ภาระหนักหน่วงสำหรับบางคน
อาจปลงวางลงได้ ในเวลาใดเวลาหนึ่ง
แต่สำหรับอาจารย์หม่อมดุษฎี บริพัตร
ของเด็กๆ แล้ว
มันคือหน้าที่ของครูคนหนึ่ง
ที่ทำงานมาตลอด ๘๐ กว่าปี
จวบจนวันนี้
ประวัติ
เกิด ๑๔ ธันวาคม ๒๔๖๗ ที่จังหวัดภูเก็ต
บิดา/มารดา หลวงอิสเรศรักษา (ปลื้ม ณ ถลาง) นางดรุณ อิศเรศรักษา
๒๑ ก.พ. ๒๔๙๔ เป็นหม่อมในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุขุมาภินันท์
มีบุตรชาย ๒ คนคือ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร และพันเอก ม.ร.ว.วโรรส บริพัตร
อาชีพ ครู นักเขียน นักการศึกษา
การศึกษา
๒๔๗๗ สำเร็จชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนปลูกปัญญา จังหวัดภูเก็ต
๒๔๘๓ สำเร็จชั้นมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนมาแตร์เดอี พระนคร
๒๔๘๕ สำเร็จชั้นเตรียมอุดมศึกษา พระนคร
๒๔๙๐ ได้รับปริญญาตรีทางอักษรศาสตร์ อ.บ. (เกียรตินิยม) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
๒๔๙๑ ได้อนุปริญญาทางคุรุศาสตร์ ป.ม. (เกียรตินิยม) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
๒๔๙๒ ได้รับทุนการศึกษาคุรุสภา ไปศึกษาที่ประเทศ สหรัฐอเมริกา
๒๔๙๔ ได้รับปริญญาโท ทางพัฒนาการเด็ก จากมหาวิทยาลัยมิลล์ (M.A.-Child Development,
Mills C0llege, Califonia)
๒๔๙๔ ได้รับอนุปริญญา ทางการเลี้ยงเด็ก (Nursery) จากมหาวิทยาลัยมิลล์ (Certificate
in Nusery School Teaching ,
Mills College Califonia)
การทำงาน
๒๔๙๘ -เปิดศูนย์เลี้ยงเด็ก (Nursery) เป็นแห่งแรก ในประเทศไทย ที่โรงเรียนสมประสงค์
-เปิดโรงเรียนอนุบาล-ประถม ชื่อว่าโรงเรียนสมประสงค์ ตั้งอยู่ ซอยเพชรบุรี ๑๓ (ซอยสมประสงค์ ๒) ถนนเพชรบุรี กทม.๑๐๔๐๐ โทรศัพท์/โทรสาร ๐๒-๒๕๒๘๙๗๒ ปิดดำเนินการ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ รวมระยะเวลา ๔๐ ปี
-พิมพ์หนังสือ ผ้าสำหรับเด็กอ่อน ๒ เล่ม เป็นครั้งแรก โดยร้านโขมพัสตร์ นับเป็นหนังสือภาพ
เล่มแรก สำหรับเด็กปฐมวัย
ฯลฯ
# แรงจูงใจที่มาทำงานเกี่ยวกับเด็ก
ดิฉันมีแม่เป็นครู ตอนแรก ตั้งใจเป็นหมอ แต่พอไปเรียนเข้าจริงๆ รู้ว่าการเรียนบางวิชา จะต้องฆ่ากบ
