เบียร์เหล้าเข้าตลาดฯ ด้วยเศรษฐศาสตร์ขาดศีลธรรม
- วิมุตตินันทะ -


ปัญหาสินค้ามอมเมา เช่น เหล้าเบียร์ ควรเข้าไประดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์เพื่อขยายกิจการหรือไม่? น่าจะกลายเป็นประเด็นร้อนต้อนรับรัฐบาลใหม่ด้วยบ้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านผู้นำทักษิณ ชินวัตร จะทำเป็น ปากว่าตาขยิบหรือเปล่า เพราะถ้าท่านไม่เอาด้วยเลยจริงๆ ด้วยอำนาจล้นฟ้ายิ่งใหญ่หนึ่งเดียว รัฐบาลย่อม มีนโยบายและกล้าแสดงจุดยืนชัดเจนออกมาเลย โดยไม่ทันต้องปล่อยให้ถกเถียงอะไรกันให้มากความ มันแสนจะจบง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ

เอาเถอะ ไม่ว่าผลพิจารณาของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ จะรับเบียร์ช้างเข้าไม่เข้าตลาดหุ้น ปฏิกิริยา ของสังคมที่ต่อต้าน แน่นอนว่าย่อมเป็นเสียงส่วนน้อย คนส่วนใหญ่ยิ่งเป็นชาวบ้านคงไม่มีเวลา ขวนขวาย คัดค้าน ทั้งไม่ค่อยมีปัญญารู้เท่าทันผลได้ ผลเสียลึกซึ้งเพียงพอ จึงไม่ประหลาดอะไร เมื่อผลโหวตทางทีวี มีคนเห็นด้วย ให้น้ำเมาเข้าตลาดมากกว่าคนเห็นค้านสองสามเท่า

เรื่องของเรื่อง มันไม่ควรถือเอาคะแนนประชามติพวกมากลากไปแค่นั้นเป็นมาตรฐานสำคัญทีเดียวนัก ผู้มีอำนาจน่าจะมีนโยบายสำนึกแยกแยะ ชั่งน้ำหนักน้ำเนื้อเพื่อใช้วิจารณญาณ อย่างกล้าหาญ ทางจริยธรรมด้วย

ทั้งนี้เพราะธรรมดาสังคม คนย่อมฉลาดมากน้อยไม่เท่ากัน หากแบ่งเป็นสองพวก พวกฉลาดจริงๆ คงไม่มากนัก ในขณะที่พวก ไม่ค่อยฉลาดน่าจะมีมากกว่า หรือปุถุชนคนกิเลสหนา ย่อมมากกว่า บัณฑิตสัตบุรุษ ยิ่งคนทุศีลพวกมากกว่าคนถือศีลหลายเท่าเป็นแน่

ดังนั้น กระแสสังคมมันจะไหลไปทิศทางใด ตามประชานิยมส่วนใหญ่หรือธรรมนิยมส่วนน้อย แล้วจะให้ คนพวกไหนเป็นผู้นำสังคม
ดีกว่าเอ่ย?

ด้วยเหตุนี้ ผู้นำที่ฉลาดแค่การตลาดกวาดเสียงประชานิยมเป็นเครื่องมือ จนกุมอำนาจเบ็ดเสร็จได้ เราท่าน ต่างเห็นฝีมืออยู่แล้ว ยังเหลือแต่ว่าจะสามารถถึงขนาดครองใจคนฉลาด ชนส่วนน้อยผู้มีปัญญา รู้ทันท่านผู้นำ ได้มากน้อยแค่ไหนรึเปล่า... เพราะถ้าหลงเก่งแต่เอาใจพวกรากหญ้าเท่านั้นเป็นพอ ใครๆ ย่อมสามารถเป็นรัฐบาลได้หมด ด้วยวิสัยทัศน์ผู้นำจะมีเพียงตามหลังประชานิยมตะพึดอะไรเทือกนั้น หัวคิดอื่นใด วิเศษกว่านี้ไม่ต้องใช้ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ ประชาธิปไตยที่ลงตัว มันต้องมีธรรมาธิปไตย เป็นหลักชี้นำ กำกับด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้

