการแต่งตัวที่ล่อแหลมต่อเหยี่ยวโฉบของผู้หญิงมีผู้ให้ข้อมูลว่าผู้ชายเป็นคนละแบบ และ แต่งตาม ความนิยม ความชอบ ของผู้ชาย หาใช่กิเลสของผู้หญิงเองไม่ แต่คงจะเป็นกิเลส อีกตัวหนึ่ง ของผู้หญิง ที่สมพงศ์กับกิเลสผู้ชาย ตรงที่ผู้หญิง อยากเป็น ที่ชื่นชอบ ของผู้ชาย อยากให้ผู้ชายยอมรับ จึงต้องตามใจเขา เมื่อเกิดกรณีพิพาทขึ้น การโยนลูกผิด เหล่านี้ เป็นผลตามมาภายหลัง
หันมาถึงค่านิยมด้านนี้ของเยาวชน ก็มีผู้ให้ข้อมูลว่าเด็กเลียนแบบจากผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่ ไม่มิดชิด เด็กจึงแต่งตาม บางทีผู้ใหญ่ แต่งให้เด็กเองเสียอีก ดังที่เราเห็นจากการจัดประกวดเด็ก กิจกรรมเด็ก รายการเด็ก ตามสถานี โทรทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นรายการเกม การแสดง หรือที่โรงเรียน จัดขึ้น ทั้งๆ ที่เด็กเพิ่ง จะเข้า อนุบาล เท่านั้น จะกล่าวไปไยถึงเด็ก วัยเจริญเติบโต มีความคิด ฟุ้งซ่าน มากกว่านั้น
๔๐-๕๐ ปีก่อน เด็กแต่งหน้าแทบจะหาไม่ได้เลย แม้ขึ้นเวทีแสดงก็น้อยมาก ที่ใช้เครื่องแต่งหน้า ให้เด็ก เพราะผิวเด็ก อ่อนเยาว์ ผ่องใสอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ยิ่งการใช้เสื้อผ้าที่ชะเวิบชะวาบ เปิดตรงนั้น แหวกตรงนี้ ไม่เป็นที่ยอมรับว่า เป็นแบบเสื้อเด็กเลย
ตรงกันข้ามกันกับทุกวันนี้ เคยเห็นโรงเรียนต่างจังหวัดนำเด็กมาจัดกิจกรรมที่กรุงเทพ หรือ ข้ามไปอีก จังหวัดหนึ่ง ครูจะจัดให้เด็ก แต่งตัวประหนึ่งหางเครื่อง หลุดออกมาจากเวทีคอนเสิร์ตก็ ไม่ปาน ทั้งๆ ที่รูปร่าง หน้าตา ไม่ได้สมคล้อย ไปกันได้ ด้วยคิดว่า ลักษณะ นี่แหละคือ "ทันสมัย" จนหลงผิดไปว่า เป็นเครื่องบ่งบอก ถึงความก้าวหน้า ของใหม่ ฝีมือดีขึ้นของผู้ใหญ่เอง
เป็นเรื่องน่าเห็นใจที่จะปรับความเข้าใจให้ถูกต้องในกรณีนี้ เพราะแม้แต่ผู้ใหญ่ในระดับประเทศ ก็นิยมส่งเสริม ปรับรูป การแต่งตัว ในเชิงเปิดเผยอย่างนี้ยกขึ้นไปสู่เวทีชาติ จะสมมติใช้ภาษาใหม่ เรียกให้ดูโก้หรูขึ้นอย่างใดๆ ก็ตามแต่ท่านผู้ใหญ่ เหล่านั้น ลืมไปว่าก็คือการเปิดโอกาส ให้ผู้หญิง มาเปิดเนื้อเปิดตัว โดยอาศัย รูปแบบเสื้อผ้า ที่เปิดแหวก เป็นการเปิดทาง ให้ผู้หญิง ติดแฟชั่น อย่างนี้ด้วย
หากผู้อ่านไม่เปิดใจรับความไม่เห็นด้วยในการเปิดสิทธิส่วนบุคคลเรื่องนี้ ก็ต้องบอกว่าหมดหวัง ที่จะแก้ไข ปัญหา คุณธรรมตกต่ำ สภาสตรีไทยคงต้องทำงานหนักเพิ่มอีกหลายเท่าตัว
