๏ ต่างจิตต่างชอบต่างกัน
แบ่งปันให้กันก็ได้
ใช่อื่นใช่ไกลใช่ใคร
ร่วมใจร่วมบ้านเดียวกัน
เมื่อย่างเข้าสู่วัยชรา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระประสงค์ผู้อุปัฏฐาก(ผู้คอยดูแลรับใช้)ประจำตัว มิใช่เปลี่ยนหน้าไปเรื่อย ดังที่ผ่านมา ภิกษุทั้งหลาย จึงกล่าวกับภิกษุอานนท์ ว่า
"ท่านอานนท์ ท่านจงวิงวอนขอเป็นผู้อุปัฏฐากประจำของพระศาสดาเถิด"
อานนทภิกขุจึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอพร ๘ ประการ เอาไว้ปลดเปลื้องคำติเตียนที่จะตามมา ถ้าทรงประทานให้ ข้าพระองค์ จะเป็นอุปัฏฐาก ประจำตัวของพระผู้มีพระภาคเจ้าทันที คือ
๑. จีวรอันประณีตที่พระองค์ได้มา จะต้องไม่ให้แก่ข้าพระองค์
๒. บิณฑบาตอันประณีตที่พระองค์ได้มา จะต้องไม่ให้แก่ข้าพระองค์
๓. จะต้องไม่ให้ข้าพระองค์พักอยู่ในพระคันธกุฎี(ที่พักของพระพุทธเจ้า)เดียวกันกับพระองค์
๔. จะต้องไม่พาข้าพระองค์ไปยังที่ที่นิมนต์
๕. พระองค์จะต้องเสด็จไป ยังที่นิมนต์ซึ่งข้าพระองค์รับแล้ว
๖. ถ้ามีผู้มาจากที่ไกลเพื่อเข้าเฝ้า ขอให้ได้เข้าเฝ้าในทันที
๗. เมื่อเกิดความสงสัยขึ้น ขอข้าพระองค์ได้เข้าเฝ้าในทันที
๘. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมใดในที่ลับหลังข้าพระองค์ เมื่อกลับมาแล้ว ขอทรงแสดงธรรมนั้นแก่ข้าพระองค์ซ้ำอีก"
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ประทานพรเหล่านั้น ตั้งแต่นั้นมา...ภิกษุอานนท์ก็ได้เป็นผู้อุปัฏฐากประจำของพระศาสดา
(นับเวลา
ยาวนาน ถึง ๒๕ ปี) บรรดาภิกษุต่างก็พากันสนทนาถึงเรื่องนี้
"ดูเอาเถิด ท่านอานนท์ขอพร ๘ ประการ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ประทานพรทั้งหมดนั้นให้อย่างอิ่มหนำแก่ท่านอานนท์"
พระศาสดาเสด็จมา ได้ทรงสดับแล้ว ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนเราก็ให้อานนท์อิ่มหนำด้วยพรมาแล้วเหมือนกัน"
จึงตรัสแสดงถึงชาดกนั้น
- - - - - - - - - - - -
ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตครองราชย์ในนครพาราณสี จนกระทั่งสวรรคต พระโอรสที่ประสูติกับพระอัครมเหสีซึ่งเจริญวัยแล้ว จึงได้ครองราชย์แทน
มีอยู่วันหนึ่ง พระราชาพระองค์ใหม่ทรงปรารถนาจะรู้เห็นชีวิตจริงๆ ของชาวเมือง จึงทรงปลอมพระองค์เป็นชาวบ้าน เสด็จพระองค์เดียว เที่ยวตรวจตราพระนครในตอนกลางคืน
มาถึงที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นได้พบพวกโจรซึ่งกระทำโจรกรรม แล้วพากันดื่มสุราเมามายเดินสวนทางมา พวกโจรฉวยโอกาส ตีชิงแย่งข้าวของ เงินทอง ของพระราชา แล้วบังคับให้ถือไหสุราเดินตามไป
คืนนั้นเอง พราหมณ์ที่เคยเป็นปุโรหิต(ที่ปรึกษาของพระราชา) ของพระเจ้าพรหมทัต ซึ่งถูกถอดออกจากตำแหน่ง เมื่อสิ้นสมัย ของพระราชา องค์เก่า เขากลายเป็นคนเข็ญใจ อาศัยอยู่ในเรือนคนชราแห่งหนึ่ง ขณะนั้น...เขาออกไปยืนริมทางเดิน ตรวจดูดาวนักษัตร (ดาวฤกษ์) บนท้องฟ้า ก็รู้ได้ว่าพระราชา ตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู เขาจึงตะโกนเรียกนางพราหมณีผู้เป็นภรรยา แล้วบอกว่า
"แย่แล้ว! แย่แล้ว! พระราชาของพวกเรามีอันตราย กำลังตกอยู่ในอำนาจของศัตรู"
นางพราหมณีฟังแล้วก็ส่ายหน้า
"ก็ธุระอะไรของท่านเล่า นี่มันเรื่องของพวกพราหมณ์ปุโรหิตผู้มียศในราชสำนักจะรู้เอง"