ไม่ต้องอะไร ในสายตาของชาวพุทธ หากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นด้วยในกุศล อกุศลใดควรทำไม่ควรทำ คำตอบของพระพุทธองค์แม้แค่เสียงเดียวย่อมมีน้ำหนักควรแก่การเชื่อฟัง เชื่อถือ เชื่อมั่น เหนือชั้นกว่า ธรรมดาเราท่านผู้มากด้วยกิเลสตัณหา ต่อให้หาพวกมานับแสนนับล้านคนก็เถอะ หนึ่งเสียงของพระพุทธเจ้า ย่อมน่าศรัทธาไว้วางใจมากกว่าใครเป็นไหนๆ จริงหรือไม่ชาวพุทธที่เคารพ!

พระพุทธองค์ทรงสอนการเมืองว่า สภาใดไร้สัตบุรุษ สภานั้นไม่ใช่สภา ส่วนจะเป็นแก๊งก๊วนอะไร แล้วแต่ จะว่ากันไป สำหรับสัตบุรุษ คือผู้ทรงศีลทรงธรรมพร้อมปัญญาสัมมาทิฐิ แล้วสภา ห้าร้อยแห่งชาติก็ตาม ลองถามหาสัตบุรุษดูซิว่า จะมีอยู่สักกี่คน ในขณะที่มีพาลชนคนอยากโกงขี้โลภ ขี้เอาเปรียบ ไม่รู้เท่าไหร่ ต่อเท่าไหร่ พวกเขาสุมหัวกันอยู่เป็นทาสรับใช้ใครไม่กี่คน ด้วยผลประโยชน์ต่างตอบแทน นี่คือคุณภาพ ส.ส. สภาผู้ทรงเกียรติแบบฉบับการเมืองทุนนิยมประมาณนี้ จึงไม่เห็นแปลกประหลาดอันใด กับครม.ใหม่ ตั้งอย่างไร เปลี่ยนกี่หนพันธุ์ยี้ยั้วเยี้ยขนาดไหนๆไม่เคยขาดแคลนสักที ทั้งที่คุยโอ่รับประกัน คนสะอาด แน่นอน คงจะเป็นพวกเส้นใหญ่สายเหนียวดีเหลือเกินยังไงพิกล

แม้กระนั้นท่านผู้นำของเรา ช่างพูดอะไรน่าฟัง เมื่อวันเป็นนายกฯ รอบสอง ดังเช่น

"ผมจะบริหารประเทศ โดยใช้หลักการบริหารการจัดการที่ดี หรือกู๊ดกอฟเวอร์แนนซ์ โดยการใช้ระบบ เป็นตัวนำ เพื่อให้ทุกอย่าง โปร่งใสเท่าที่จะทำได้..." (ไทยโพสต์ ๙ มี.ค.๔๘)

ครับ ท่านพูดดีและทำได้จริงแค่ไหน ครม. ๒/๑ เรียงภาพออกมาให้เห็นคนสะอาด ขนาดขาวใส ดำด่างเทา ดีกว่าเก่าเท่าไหร่ ดูจะห่างไกลราคาคุยตั้งเยอะ เลยไม่ชวนหวังอะไรใหม่ๆ ได้มากนัก อันนี้คงต้องเห็นใจกันอยู่ แม้ท่านผู้นำจะมีอำนาจคับฟ้าไร้เทียมทาน แต่ยังไม่วายถูกจำกัดตามประสา ประชาธิปไตยทุนนิยม ที่ต้อง เห็นแก่ พวกพ้อง กว่าจะลงตัวโควต้าออกมาได้ ท่านยังต้องเลือกดูอยู่ตั้ง ๑๒ หน หรือท่านไม่มีอำนาจ เด็ดขาดในตัวเอง เท่าที่ควร?!