แต่จะมีวิธีไหนที่จะให้ผู้หญิงพ้นจากวงจรไร้สาระเหล่านี้ไปได้ ในเมื่อสังคมกำหนดให้ผู้หญิง อยู่ในขอบเขต ที่ดูประหนึ่ง อับจนทาง ถ้าจะเอาดี หวังความเจริญด้านแรงงาน ก็สู้ผู้ชายไม่ได้ ไม่ว่าด้านค่าแรง ค่าความคิด ค่าความเชื่อถือ ผู้หญิงจะมีคะแนนเป็นต่อ ก็แต่เรื่องอาศัย สิ่งที่ธรรมชาติให้มา ที่ไม่เหมือนอีกเพศหนึ่งเท่านั้น ความสวยความงาม ความเซ็กซี่ เย้ายวนใจ ที่ไม่มีอยู่ในเพศตรงข้าม จึงกลายเป็นเครื่องอาศัย สร้างสะพาน ไปสู่การยอมรับ ผลได้ให้เจ้าของ หากเจ้าตัวไม่มีสติปัญญา ที่ดีกว่านี้ ไปหลงเข้าใจผิดว่า เป็นการได้ต้นทุน มาฟรีๆ ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว ต้นทุนนี้แหละเป็นการลงทุนเท่าชีวิต เป็นการลงทุน ที่มหาศาลที่สุด และหมดเนื้อ หมดตัว หายนะตั้งแต่ลงทุนแล้ว ความหวังสิ่งที่เรียกว่ากำไร จะมีขึ้นได้อย่างไร? หากผู้หญิง ไม่ถอนอุปาทาน ตัวนี้ ออกจากตนเอง ปัญหาการ "ขายตัว" ของผู้หญิง ไม่ว่าจะมาโดยทางใด ก็คงจะแก้ไม่ได้
ยิ่งถ้าเป็นแรงสนับสนุน เป็นธุรกิจที่มีผู้ชายเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นกำลังส่งเสริมอยู่ด้วย ก็ยิ่งจะหมด หนทาง ทะลาย แหล่งอบายมุขเหล่านี้ได้
เพราะยามเกิดเรื่องคราวใด ก็มักจะกล่าวโทษว่าผู้ขายตัวนั่นแหละคือตัวเหตุต้น ผู้เป็นเจ้าของ กิจการ ผู้คุม กัปตัน ฯลฯ ไม่ได้ถูกกล่าวถึงเลย
ผู้หญิงด้วยกันก็เห็นด้วยในเรื่องนี้ ตำแหน่งภรรยาหลวงหาใช่การได้รับเกียรติตามที่สามี นำมามอบ ให้แก่ภรรยาไม่ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ แต่ผู้หญิงก็ยังมิวายตั้งภาพชายในฝันของตัว และยอมเสี่ยงเอาตัว เอาชีวิตเข้าแลก เพื่อหวังพบคน อย่างชายที่ตนเองฝัน แต่เมื่อพบกับ ความจริงเข้า ก็ล้วนต้องน้ำตาตกทั้งสิ้น
ทั้งนี้เพราะการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศ ตั้งแต่วัยเยาว์ สนองสัญชาตญาณสัตวโลก ทั้งๆ ที่ฐานะทาง เศรษฐกิจ สังคม ตัวเอง และอื่นๆ ก็ยังไม่พร้อม มิหนำซ้ำความเจริญทางวิทยาศาสตร์ วัตถุสิ่งประดิษฐ์ มีหลากหลายขึ้น จึงทำให้เด็ก หมดความกลัว ผลที่จะติตตามมา
ดังข่าวหนังสือพิมพ์เขียนว่า คนระดับรัฐมนตรีหญิงเองยังเดินแจกถุงยางอนามัยในวันวาเลนไทน์ เพราะคิด วิธีอื่นไม่ออก ในเรื่องนี้ คงเลียนแบบการแก้ปัญหาเชิงวัตถุเช่นเดียวกับคนตะวันตก ที่ผู้เป็นแม่เอง นั่นแหละ ต้องจัด เครื่องป้องกันเรื่องนี้ให้แก่ลูกสาว เมื่อยามเข้าสู่วัยทีนเอจ เริ่มออกเดท ครั้งแรก ตามรสนิยมฝรั่ง ความจำนน ของผู้ใหญ่ในเมืองไทยทุกสถาบัน จึงต้องมาถึง จุดร่วมเดียวกันเช่นนี้
ทำไม? คนไทยที่นับถือพุทธศาสนาเป็นส่วนมาก ไม่นำเอาหลักธรรม ข้อปฏิบัติในพุทธศาสนา มาแก้ปัญหา
มีคนตอบว่าพระตามวัดเองก็ไม่น่าไว้วางใจ
แล้วทำไม? คนไม่ช่วยกันตรวจสอบ เอาออกจากวงการพระ
มีคนตอบว่า เพราะคนไม่ค่อยเชื่อคน เขาเชื่อพระมากกว่า
ก็ถ้าคนที่ไม่ใช่พระถือศีลปฏิบัติธรรมเสียเอง จะไม่เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดกว่าหรือ?
ก็มีคนตอบว่า มันยาก!
