นานาสงฆ์-นานาสังวาส
ธรรมชาติสมณเพศ...เหตุไฉนถึงวิกฤติ!
- วิมุตตินันทะ -
แม้ว่างานวิสาขบูชาที่พุทธมณฑลจะผ่านไป โดยไม่มีสันติอโศกร่วมจัดงาน เนื่องจากเสียงค้าน ด้านมหาเถรสมาคม เคยสั่งห้ามพระสันติอโศก ไปร่วมคบหาด้วย และถึงสันติอโศกจะถอนตัว เพื่อตัดปัญหายุ่งยากหัวใจใคร เสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามหลัง ก็ยังมีอยู่บ้าง ดังที่มีหนังสือออกเผยแพร่ เรื่อง จัดงานวันวิสาขบูชา อย่าอยู่แค่หน้าตา ต้องไปให้ถึงเนื้อตัว โดยเจ้าเก่า ที่เคยเอาเรื่อง กรณีสันติอโศก ซึ่งตอนนั้น เป็นพระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ตอนนี้ได้เลื่อนชั้นเป็นที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ฉายาเปลี่ยนกันอยู่เรื่อย ไม่ตายตัว เหมือนจะไม่ให้ติดยึดอัตตาดี เลยจำลำบากหน่อย)
ที่เกิดปัญหากรณีวิสาขบูชาขึ้นมาอีก ก็เป็นอย่างหลายท่านออกมาเพ่งโทษว่า เมื่อดำริให้สันติอโศก มาร่วมงานด้วย เหมือนกับไม่ให้เกียรติ มหาเถรสมาคม ในฐานะเป็นองค์กรปกครองสงฆ์ของประเทศ หรือเท่ากับว่า ไปยกย่องรับรอง ให้กลุ่มสันติอโศก มีสถานะเสมอ มหาเถรสมาคม ยิ่งหลายเสียง ผู้ปักมั่นว่า ท่านโพธิรักษ์เป็นสงฆ์เถื่อน หรือไม่ใช่พระ เลยต้านหนัก ขนาดกวาดทิ้งก็มี
ด้านพระมหาประยุทธ์ ท่านไม่ถึงกับตีทิ้งสันติอโศกทีเดียว แต่ก็กลัวๆ กล้าๆ คือว่าครั้นจะสมานฉันท์ ให้มาสามัคคี จัดงานร่วมกัน มันกลายเป็น สามัคคีจัดงานแข่งกัน อันเห็นได้ชัดว่า ไม่มีใจที่จะสามัคคีกันจริง ท่านไม่เห็นด้วย ที่จะให้ร่วมแข่งกันจัดสิ่งดีๆ นี่แปลว่า ท่านมองโลกในแง่ร้ายไปฉิบ...
ลึกๆ ท่านประยุทธ์ รู้สึกว่า ขืนให้มาร่วมงานเหมือนออกร้านมหกรรมด้วยกัน มหาเถรสมาคม จะสู้ด้วยไม่ได้เลย เพราะคุณภาพ แพ้หลุดลุ่ย เนื่องจาก "พระ" คุณภาพเสียมันเหลือล้น คนมาจากไหนก็ไม่รู้พื้นเพ
"เหมือนกันแหละกับการจัดงานวิสาขบูชานี้ ถ้ามองเป็นกลุ่มเป็นพวกแล้ว มาจัดงานกัน มหาเถรสมาคมหรือคณะสงฆ์ ก็ต้องแพ้แน่นอน กลุ่มเสมือนอิสระนี้ เป็นกลุ่มจัดตั้งของคน ที่เขาเลือกสรรแล้ว ส่วนมหาเถรสมาคมแลดูใหญ่ก็จริง แต่ว่าเนื้อในไม่มีอะไร เอาแค่พอคนเจอ พระธุดงค์ อย่างว่า ที่เที่ยวให้หวย..หาลาภทำการที่ไม่สุจริต เขาก็เหมาว่านี่ไง พระธุดงค์ของมหาเถรสมาคม แค่นี้ก็จบแล้ว มันก็ไปกันไม่ได้" (จัดงานวิสาขบูชา น.๒๐)
เจ้าคุณประยุทธ์ กังวลไม่น้อยเรื่องหน้าตา "แม้แต่ถ้าทางสันติอโศกจะสามัคคีจริงก็ต้องมาในรูปแบบที่เสนอตัว ต่อคณะสงฆ์ ไม่ใช่จะมา ทำตัวคู่เคียง หรือมาร่วมจัด ก็มาเสนอตัวซิว่าข้าพเจ้าสันติอโศก มีความปรารถนาดีต่อการพระศาสนา และประเทศชาติ ขออาสา จัดงานวิสาขบูชาให้ อย่างนี้จะถูกต้องกว่า" (จัดงานวิสาขบูชา น.๒๑)