อย่างไรก็ดี เมื่อยังมีขาวมากกว่าดำ คงพอทำเนา และยังเอาธรรมาภิบาลอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะยืนยันถึง ขนาดกล้าหาญประกาศหลักสำคัญยิ่งใหญ่สุดๆ ว่า

"ถึงแม้ว่าผมจะให้ความเคารพและการนับถือศาสนาของคนไทยทุกคนทั้งประเทศ แต่ผมเป็นไทยพุทธ ผมจะยึดหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในการทำงานตามหน้าที่ของผม" (ไทยโพสต์ ๙ มี.ค.๔๘)

วาทะเฉียบคมเห็นปานนี้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้ยินเป็นบุญหู จากปากท่านผู้นำชื่อทักษิณ ชินวัตร คนรวยล้น สำเร็จแบบทุนนิยมสุดยอด

ทั้งนี้เพราะไม่ว่าใครก็ตาม ตราบใดที่ยังรวยล้นไม่พอแก่ตัณหา ภารกิจที่ต้องกอบโกยเต็มที่ ตามโอกาส ของแม่ปู มันหนีไม่พ้นที่ลูกปูจะต้องแข่งรวยไม่เสร็จด้วยวิถีทุนนิยมเสรีสุดๆ เช่นกัน สุดท้ายมันคง จะดับฝัน ของผู้นำที่หมายมั่นจะไปให้ถึงดวงดาวว่า

"ผมสร้างวัฒนธรรมว่า การเมืองเป็นเรื่องของการเสียสละ ไม่ใช่เรื่องการแสวงหา ฉะนั้น ทุกคนต้องทนได้ ที่จะทำหน้าที่ ซึ่งตัวเองอาจจะไม่ชอบเพราะต้องเสียสละ" (ไทยโพสต์ ๙ มี.ค. ๔๘)

ฟังแต่ละคำของท่านผู้นำเรา ช่างไพเราะจับใจจริงๆ ดูซิเก่งกาจขนาดกล้าขัดใจพลพรรค ให้ฝึกฝืน จำยอมเสียสละ เหมือนท่านคิดใหม่ได้แล้วจะทำได้สักเสี้ยวหนึ่งหรือไม่หนอ มันยังน่าฉงน ช่างเถอะ มาตรแม้นพูดแล้ว ไม่ลอยลมเปล่าเป็นปุยนุ่น คนไทยทุกคนคงอยากลุ้น เอาใจช่วย สุดลิ่มทิ่มประตู และคอยให้สติเพื่อท่านผู้นำจะได้แทนคุณแผ่นดินสมดังปณิธานยิ่งใหญ่เถิดเทอญ...

ฟังไปฟังมาแม้หลายเรื่องราวเป็นคุ้งแคว ตกลงคงสำคัญในจุดหลักว่า วิถีไทยมีศาสนารึเปล่า.. เราก็ได้คำตอบ จากนายกฯทักษิณ โดยไม่ทันต้องถามแต่ได้ความชัดๆ ว่า ทุกคนสามารถนับถือศาสนา ตามศรัทธา ส่วนท่านผู้นำเองเป็นไทยพุทธเช่นคนไทยส่วนใหญ่ ท่านจะใช้หลักธรรมวิถีพุทธบริหารประเทศ

สาธุ! คนชื่อทักษิณ ชินวัตร จะเป็นผู้พลิกแผ่นดินให้สมกับเป็นเมืองพุทธจริงๆ หรือนี่ เอาเถอะ ถึงจะฝันเฟื่อง ไกลขนาดไหน ก็อยากเห็นคนสร้างฝันให้เป็นจริงอยู่นั่นเอง