ตอบว่ายากทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลองฝึก ไม่พยายามทำ เราจะหมดทางกันเพียงแค่นี้หรือ?
ผู้หญิงในฐานะเพศที่ต้องดูแลเด็ก และเยาวชน หากหันกลับมาดูแลตัวเอง สำรวจเนื้อตัว ของตัวเองว่า เราคนหนึ่ง หรือไม่ ที่กำลัง สร้างค่านิยมที่จะเป็นชนวนของปัญหานี้ แม่บ้านสักกี่คน ผู้หญิงสักกี่คน ที่สนใจ ธรรมะ ไม่แต่งเนื้อ แต่งตัว บ่งบอกถึง ความหมกมุ่น ในเนื้อหนังมังสา รวมถึงกิริยาท่าที ให้ความรู้สึก ทางเพศกำเริบ ซึ่งเธอเหล่านั้น อาจหาทางออก ให้ดูดีด้วยการ แต่งเครื่องประดับแทน เพราะทำให้ไม่รู้สึก พูดตรงๆ ไม่ได้ว่าโป๊เปลือย น่าเกลียด เพราะไม่ได้แต่งตัว แต่นำเอา เครื่องประดับ วัตถุอื่นๆ มาประดิษฐ์ เป็นเสื้อผ้าต่างหาก เป็นวิวัฒนาการของวงการแฟชั่นด้วยซ้ำ
คนมั่งมีมากๆ ก็ใช้เพชร ใช้อัญมณีมาประดิษฐ์เป็นเสื้อผ้า คนฐานะรองๆ ลงมาก็ใช้วัสดุ แร่ธาตุที่ราคาตามธรรมชาติ คนมีหัวคิดกว่าเขา ก็ใช้วัสดุแปรรูป เช่น ใช้กล่องนม ใช้กระดาษ ใช้เมล็ดผลไม้ ฯลฯ มาตกแต่งเป็นเสื้อผ้า
โดยไม่ต้องคิดว่าเสื้อผ้านั้นสวมใส่ทำงานได้ไหม? ไม่ต้องคิดว่าเสื้อผ้านั้นพิลึกกึกกือไหม? เพราะยิ่งพิลึกเท่าไหร่ เขาสมมุติกันว่า เป็นความใหม่ ความเก๋ความแปลกนำสมัยเท่านั้น ไม่ยกเว้นแม้แต่เรื่องการเพ้นท์สีเป็นเสื้อผ้า ทั้งๆ ที่ร่างผู้หญิงคนนั้น เปลือยเปล่า
กฎหมายก็ไม่ได้กำหนดความผิดว่าเป็นอนาจาร หากเกิดในวงการแฟชั่น กลับยกฐานะ ว่านำวงการแฟชั่น เข้าสู่ตลาดโลก เข้าสู่เวอร์ชั่นใหม่ ด้วยซ้ำไป
เมื่อผู้หญิงชอบเดินอยู่ในวิถีชีวิตอย่างนี้ ในวงการธรรมะ ในศาสนาจึงตราหมายมอบให้ว่า ผู้หญิงเป็นศัตรู ต่อพรหมจรรย์ ด้วยมองไปรอบด้านในการดำเนินชีวิตประจำวันของเธอ ล้วนวนเวียนแต่เรื่อง เนื้อหนัง มังสา รูป เสียง กลิ่น สัมผัสทั้งสิ้น
หากผู้หญิงเปลี่ยนแปลงแนวคิดใหม่ ไม่ให้ความสำคัญกับเนื้อหนังมังสาตัวเอง ผิวพรรณ มันจะแก่ จะหย่อนยาน จะหมองคล้ำลงไป ตามกาลเวลา ตามวัยอายุ ตามการทำงาน ตามธรรมชาติ ก็มองเห็น เป็นความธรรมดา แล้วปฏิบัติ ให้เหมาะสมกับวัย กับธรรมชาติ ไม่ไปเสียดาย ไม่ไปดึงรั้ง ไม่ไปยื้อยุดฉุดไว้ ไม่ตกแต่งเพิ่มเติม ฯลฯ เรื่องคาวโลกีย์ต่างๆ ก็คงจะลดลง ปัญหาเยาวชน เด็กวัยรุ่นที่สำส่อน วุ่นวาย ในเรื่องเพศ ก็คงจะลดไปด้วย
บางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว หาใช่เรื่องของตัวผู้เขียนไม่ สิทธิส่วนบุคคลที่จะแต่งตัว ที่จะแสวงหา ความสุข บนความสวยงาม ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ใคร จะผิดหรือไฉน?
