คนบ้านนอกบอกกล่าว

คนเราอายุยิ่งมาก มีความรู้สึกว่าวันคืนยิ่งผ่านไปไวขึ้น ถึงวันพฤษภาประชาธรรม ๑๗ พฤษภาคม อีกแล้ว นับตั้งแต่เดือนพฤษภาปี ๓๕ เป็นต้นมา ผมจะไปร่วมงานเฉพาะพิธีสงฆ์เท่านั้น เสร็จก็กลับทันที ไม่ได้ร่วมงานอื่นๆ ซึ่งจัดติดต่อกันหลายวัน เพราะจะมีการกล่าวถึงผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์รวมทั้งตัวผมด้วย จะทำให้เข้าใจผิดว่า การหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจเผด็จการ ทำไปเพราะอยากดัง อยากได้รับคำชม

ปีนี้แม้แต่พิธีสงฆ์ก็ไม่มีโอกาสไปร่วม เพราะติดการดูงานและประชุมสัมมนาเกษตรอินทรีย์ กับผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ ๗๕ จังหวัดที่อุบลฯ และนครพนม ซึ่งผมมีหน้าที่โดยตรง

งานใหญ่อีกงานหนึ่ง ผมเตรียมตัวนานแล้ว ๒๒ ถึง ๓๐ พฤษภาเป็นเวลา ๙ วัน ๙ คืน จะต้องไปปักกลดพักค้าง ร่วมกับฆราวาส จากจังหวัดต่างๆ ไม่น้อยกว่า ๒,๐๐๐ คน เพื่อปฏิบัติธรรมในช่วงวันวิสาขบูชา

เมื่อพระผู้ใหญ่ท่านคัดค้านไม่ให้พระชาวอโศกไปร่วมจัดงานรวมทั้งฆราวาสด้วย ผมเลยว่าง หารือกับคุณศิริลักษณ์ว่า วันวิสาขบูชา ๒๒ พฤษภาจะไปไหนกันดี จะไปที่ท้องสนามหลวงหรือพุทธมณฑลคงห้ามเราไม่ได้ แต่พระและฆราวาสคณะผู้จัดงาน คงจะระแวง และไม่อยากเห็นหน้า ขืนไปอาจมีเรื่องมีราว ไปปฐมอโศกและแดนอโศก สบายใจกว่า แม้จะไม่มีการจัดงานเป็นพิเศษก็ตาม

ผมมีโอกาสพูดคุยเรื่องวันวิสาขบูชากับเด็กนักเรียนปฐมอโศก ซึ่งกำลังเตรียมตัวไปร่วมงานที่สนามหลวง พระอโศกท่านใจกว้าง ส่งเด็กนักเรียนหลายสิบคนไปร่วม เกรงว่างานจะมีคนน้อยไม่สมกับวันสำคัญทางพุทธศาสนา ช่วงบ่ายผมและคุณศิริลักษณ์ เดินทางต่อ ไปยังแดนอโศก ใกล้วัดหนองกระทุ่ม อำเภอกำแพง-แสน นครปฐม

สมัยเริ่มก่อตั้ง ทั้งการเดินทางและความเป็นอยู่ยากลำบากมาก พระอโศกทั้งอดทั้งทน และได้ประกาศขอลาออก จากคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ ตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ อีก ๑๔ ปีต่อมาถูกประกาศให้ออกอีกทั้งๆ ที่ออกไปเรียบร้อยแล้ว พระชาวอโศกชุดบุกเบิก ท่านนึกไม่ถึงว่า จากจุดเล็กๆ ในครั้งกระนั้น จะกลายเป็นจุดใหญ่ในวันนี้ เป็นแก่นแกนสำคัญ ที่ยืนหยัดยืนยันแก่นแท้ ของพระพุทธศาสนา

ผมพยายามจะเขียนตามชื่อ "เราคิดอะไร" ฉบับนี้ แต่จะเขียนอย่างไรก็สู้บทความของ อุบาสิกา ดร.รินธรรม อโศกตระกูล และ เภสัชกรสงกรานต์ ภาคโชคดี ไม่ได้ จึงขอนำมาลงพิมพ์แทน

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๙ มิถุนายน ๒๕๔๘ -