ดังนั้น เมื่อท่านผู้นำของเรากล้าประกาศจุดยืน อาจหาญเข้มแข็งดังที่ได้ยินกันทั่วแผ่นดินแล้ว เชื่อว่าจะมี การขานรับไปปฏิบัติจนถ้วนทั่วตามลำดับ

กับปัญหาแค่ว่าเบียร์เหล้าควรเข้าตลาดหุ้นหรือไม่...ทำไมจะต้องวิจิกิจฉาอะไรมากมาย ถ้าเป็นคนมีศาสนา ไม่ว่าพุทธ คริสต์ หรือ อิสลาม คุณภาพชีวิต ทรัพยากรมนุษย์ มันย่อมสำคัญกว่าธุรกิจเม็ดเงิน ชนิดเทียบค่ากัน ไม่ได้เลย

ลองมาดูคำประกาศวิงวอนของนายกรัฐมนตรี อุตส่าห์ขึ้นป้ายขนาดยักษ์เบ้อเร่อว่า

"เมตตาลูกหลานไทย ให้เหมือนลูกของเราเอง ห่วงใยเขา ไม่ให้ตกเป็นทาสของเหล้า บุหรี่"

อย่าขายให้เขาเลยครับ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ครับ เรื่องเหล้าน้ำเมา มันทำให้คนไทยชาวไร่ชาวนาทั้งหนุ่มจนเฒ่าเสียคน ครอบครัวยากจนดักดาน มาหลาย สิบปีแล้ว รัฐบาลไทยรักไทย หวังแก้จน ก็ต้องเปลี่ยนค่านิยมกินเหล้าเมายาเสียใหม่ให้จงได้

กับบุหรี่น่าดีใจหาย ที่ก้าวหน้าไปมากมาย เพื่อให้คนเลิกสูบกันเสียที

สำหรับเหล้าเบียร์ที่พาฉิบหายวายป่วงยิ่งกว่าร้อยพันเท่า สมควรเอาเรื่องกันได้แล้ว

ถึงแม้เหล้าเบียร์จะเป็นของชอบผู้ชายส่วนใหญ่ รัฐบาลจะห้ามเด็ดขาดเหมือนยาบ้าไม่ไหว ใครจะกิน ก็เป็นเรื่อง ของคนไม่ยอมถือศีล ใครจะขายจะผลิตก็เป็นธุรกิจของ คนนอกศาสนา รัฐบาลคงได้แต่ จำกัด ผูกขาดสัมปทาน ถึงจะเปิดเสรีให้บางกลุ่มในชุมชน ทำเหล้าอะไรเล็กๆ ขึ้นมาได้บ้าง มันก็เป็นเรื่องเอาใจ ประชานิยมเลยเถิดไปหน่อย

ถึงรัฐบาลไม่ส่งเสริม ห้ามกั้นไว้มากมาย คนก็หาทางกิน หาทางทำขาย จนเสพติดเข้าเส้นเลือดทั่วไทยอยู่แล้ว

ฉะนั้น ยิ่งคิดก้าวกระโดด มอมเมาคนให้หนักดักดานเข้าไปอีก ด้วยการระดมทุนจากตลาดหุ้นทุนสาธารณะ เท่ากับบ้าดีเดือดบานตะไท ลำพังเป็นธุรกิจใช้ทุนธรรมดาส่วนตัวหรือหากู้จากธนาคารบ้าง ยังเฟื่องฟู จนยั้งไม่หยุด ขนาดนี้ กำไรรวยไม่เสร็จ มันยั่วยวนให้ต้องขยายเพื่อดูดเงินคนจนเข้ากระเป๋านายทุน ให้รวยล้นฟ้า ต่อๆ ไปยิ่งๆ ขึ้น

ธุรกิจที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม โดยมองข้ามศีลธรรม เป็นธรรมดาที่หากินกำไรกับคนจนปัญญา ขาดหัวคิด ให้ตกเป็นเหยื่อ ทาสมอมเมาต่างๆ คนทั่วไปไม่รู้ดอกว่าพระพุทธเจ้าทรงห้ามมิจฉาวณิชชาไว้ ๕ อย่าง คือ