เลยไม่เอา อยากหันมาเรียน ทางศิลปะแทน แม่บอกขอเถอะ จะไม่เป็นครูก็ได้ แต่อยากให้ลูกเรียนครู
เมื่อเรียนจบแล้ว ดิฉันคิดว่าตัวเอง คงจะทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นครู และได้ทุน ไปเรียนเมืองนอก ให้เลือกระหว่าง อเมริกากับอังกฤษ ก็เห็นว่า การศึกษาทางอังกฤษ ของเรามีมากแล้ว จะลองไปอเมริกาดู เผอิญว่า โรงเรียนนี้ ขึ้นชื่อในเรื่อง Child Development ซึ่งเป็นของใหม่ ดิฉันเรียนเป็นคนแรก ของเมืองไทย ถึงได้รู้ว่า สิ่งที่เราคิดว่า ชีวิตเหมือนตั้งต้น เมื่ออายุ ๖ ขวบ นี่ไม่ใช่แล้วนะ มันเริ่มต้นที่ ๒ ขวบ พอกลับมา เมืองไทย ก็เปิดสถานรับเลี้ยงเด็ก เป็นแห่งแรกในปี พ.ศ. 2499 รับเด็ก ๒ ขวบ ทีนี้คนก็เอาอย่าง เปิดตาม เมื่อเห็นว่า เด็กไปโรงเรียนได้ ก็เลยเอาเด็กเข้า ๓ ขวบ ไปเรียนกลุ่มเดียวกับเด็ก ๕ ขวบ โดยไม่เข้าใจว่า วิธีการดูแล การเรียนรู้ ไม่เหมือนกัน มันก็สับสน ตั้งแต่นั้นมา
เมื่อจับเด็ก ๓ ขวบ สอนอย่างเดียวกับเด็ก ๕ ขวบ เด็ก ๕ ขวบก็สอนอย่างเด็ก ป.๑ ถึงได้เกิดความวุ่นวาย เพราะเขา ไม่เข้าใจว่า เด็กเล็ก กับเด็กโต มีพัฒนาการ ที่ไม่เหมือนกัน ยิ่งตอนปลายศตวรรษที่ ๒๐ เขาเน้น และให้ความสำคัญ เรื่องสมอง แม้แต่อเมริกา ก็ตั้งชื่อให้เป็น ทศวรรษแห่งสมอง ถึงได้เห็นว่า กระบวนการเรียนรู้ มันเริ่มต้นตั้งแต่ เด็กอยู่ในครรภ์ ดิฉันชอบวิธีการ ของโรงเรียนนี้มาก คือ ครูอายุ ๙๐ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิก คนแรก เป็นครูที่เก่งมาก สิ่งที่เขาสอนตอนนั้น ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้ถึงเดี๋ยวนี้ ก็ยังไม่ล้าสมัย
# ความเข้าใจเรื่องเด็ก
ก็ยังเป็นจุดบอด และกว่าที่รัฐบาล จะเห็นความสำคัญ ของเด็กปฐมวัย กว่าจะอยู่ในแผนการศึกษา ของชาติ
ก็ไม่กี่ปี มานี่เอง เมื่อสมัยที่ดิฉัน กลับมาตั้งโรงเรียน ตอนนั้น รัฐบาลยังไม่เห็นความสำคัญ ของเด็กปฐมวัย
มีกฎกระทรวง เขียนเป็นตัวอักษรว่า ครูที่จะสอน เด็กปฐมวัย หรือ เด็กอนุบาล ไม่จำเป็นต้องมี วุฒิครู
เราเห็นก็ช็อกเลย จริงๆ แล้วความรู้สึก ที่รู้คุณค่าของเด็ก Appreciate เด็ก ความเป็นสิทธิ ของการเป็นเด็ก