พอดีกับพระราชาเพิ่งเดินผ่านที่ตรงนั้น จึงได้สดับคำพูดของพราหมณ์ ครั้นเดินไปได้อีกหน่อย พระราชาก็ตรัสขอร้องพวกโจรว่า
"นายจ๋า ขณะนี้ฉันเป็นคนยากจน ข้าวของเงินทอง ท่านก็เอาไปหมดแล้ว กรุณาปล่อยฉันไปเถิด"
โจรได้ยินอย่างนั้นก็เลยยอมปล่อยตัวพระราชา พระองค์ทรงเดินกลับทางเดิม จดจำบ้านของพราหมณ์นั้นไว้ แต่ขณะที่ผ่าน หน้าบ้าน ก็ได้ยินพราหมณ์ พูดกับภรรยาอีกว่า
"ดีล่ะ ! ดีล่ะ ! พระราชาของพวกเรารอดพ้นจากเงื้อมมือของศัตรูแล้ว"
พระราชาทรงสดับถ้อยคำ ทำให้รู้สึกศรัทธาในพราหมณ์นั้น แล้วก็เสด็จกลับคืนสู่พระราชวัง
ครั้นรุ่งขึ้นวันใหม่ พระราชาตรัสเรียกพราหมณ์ปุโรหิตทั้งหลายในสำนักมาทั้งหมด แล้วทรงสอบถามว่า
"ท่านอาจารย์ทั้งหลาย เมื่อคืนนี้พวกท่านได้ตรวจดูดาวนักษัตรบ้างหรือไม่"
"ตรวจดูแล้ว พระเจ้าข้า ดาวส่องสว่างงามดีแท้"
"ไม่มีเหตุอาเพศอะไรเลยหรือ"
"ไม่มี พระเจ้าข้า"
ได้ฟังคำตอบเช่นนั้น พระราชาจึงรับสั่งให้ไปตามตัวพราหมณ์ปุโรหิตคนเก่ามา โดยบอกสถานที่ให้ทหารรู้ เมื่อทหารนำตัว พราหมณ์นั้น มาเข้าเฝ้า พระราชาตรัสถามว่า
"ท่านอาจารย์ เมื่อคืนนี้ท่านตรวจดูดาวนักษัตรหรือไม่ เป็นเช่นไรบ้าง"
"ข้าแต่มหาราช ได้ตรวจดูแล้ว พบว่าพระองค์ทรงตกอยู่ในอำนาจของศัตรู แต่เพียงครู่เดียวก็หลุดพ้นได้ พระเจ้าข้า"
พระราชาทรงพอพระทัยยิ่งนักตรัสว่า
"นี่สิ! ธรรมดาของผู้รู้จักดวงดาวนักษัตร จะต้องเห็นได้ถึงปานนี้"
ดังนั้นทรงปลดพวกพราหมณ์ปุโรหิตเหล่านั้นทั้งหมด แล้วทรงยกย่องพราหมณ์ปุโรหิตคนเก่าว่า
"ท่านอาจารย์ เราเลื่อมใสท่านเป็นอย่างยิ่ง เราจะให้พรแก่ท่าน ท่านปรารถนาสิ่งใดจงบอกแก่เราเถิด"
"ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์ยังคิดไม่ออก ขอกลับไปปรึกษาภรรยาและบุตรก่อน พระเจ้าข้า"
"ก็ได้ ท่านอาจารย์กลับไปก่อนเถอะ ปรึกษากันแล้วค่อยมา"
พราหมณ์นั้นจึงกลับไปบ้าน บอกเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง แล้วปรึกษากับคนทั้งหลายในบ้าน แต่ตกลงกันไม่ได้ ไม่รู้จะขอพรใดดี พราหมณ์จึงไปเข้าเฝ้า พระราชาอีกครั้ง กราบทูลว่า
"ข้าแต่มหาราช พวกข้าพระองค์ทั้งหลายแม้อยู่บ้านหลังเดียวกัน แต่มีความชอบแตกต่างกัน ข้าพระองค์อยากได้ บ้านส่วย นางพราหมณี อยากได้โคนม ๑๐๐ ตัว ลูกชายอยากได้รถเทียมม้าอาชาไนย ลูกสะใภ้อยากได้ตุ้มหูแก้วมณี ส่วนนางปุณณทาสี (ทาสรับใช้) ก็อยากได้ครก สาก และกระด้ง พระเจ้าข้า"
พระราชาทรงพระสรวล เพราะเข้าใจในความชอบที่แตกต่างกันไป จึงทรงประทานพรให้ว่า
"เราให้พรแก่ท่านอาจารย์ ท่านจงได้บ้านส่วย นางพราหมณีจงได้โคนม ๑๐๐ ตัว ลูกชายของท่าน จงได้รถเทียมด้วยม้า อาชาไนย ลูกสะใภ้ของท่าน จงได้ต่างหูแก้วมณี และนางทาสีของท่าน จงได้ครก สากตำข้าวและกระด้ง"
พระราชาประทานพรทั้งหมดให้แล้ว ก็พระราชทานยศปุโรหิตในพระราชสำนักอีก แล้วตรัสว่า
"นับแต่นี้ไป ท่านจงขวนขายในกิจที่พึงกระทำแก่เราเถิด"
- - - - - - - - - - - -
พระศาสดาทรงแสดงชาดกจบแล้ว ประกาศว่า
"พราหมณ์ปุโรหิตในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ในบัดนี้ ส่วนพระราชาได้มาเป็นเราตถาคต"
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๔๖๖, อรรถกถาแปลเล่ม ๕๘ หน้า ๓๑๐, อรรถกถาแปลเล่ม ๖๐ หน้า ๑๔)
- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๙ มิถุนายน ๒๕๔๘ -