๑.สัตถวณิชชา ค้าขายอาวุธ
๒.สัตตวณิชชา ค้าขายมนุษย์และสัตว์
๓.มังสวณิชชา ค้าขายเนื้อสัตว์
๔.มัชชวณิชชา ค้าขายน้ำเมา
๕.วิสวณิชชา ค้าขายยาพิษ

การซื้อขายของต้องห้ามทั้ง ๕ นี้ อุบาสกอุบาสิกาชาวพุทธไม่ควรทำเลย ใครเชื่อไม่เชื่อคำสอน พระบรมศาสดา ของชาวพุทธ บาปบุญเวรกรรมแล้วแต่ใครจะทำฉันใดก็ฉันนั้น

รัฐบาลไทยรักไทย เอื้ออาทรเอาใจประชานิยมมาสารพัด ดีบ้างชั่วบ้าง

ในครั้งนี้ ถ้าเกิดเอาจริงกับเบียร์เหล้าน้ำเมา ให้เลิกเมาเลิกบ้า ดังเช่น หาทางเปลี่ยนค่านิยมสูบบุหรี่ หากลงมือ ตั้งท่า ทำจริงจังเป็นเรื่องต่อเนื่องกัดไม่ปล่อย ชาวพุทธเป็นต้องแซ่ซร้องโมทนาสาธุการ สมกับใครไม่รู้ ตั้งให้เป็น พระธรรมทักษิณ ในฐานะที่เป็นผู้นำไทยรักไทยเข้าท่า ถูกทางวิถีพุทธ บ้างแล้ว จะได้พลิกเมืองผี ให้เป็นเมืองพุทธ ของชาวไทยพุทธบ้าง

อนึ่ง น้ำเบียร์เหล้าของมอมเมาเสพติด แสนจะรู้กันดีว่าเป็นของต้องห้ามสำคัญ มันเป็นน้ำพิษ ทำลายชีวิต จิตใจ ให้คนเสียนิสัยกระทั่งเสียคน ทั้งบ่อนทำลายครอบครัวตลอดสังคม แม้เศรษฐกิจก็ฉิบหายวายวอด

โทษมหาภัยของน้ำเมา มันไม่น่าสงสัย ถ้าเชื่อฟังศาสนา โดยเฉพาะยิ่งชาวพุทธ มันน่าจะหยุดลดละ เลิกกินดื่ม จนกระทั่งเลิกทำกันไปเลยโน่นถึงจะสมกับเป็นเมืองพุทธ เมื่อเชื่อว่าการกินดื่มน้ำเมา มันไม่ได้ทำ ให้คนเจริญขึ้นตรงไหน มีแต่เสียกับเสีย แล้วจะส่งเสริมให้คนเสพติด หลงเมามันแพร่หลายไปอีกทำไมหนอ...

ถึงเวลาแล้ว ที่สังคมน่าจะตื่นตัว เกิดสติปัญญา เปลี่ยนค่านิยมบริโภคกันใหม่ได้แล้ว ทำนองเดียวกับที่ กำลังต่อต้านบุหรี่อย่างจริงจังแข็งขันน่าเป็นปลื้มแท้ๆ

ธรรมดาธุรกิจที่หวังกำไรลูกเดียว โดยไม่ห่วงศีลธรรม ย่อมพยายามหลอกล่อคนให้มาเป็นเหยื่อ เพื่อดูดเงิน ทุกอย่างที่ขวางหน้า จากการกินสูบดื่มเสพอันนั้นอันนี้ แล้วแต่จะโฆษณาชวนเชื่อ ให้คนหลงใหลใคร่อยาก ได้ขนาดไหน

นักเศรษฐกิจอาจคิดตื้นๆ ว่า ธุรกิจเหล้า เบียร์ฟูเฟื่องขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ตลาดหุ้นคึกคักขึ้นก็ดีนี่นา เงินทอง จะได้สะพัด คนมีงานทำว่าจ้างกันมากขึ้น โรงขวดโรงกล่องเซ็งลี้ฮ้อ ข้าวสั่งทำเหล้า จะได้ขยายปลูกเพิ่มขึ้นราคา ดูมันดีไปหมดเลย แต่ทว่า...