เราจำคำตอบของนักโทษกรณีฆ่าข่มขืนได้ว่า เขากระทำความผิดเพราะเกิดอารมณ์ทางเพศ เมื่อเห็นผู้หญิง แต่งตัวไม่ดี เขาไม่ได้โทษตัวเองหรอกว่า เขาทำความผิด เพราะเขาเกิดจิตทุจริต ด้วยราคะจิต แท้ๆ ทั้งๆ ที่บางคน ไปข่มขืนศพ ที่ไม่ได้น่าดู น่าดมด้วยซ้ำไป แล้วผู้หญิง ที่เคลื่อนไหวอยู่ มีกรรมกิริยา ดึงดูดอยู่ จะทำให้หวั่นไหว มากขึ้นอีกเท่าใด?
หรือกรณีผู้ชายที่อยู่ในสังคมการศึกษาสูง ฐานะดี มีเกียรติ ตำแหน่งหน้าที่การงานที่เขาว่าดี แต่โดนตำรวจจับ ฐานเป็นแมวมอง ส่องกระจก ลอดกระโปรงผู้หญิง อยู่ตามใต้สะพานข้ามถนน ก็มิวายที่ผู้หญิง จะยังคงยืนยัน ความคิดเดิมว่า เราแต่งตัวเช่นนั้น เพราะมีเงินจะแต่ง มีรูปร่างสวยน่าแต่ง มีความสุขที่ได้แต่งอีกหรือ?
ในเมื่อภัยจากคนต่างเพศที่กล่าวมา และยังไม่ได้กล่าวอีกหลายรูปแบบ ทั้งทางตรง และทางอ้อม ล้วนเชื่อมโยง และผู้ถูกกระทำเอง ก็โดนคนอื่นเปรยว่า สมน้ำหน้า เพราะไม่รู้จักรักษาตัว แล้วใครที่ไหน จะมารักษาเรา
เมื่อภัยเกิดขึ้นแล้ว ผู้ประสบภัยนั้นจะโทษพระเจ้า โทษซาตาน หรือโทษคนอื่นอยากสะกิดเตือน ให้ผู้หญิง ลองสำรวจ ตนเองดูสิว่า เราจะแก้ จะช่วยกันได้ตรงไหน ส่วนไหน อย่างไร ที่ตรงจุดที่สุด
เพราะภัยที่ทำลายผู้หญิง ทั้งที่ผู้หญิงทำลายตัวเอง ล้วนมาจากต้นเหตุเดียวกัน คือ "กิเลสภัย" ทั้งสิ้น แต่เรา จะไปให้คนอื่น กำจัดภัยตัวนี้ ให้เราก็ไม่ได้ ทั้งเราก็ไม่อาจไป กำจัดแทนคนอื่นด้วย เราจะทำได้ก็เฉพาะ กิเลสของเราเท่านั้น
ถ้าแก้ไขไม่ได้ ไม่ช่วยกันแก้ไข ก็คือ "เวรภัย" เป็น "เวรกรรม" ที่ผู้หญิงทุกคนต้องร่วมกันรับ แต่ถ้ารับ ไปแก้ไข ช่วยกันแก้ไข ก็จะกลายเป็น "วีรกรรม" เป็นวีรสตรีด้วยกัน
ลองผู้หญิงหันกลับมาคิดในแนวเดียวกัน ผนึกเป็นกำลังเชิงปฏิบัติไปพร้อมๆ กันด้วย "วีรสตรีสากล" ย่อมเกิดขึ้น ได้แน่นอน
เพราะแนวคิด จะนำไปสู่แนวทาง
แนวทาง จะนำไปสู่แนวปฏิบัติ
แนวปฏิบัติ จะนำไปสู่แนวชีวิต
ผู้เขียนก็ได้แต่ "แนะแนว" อย่างนี้ แม้จะรู้แล้วว่าบางคนแม้ไม่แนะ เขาก็รู้ส่วนเขาจะทำหรือไม่ทำ ทำมาก หรือ ทำน้อยนั้น นอกเหนือสิทธิ ที่จะไปละลาบละล้วง
เพียงแต่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อแสดงการตอบรับ "วันสตรีสากล" อยากให้เห็น "วีรสตรีสากล" ในรูปรอยเดียวกับ "กุลสตรี" เท่านั้น
การทำตนให้สภาพภายนอกของเรา "ดี"
ไว้เสมอนั้น
ก็ดีมากแล้วสำหรับมนุษย์
ยิ่งได้ทำ "ใจ" ของเราให้สะอาด
ไม่สะสมความพยาบาท ไม่สะสมความใคร่อยาก
ไม่สะสมความเบียดเบียนให้ได้
ก็ยิ่ง "ดียิ่ง" ขึ้นไปอีก
และนั่นแลทางเดินไปสู่นิพพานแท้ๆ๏ สมณะโพธิรักษ์ ๒๔ ธ.ค. ๑๙
-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๗ เมษายน ๒๕๔๗ -