ทั้งหมดนี้ เป็นความคิดของ คนตะวันตก ดิฉันพูดเสมอว่า เรานี่ต้องขอบใจพวกท่าน ที่สอนให้รู้ เห็นค่าของเด็กๆ
ว่า พวกเขาไม่ใช่ ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ความแตกต่างอยู่ตรงนี้ เราอาจรักเด็กจริง แต่เราไม่รู้ว่า จะทำอะไรกับเด็ก
จนกระทั่งบัดนี้ เราไม่รู้ว่า เด็กควรจะได้รับอะไร ทั้งในเรื่องการกินอยู่ หลับนอน
ตามด้วยความรู้เรื่อง พัฒนาการทางสมอง ที่ต่อมา ก็เห็นความสำคัญกันมาก แต่ก็ยังเห็นเฉพาะ ในผู้ที่เรียนทางด้านนี้มา
แม้คำว่า ปฐมวัย จริงๆ แล้วก็หมายถึง เด็กตั้งแต่จุดปฏิสนธิ จนถึง ๗ ขวบ
# การปลูกฝังควรเริ่มเมื่อไร
เริ่มที่ครอบครัว มีงานวิจัย ที่ชี้ให้เห็นชัดเจนมาก ว่าเด็กต้องได้รับ การปลูกฝังทุกอย่าง ตั้งแต่ในท้อง
ถ้าทำก่อน ๔ ขวบ จะได้ผล ๑๐๐% หลัง ๔ ขวบ จะได้ผล ลดลงครึ่งหนึ่ง ถ้าถึง ๖ ขวบ ก็สายไปแล้ว
แต่มีข้อแม้ว่า ถึงจะหลัง ๖ ขวบ ถ้าเด็กมีกัลยาณมิตรดี เจอครูดี เจอสิ่งแวดล้อมดี ก็ยังมีโอกาสที่ดี ในการพัฒนาได้
แต่ตอนนั้น มันเป็น Second Chance
รัฐบาลเองสมัยนี้ ปากก็บอกว่า เห็นความสำคัญ ของการศึกษา ในเด็กเล็ก แต่ดิฉันบอกว่า รู้ไหมเวลานี้ เราปล่อยให้ วัยทองของเด็ก อยู่ในมือ คนที่เรียกว่า ด้อยการศึกษาที่สุด คือพี่เลี้ยง เขากลับไม่เห็น ความเกี่ยวเนื่องกัน ดิฉันพูดเรื่องนี้ หลายปีมาแล้ว เราให้พ่อแม่เด็ก ร่วมมือกัน โดยดิฉัน เชิญศูนย์รับเลี้ยง เด็กต่างๆ ที่มีพี่เลี้ยงมาอบรม ซึ่งเขาบอกว่า เขาอบรมมาแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่ มันเป็นการค้าไปหมด ศูนย์รับเลี้ยง เด็กเล็ก กลายเป็นแค่ ที่รับจ้างเลี้ยงเด็ก ถ้าจะให้ได้เงินดี ก็ติดป้ายบอกว่าเป็น Inter ด้วย และการเลี้ยงดู ก็ใช้วิธีแบบ Inter ที่จริงไม่มีอะไร เด็กที่ออกมา ก็ไม่ได้อะไร เข้าไปชุบมือ เหมือนชุบแป้งนี่ โดยพี่เลี้ยง ได้ค่าทิปเดือนหนึ่ง เป็นเงินมากกว่า คนจบปริญญาตรี ที่เริ่มต้น ๘,๐๐๐ บาทเสียอีก ไม่ได้พูดว่า โง่นะ แต่เพราะไม่รู้จัก วิธีสอน พอเราเขี่ยเข้า เขาก็บอกว่า เขาทำแล้ว รัฐบาลเอง ก็ไม่มีการควบคุมเลย ดิฉันก็เลย รณรงค์ด้วยการบอก โรงเรียนต่างๆ ที่ชอบพอกัน และอยู่ในเครือเดียวกันว่า ใครที่รับเด็ก ๕ ขวบ ให้รับเด็ก อายุต่ำลงมาถึง ๒ ขวบ ส่วนใคร รับเด็ก ๒ ขวบอยู่แล้ว ก็ให้รับ ตั้งแต่ก่อน ๑ ขวบเลยด้วยซ้ำ คือหมายความว่า จะให้การศึกษา แก่แม่นั่นเอง เดี๋ยวนี้ ศตวรรษใหม่ เขาถือว่า พ่อแม่เป็น Partner จริงๆ คือ ต้องร่วมกัน ดูแลเด็ก ถึงจะสำเร็จ เพราะว่าทำคนเดียวไม่ได้ แต่ที่จะมาอวดฉลาด ว่าโรงเรียน ทำได้เก่งอยู่แล้ว ผู้ปกครอง ไม่เกี่ยวข้องก็ได้ อันนี้ผิดพลาด
# หลักสูตรการพัฒนาเด็ก
เขาก็พูดได้ ทำให้เด็กดีด้วย เก่งด้วย แต่ในเรื่องวิธีทำของเรา มันตายมานานแล้ว
แม้แต่ในด้านการสอน เมื่อเร็วๆ นี้ ดิฉันไปปีนัง ไปสัมผัส วิธีการสอนธรรมะ เพื่อให้เรารู้จักตัวเอง
ต้องยอมรับว่า ฝรั่งนี่เขาฉลาด ที่จะเอา ความคิด ของทางคริสต์ พุทธ และปรัชญาต่างๆ
ไปแตกออก ทำให้มันปฏิบัติ ได้ง่ายขึ้น ให้เป็นรูปธรรม เป็นระบบ เขามีความเพียร ที่จะให้ทั้งความเข้าใจ
และสอนปฏิบัติ แก่ลูกศิษย์ ต้องปล้ำ เอาจนได้ คิดกิจกรรม มากมาย แม้แต่วิธีนั่งสมาธิ เขาก็ไม่ได้ให้นั่ง เพียงอย่างเดียว
เขาใช้หลายๆ วิธี อันนี้ ต้องบอกว่า เขามีการทำงาน เป็นระบบจริงๆ การปฏิบัติ ไม่ใช่แค่เพียงทฤษฎี
แก่นของพระพุทธศาสนา คือการรู้จักตนเอง เขาก็มีกิจกรรม ในการสอน ให้รู้จักตัวเอง
โดยเอาของดีของเรา ไปปรับใช้ อย่างเหมาะสม เราต้องเอากลับมาใช้บ้าง
เขาฉลาด และเขาก็ไม่ละความเพียร เขาคิดค่าเฉลี่ยของคนทั่วไป ส่วนใหญ่เหมือนบัวใต้น้ำ โดยแต่ละคน มีวิธีเข้าใจ มีความฉลาดผิดกัน มีสไตล์ ในการเรียนรู้ หรือรับรู้แตกต่างกัน เพราะฉะนั้น การให้นั่งฟังอย่างเดียว ไม่มีทางสำเร็จได้
เมื่อปี ๒๕๑๘ เราทำหลักสูตรพัฒนาเด็ก ดิฉันเป็นอาจารย์เอกชน เพียงคนเดียว ที่เข้าไปนั่งในนั้น เป็นที่ปรึกษา คนเดียว ที่ไปทุกวันเลย ทำเรื่องหน่วย หมวด ๓ มีวิชาพลศึกษา ศิลปะนาฏศิลป์ และเรื่องศีลธรรม ดิฉันพูดคำแรกว่า เราสอนศาสนา แต่เรื่องเปลือกนอกกัน พอขึ้นต้นหลักสูตร วางแผนการสอน ก่อนเลยว่า วันวิสาขบูชา สำคัญอย่างไร พระพุทธเจ้าคือใคร อะไรต่างๆ มันก็โอเค ทุกคนรู้ว่า ชาวพุทธ ควรรู้เรื่องเหล่านี้ แต่เราไม่ได้มาดูว่า ถ้าคุณธรรม มันยังไม่มี จะปลูกฝังให้เกิด ได้อย่างไร เช่น ความซื่อสัตย์ แบบจีน ความซื่อสัตย์ แบบฝรั่ง ของเขาซื่อสัตย์ ก็คือซื่อสัตย์ เรามาช่วยกันคิด ได้ไหมว่า คุณธรรม ที่เป็นสากลจริงๆ คืออะไร ทำไมเราไม่คิดถึง การปฏิบัติ มัวแต่สอน ด้วยปากเฉยๆ นี่มันยังทำให้เกิด คุณธรรมไม่ได้ เวลานี้เราตามหลังเขา กิจกรรมที่จัดต่างๆ เพื่อให้เรียนรู้ จากการปฏิบัติ อย่างเป็นรูปธรรมนั้น เราสู้เขาไม่ได้ ขนาดอิสราเอล ซึ่งมีศาสนาของเขา เขาก็ยังสนใจวิธีนี้ สนใจถึงแกน อันคือ จิตวิญญาณเลย เดี๋ยวนี้ พวกครูเก่งๆ พูดถึง จิตวิญญาณ แต่เรายังเตาะแตะๆ อยู่เลย
# วิญญาณครูมีลักษณะอย่างไร
ต้องเป็นแม่ด้วย เป็นแม่และเป็นอะไร อีกหลายอย่าง คือแม่ต้องเป็นครู และครูต้องมีความเป็นแม่
แยกไม่ออกเลย เป็น Partner กันจริงๆ นั่นคือ วิญญาณครู แท้จริง ต้องมีเมตตา ต้องมีความเป็นพรหม
ในความเป็นแม่ คือความเป็นพรหม โดยตัวสำคัญ ต้องมีเมตตาจิต และเป็นคนที่ปฏิบัติ โดยไม่ใช่แค่ รู้ทฤษฎี
ต้องปฏิบัติถึงใจด้วย
ก็ดีใจว่าตอนนี้มีคณะกรรมการ ที่ทำเรื่องนี้ พวกเขาขานรับ ข้อกำหนดต่างๆ จากสหประชาชาติ ที่กดดัน ให้ต้องช่วยเด็ก ในเรื่องสิทธิ ช่วยเรื่อง เด็กติดยาเสพติด ฯลฯ จึงต้องหันมาสนใจ เรื่องนี้มากขึ้น มีประโยคหนึ่ง ดิฉันดีใจมาก รู้สึกมันมีกรอบ ที่ชัดเจนขึ้นว่า มีคนที่เข้าใจ เรื่องศาสนาจริงๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยบอกว่า เวลาจะทำอะไรกับเด็ก ให้นึกถึงพัฒนาการของเด็ก ในด้านจิตใจ และวิญญาณ ซึ่งขานรับกับสิ่งที่ มีคนทำนายไว้ ตอนปลายศตวรรษที่ ๒๐ ช่วง ค.ศ.๑๙๘๐ เขาบอกถึงยุคใหม่ การศึกษาอบรมต่างๆ ต้องทำ ๓ ระดับ คือ ระดับสามัญสำนึก ระดับเหนือจิตสำนึก ระดับใต้จิตสำนึกด้วย สิ่งที่เหนือสำนึก เช่น นักวิทยาศาสตร์ ที่ยอมรับ ในเรื่องพลังงานต่างๆ เป็นต้น ส่วนจิตใต้สำนึก จะช่วยในเรื่อง คุณธรรมต่างๆ ให้รู้จักตัวเอง แล้วต้องขุดเข้าไปลึกๆ ถึงจิตใต้สำนึก โดยมีกระบวนการต่างๆ ลงถึงขั้นนั้นให้ได้
# เวลาที่ผ่านไป อาจารย์พอใจกับผลงานตัวเอง มากน้อยแค่ไหน
ไม่พอใจ คือว่า เมื่อตอนแรกๆ ดิฉันเข้าใจว่า ตัวเองเป็น Superman อบรมคนทีละ ๒๐๐-๓๐๐
คน หวังเล็งผลเลิศ ว่าเขาจะกลับไปพัฒนา แต่มัน จมหายหมด ไปรณรงค์ถึงที่ ก็ทำนะ ถือว่าการรณรงค์
คือการออกไปหาคน และก็พูด หรือทำให้เขาเห็น แต่กว่าจะรู้ตัวว่าเราโง่ ก็ใช้เวลา