ลองล้วงลูกลงลึกอีกนิดน่าจะได้คิดว่า มันเป็นการทำลายทรัพยากรผลาญพร่าเวลาทุนรอนมหาศาล น้ำเหล้าเบียร์มันกินอิ่มที่ไหน พ่อบ้านหมดเงินไปกับค่าเหล้าเบียร์มากกว่าซื้อข้าวกินลงท้องตั้งเท่าไหร่ แทนที่จะเอาข้าว มาทำเหล้าเบียร์ สู้เอาแป้งสาลีมาทำขนมปัง เอาข้าวเหนียวมาหุงกิน มันถูกเศรษฐกิจ สุขภาพ อิ่มทั่วถึงทุกคนทุกบ้าน ไม่ดีกว่ายังไง...

เศรษฐกิจองค์รวมโดยจุลภาคทั้งมหภาคจากธุรกิจน้ำเมา มันไม่ทำให้ดีขึ้นอย่างที่คิด มันเป็นตัวบ่อนทำลาย เศรษฐกิจแท้ๆ

ถ้าเชื่อว่า ภูมิปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนไว้ไม่มีผิดหรอก คือ เศรษฐศาสตร์ เชิงพุทธ ต้องมีศีล ตั้งแต่ศีลห้า ละเว้นอบายมุข ดังพรพระว่า

สีเลน สุคติง ยันติ สีเลน โภคสัมปทา

ศีล นำพาเจริญสู่ทางดีขึ้น ศีลนำพาให้ถึงพร้อมด้วยโภคทรัพย์

พูดง่ายๆ ถือศีลแล้วรวยด้วยมักน้อยสันโดษไม่โลภ แต่เหลือกินเกินใช้ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง เลี้ยงตัวเอง ได้สมบูรณ์ จนเหลือเฟือฟายคนอื่นๆ ได้อีกต่างหาก

พิสูจน์ได้แค่เป็นไทจากอบายมุข มันก็รวยขึ้นทันตาเห็นอยู่แล้ว

น่าเสียดายที่เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่เห็นศีลธรรมสำคัญอยู่ในสายตา

นิยามความหมายของเศรษฐศาสตร์ เคยเรียนกันมา เช่นว่า

"เศรษฐศาสตร์คือวิชาที่ว่าด้วย การนำทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด มาบำบัดความต้องการของมนุษย์ อันมีอยู่ อย่างไม่จำกัด" คิดดูซิ ถ้าไม่กำจัดตัณหาให้น้อยลง จะเอาเท่าไหร่มาบำเรอจนสำเร็จเมื่อไหร่วันไหนกัน...!?!

ดังนั้น ลัทธิบริโภคนิยม ที่หลงแต่รวย ก้าวหน้า พาบ้ากินสูบดื่มเสพเมามัน โดยไม่รู้จักลดกิเลสตัณหา มันจึงพาสังคมมนุษย์ วุ่นวายเดือดร้อนเศรษฐกิจดังที่เห็นและเป็นอยู่ทั่วโลกทุนนิยม

ตรงกันข้ามกับสังคมบุญนิยมวิถีพุทธ เศรษฐศาสตร์ต้องฉลาดด้วยศีลธรรม นำทางสร้างคนกล้าให้แทนกล้าเอาเปรียบ ชูธงรวยน้ำใจยิ่งใหญ่กว่าค่าน้ำเงิน

-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๗ เมษายน ๒๕๔๗ -