ข้อสมมติตามที่ท่านเชื้อเชิญ ฟังดูเหมือนน่าชื่นใจไม่ใช่เล่น แต่มันคงผิดกาลเทศะ สำหรับสันติอโศก ผู้เจียมตัว ไม่เคยคิดอวดโอ่ ทำงานอะไรใหญ่โต เกินปานนั้น ยิ่งเทียบกับธรรมกายแล้ว คงจะห่างไกลคนละฟากโลกกระมัง ชาวอโศกเพียงแค่รับเชิญ ไปแซมด้วย เล็กๆ หวังว่า สองมือน้อยๆ จะคอยช่วย เก็บขยะ ล้างส้วม หรือรับใช้อะไรๆ ตามประสาคนติดดิน ด้วยความยินดีเต็มที่เต็มใจ ฝันกันเท่านี้เอง เสร็จแล้ว กระแสข่าวออกไป ไม่ทันไร เกิดพวกโห่ขึ้นมา แม้แค่กลุ่มย่อยก็ตาม ชาวอโศกรีบถอยฉากทันควัน โดยไม่กลัวเสียเชิงลูกกำนัน ที่ไม่มีเหลี่ยมคูมากเรื่อง
ดังนั้น สันติอโศกไม่มีวันคิดฝันเสนอหน้าไปทำใหญ่อะไรเทียบชั้นมหาเถรสมาคม อย่างที่มหาประยุทธ์ ให้เกียรติเหลือเกิน ดังที่เห็นแค่ มีเทียบเชิญ ให้โอกาสขยับตัวรับใช้ศาสนามากขึ้นหน่อย เรายังต้องถอยกรูด แทบไม่ทัน เพราะมันต้องเห็นใจ พวกไดโนเสาร์ ไม่อยากให้เขา ต้องเดือดร้อนวุ่นวาย น่าสงสาร
กรณีวิสาขบูชา นอกจากปัญหาหน้าตามหาเถรสมาคม ซึ่งเกรงว่าถ้าปล่อยให้ใครมากระทบไหล่ตีเสมอ เช่น สันติอโศก จะกำไร ได้หน้าบาน มากไป แล้วยังมีข้อวิวาทะสำคัญ ของมหาประยุทธ์อีกอัน คือ เรื่องเนื้อตัวที่เป็นเป้าใหญ่ของท่าน
"การตั้งเมืองอิสระในประเทศนี้ โดยไม่ขึ้นต่อรัฐบาลไทยนั้น ทางรัฐไม่อาจยอมได้ แต่รัฐน่าจะพิจารณาหรือไม่ว่า ทางด้านพุทธจักร เมืองไทย กลับปล่อยปละละเลย ให้มีกลุ่มเสมือนอิสระ ที่อยู่กันมาแบบเรื่อยๆ เปื่อยๆ รัฐน่าจะคิดกันให้จริงจังไหมว่า สภาพอย่างนั้น มีผลร้าย ผลดีอย่างไร เป็นปัญหาแบบค้างคา หรือคาราคาซัง ที่แสดงถึงความไม่เรียบร้อย อ่อนแอของรัฐเอง ด้วยหรือไม่ ควรดำเนินการ แก้ไขปัญหาที่ค้างคา ให้จบสิ้นลงไปด้วยดีหรือไม่" (จัดงานวิสาขบูชา น.๒๔-๒๕)
มาถึงวันนี้ มหาเถรสมาคม ไม่มีอำนาจสิทธิ์ขาดอะไรจะมาสั่งคณะสันติอโศกได้อีก จะเล่นงานเอาผิด ทางกฎหมายสงฆ์อะไร ท่านก็เอาเรื่อง เต็มที่สุดๆ ดังที่ทำไปหมด จนจบเกมแล้วที่ศาล จะหาเรื่องฟ้องใหม่กับข้อหาเก่าซ้ำซาก ย่อมไม่เป็นไปได้แล้วกระมัง แต่ประหลาด ที่มหาประยุทธ์ ยังไม่ยอมเลิกไล่บี้สันติอโศก คงจะเกลียดตัวกินไข่ ยังไงชอบกลนัก...
ท่านชอบอ้างหัวปักหัวปำซ้ำซากแล้วๆ เล่าๆ คือ ช่างอุปมาว่า อยู่เมืองไทยใครจะไม่ยอมขึ้นกับรัฐบาลไทย หรือตั้งเมืองอิสระ มันทำไม่ได้ แน่นอน ก็เลยพาโลพาเล ถอดสูตรเดียวกันว่า มหาเถรสมาคม มีอำนาจสูงสุดปกครองสงฆ์นะ พระไทยจะลาออกจากปกครอง ของคณะสงฆ์ไทย ไม่ได้เด็ดขาด ใครขืนบอกลา ต้องสึกออกไปด้วยทันทีเลย ว่าไปนั่น
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆ ว่า คนที่เชิดชูเป็นปราชญ์เยี่ยมๆ อย่างมหาประยุทธ์ กลับตื้นเขินเอาง่ายๆ ประหนึ่งกิ้งกือร้อยขา พันขาก็พาตัวเอง ตกท่อหมดท่าได้ ภาษิตยังมี สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง!