อยู่หลายปี ได้ออกไปทำ ที่ต่างจังหวัด ทำอยู่ ๑๙ ปี ควักทั้งเงินตัวเอง และหาเงิน มาช่วยเขาด้วย
ให้ครูมาอบรม ๒ วัน เสาร์-อาทิตย์ ไม่ต้องรองบ สนับสนุน แต่มีข้อแม้ว่า ต้องเข้ามาอบรมให้ได้
๒๐๐ คนต่อรุ่น ก็ได้ผลระดับหนึ่ง ต้องเอาเงินมา ครั้งละ ๔ หมื่น เพื่อเชิญครู มาจากอิสราเอล ช่วยอบรม
ค่าเครื่องบิน ตอนนั้นแพงมาก ประมาณ ๕-๖ หมื่น ดิฉันก็ออกเงินส่วนตัว สมทบ หรือใคร จะเข้ามาช่วยก็ได้
มันเป็นการทำงานที่แผ่กว้าง ออกไปมาก ก็ได้ผลว่า เราไปกระตุ้นเท่านั้น และก็เริ่มเข้าใจจริงๆ ภายใน ๑๐ ปีหลังนี้เอง โดยไปอบรม ตามโรงเรียน ให้โรงเรียน เขาจัดกลุ่มกัน มีโรงเรียนประมาณ ๒๐ แห่ง ที่พูดกันรู้เรื่อง พวกนี้ก็กลับมาบ่นว่า พูดกับคนอื่นเขาไม่รู้เรื่อง อย่างที่ พวกเราทำ เขาไม่รู้เรื่อง อบรมไปอบรมมา จนกรอบ ไปทั้งตัวเลย แต่เปล่าพอเข้าไปในห้อง ก็รู้แล้วว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อะไรเกิดขึ้น แม้แต่โรงเรียนต่างๆ ซึ่งเป็นผู้นำ ในการศึกษา มาร้อยกว่าปี ก็ไม่มีอะไร กระดิกเลย
การอบรมของเขาคือ หนีบเอาแฟ้ม เข้าไปนั่งเขียน รูปแบบนี้ ดิฉันพัฒนามาหมดแล้ว ตั้งแต่ ทั้งการเดินตุกติกๆ ใส่ตุ้มหู รองเท้าส้นสูง จนถอด ลงคลุกกับพื้น ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง ดิฉันไม่ให้มี อันนี้ก็พัฒนา มาก่อนแล้ว ๓๐-๔๐ ปี จนดิฉัน มีความมั่นใจ และแน่ใจว่า ถ้าจะให้เห็นพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงกับเด็ก หากไม่เปลี่ยนครูก่อน จะเป็นไปไม่ได้เลย แม้คำพูด ที่ออกมาว่า Child Center เอาเข้าจริงแล้ว ถึงจะใช้เด็ก เป็นศูนย์กลาง แต่ก็ต้อง อาศัยครูอยู่ดี เพียงแต่มันซับซ้อน ยิ่งกว่าเดิม เท่านั้น
# เวลามีอารมณ์กับเด็ก ควรทำอย่างไร
ต้องเคลียร์ตัวเองก่อน จัดการล้างวิญญาณใหม่ รู้จักตนเอง พัฒนาตนเอง ถ้าเราคุม และ ไวต่อชีวิตข้างใน
ของเราเอง สิ่งที่ดีหรือไม่ดี ในตัวเรา เราก็จะคุม ไวในการด ูคนอื่นด้วย เราก็จะรู้จักปลดปล่อย
การกดไว้ มันไม่ดีทั้งนั้น ทีนี้ยุคเรา ก็อาย ในการที่จะปฏิบัติตัวเอง รู้จักตัวเอง
แต่เวลานี้ ความโน้มเอียง ในการช่วยตัวเอง และถึงเขาแนะ ให้ช่วยตัวเอง ก็ยังไม่ช่วยอีก
ก็ยิ่งไม่ได้ เขามีกรุ๊ป Therapy ก็ไม่ชอบ ต้องฝืนใจทำ และต้อง คุ้ยออกมาให้หมด
มันถึงจะเข้าใจคนอื่น ไม่งั้นมันทำไม่ได้ อันนี้ต้องมาก่อน ประการที่สอง เรื่องเมตตา
สำคัญมาก ต้องทำจริงๆ แล้วก็ไม่ยาก ถ้ารู้วิธี บอกแล้วว่า ฝรั่งเขาเก่ง เราต้องยอมรับ
เปิดใจรับว่า เขาเก่งกว่าเรา เขานำความคิด ของทางพุทธ ของทางตะวันออกไปใช้ ทำจนเป็นระบบ
เป็นขั้นตอน หลากหลาย จริตคนหนึ่ง จริตทั่วไปหลายจริต ต้องยอมรับในข้อนี้ ไม่เชื่อไม่เป็นไร
ทดลองใช้
# เมื่อครูโกรธ จะสอนเด็กอย่างไร
เรื่องความโกรธ เราเคยสอนเด็กอยู่เสมอว่า ความโกรธไม่ดี ไม่ให้โกรธ แต่ทำได้ไหม?
ถ้าตัวครูเอง ยังทำไม่ได้เลย ฉะนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือ ให้ยอมรับความจริง แล้วชี้ให้เห็นว่า
ความโกรธเป็นอย่างไร เด็กจะได้เห็นตัวอย่าง วันนี้ครูโกรธนะ ครูหงุดหงิดนะ เพราะฉะนั้น ขอให้นั่งนิ่งๆ
เดี๋ยวครู จะโมโหเอา คือให้ยอมรับความจริงว่า สิ่งนี้มันเกิดขึ้นได้ แต่ให้เด็กเห็นว่า เมื่อโกรธแล้ว เรามีวิธีบังคับตัวเองอย่างไร
เช่น ครูจะเงียบ ไม่พูดอะไร เพราะกำลังโกรธ เดี๋ยวครูใจเย็นๆ แล้วค่อยคุยกันใหม่
ก็ทำให้เด็กดู เป็นแบบอย่างว่า เวลาโกรธต้องไม่ร้อง ไม่พรวดพราด ไม่ดิ้นตึงตัง ครูต้องหาโอกาสคลุกคลี
เล่นกับเด็กบ้าง และเมื่อไร ควรหัดให้เขา มีสัมมาคารวะ การคลุกคลีกับเด็ก มันจะมีจังหวะของมัน
เราจึงสามารถ คลุกคลีกับเด็กได้ โดยไม่ให้เขาก้ำเกินเรา
ครูที่เก่งต้องด่าเก่ง มีศิลปะในการด่า คำพูดที่ใช ้เป็นศิลปะ ด่าด้วยสติ ต้องกรองคิดก่อน แล้วค่อยพูด ต้องรู้จักเทคนิค นำมาใช้ ทุกคน มีขอบเขตจำกัด จะใช้วิธีของคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้
# ปลายทางชีวิต
เป็นมาแล้ว ทั้งนักเขียน นักแปล นักพัฒนา หมด ทั้งชาวบ้าน นักศึกษา ครู เด็ก ครบ
ตอนหลัง มาถึงทางแยก ซึ่งเห็นว่า ทำหลายอย่างไม่ดี ถามตัวเองว่า อะไรสำคัญที่สุด
ก็ตอบได้ว่า ครูกับนักเขียน ก็เลยเลิกอย่างอื่น ใกล้จะจบเรื่องครู เหลือเขียนหนังสืออย่างเดียว
แล้วก็ปฏิบัติธรรม
- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๙ มิถุนายน ๒๕๔๘ -