ผู้น้อยใคร่ถือโอกาสอธิบายชัดเจนสักหน่อย มหาประยุทธ์ ท่านมีบุญแจ้งเกิดในทางธรรมแท้ๆ แต่กลับยึดถือคดีโลก เป็นตัวตั้ง ชอบถือกฎหมาย แยกส่วนโดดๆ โดยไม่รู้เท่าทันดอกว่า กฎหมายเหล่านั้น เขียนขึ้นโดยพวกไหน มีวิสัยทัศน์มิจฉา หรือ สัมมาทิฐิอย่างไร
ฉะนั้น จะไปเอานิยายอะไรกับกฎหมายหยาบๆ อันแสนจะอนิจจัง ตามกาลสมัย ผีเข้าผีออก เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้าเยอะไป กฎหมายบ้านเมือง แม้จำเป็นจำนนจำยอม ตามสภาพการณ์วิสัยขนาดไหน ใช่ว่าจะวิเศษ เหนือชั้นกว่า พระธรรมวินัย
ที่บ้านเมืองจำต้องบังคับปกครอง ต้องรวมศูนย์อำนาจ หรือไม่อนุญาตใครอยู่นอกปกครอง เป็นธรรมดาวิสัยโลกย์ๆ
ส่วนธรรมวินัยวิถีพุทธ ลักษณะปกครองสงฆ์ย่อมห่างชั้นจากที่เห็นเป็นอยู่เวลานี้ ตั้งมากมาย จนคาดไม่ถึง ได้ง่ายๆ
คงจะเคราะห์ร้ายไม่ใช่เล่นทีเดียว ถ้าใครเกิดมาลืมตาก็เห็นคณะสงฆ์ ต้องมีมหาเถรสมาคม มีเจ้าหมู่เจ้าคณะ จับตัววางตาย มียศชั้น บรรดาศักดิ์ อีกต่างหาก แล้วทึกทักเอาเองว่า แบบฉบับนี้ เป็นระบบปกครองสงฆ์ ตรงธรรมตรงวินัย ดั่งครั้งโบราณพุทธกาลนานโพ้น โดยไม่มีผิดเพี้ยน ในหลักการ ตัวอย่าง พ.ร.บ. สงฆ์ ๒๕๐๕ ที่ออกมาสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยล้มล้างพ.ร.บ.สงฆ์ ๒๔๘๔ ทิ้งเสีย ซึ่งฉบับเก่านั้น เป็นประชาธิปไตยมากกว่า ในขณะที่ฉบับใหม่ ถอยหลังเข้าคลอง เผด็จการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ มหาเถรสมาคม เบ็ดเสร็จคณะเดียว
ในทัศนะของจอมเผด็จการ ท่านย่อมจริงใจ เจตนาให้คณะสงฆ์ได้มาซึ่งระบบปกครองที่ใกล้เคียงกับสมัยพุทธกาล มากที่สุด เท่าที่จะเป็นได้ ก็ว่ากันไปตามภูมิวิสัยทัศน์ผู้มีอำนาจ ในประวัติศาสตร์ยุคกระแสเผด็จการเชี่ยวจัด เกินแรงต้านขณะนั้น
ทุกวันนี้ ประชาธิปไตยเบ่งบานเป็นร้อยเท่า พอจะพูดเต็มปากหน่อยว่า ภูมิปัญญาเผด็จการสฤษดิ์นั้น ช่างล้าหลังเต็มที เหมือนกบ ใต้กะลาครอบ ทั้งยังชื่นชอบกันหลายท่าน ถึงวันนี้ไม่มีหัวคิดก้าวไกลสู่สากลยุคสมัยไร้พรมแดน ฟ้าบ่กั้น กล่าวคือ หากไม่มืดบอด เกินไป ใครๆ ย่อมรู้ว่า หลังพระตถาคตเจ้า ทรงดับขันธ์ไปแล้ว ไม่มีใครสืบทอดอำนาจเป็นศาสดา พระธรรมวินัย อันพระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว จักเป็นศาสดา ของพุทธบริษัทสืบไป...
ชาวพุทธไทยทั่วไปส่วนใหญ่ คงนึกภาพไม่ออกดอกว่า คณะสงฆ์ปกครองตนเองตามพระธรรมวินัยได้อย่างไร โดยไม่ต้อง มีใครเป็นหัวหมู่ เจ้าใหญ่ผู้เดียว มีแต่สงฆ์ทั้งคณะรวมกันบริหารหมู่กลุ่ม ตามกาลเทศะ เป็นขบวนการกระจายอำนาจลึกซึ้งไร้ใดปาน ไม่มีใครเหมือน
เรื่องสัมปทานผูกขาดรวมศูนย์อำนาจ ตั้งองค์กรปกครองสงฆ์สูงสุดจึงไม่มีในระบบธรรมวินัยวิถีพุทธขนานแท้และดั้งเดิม ทว่าเพิ่มเติม เสริมต่อตาม อย่างคดีโลก ในชั้นหลังๆ ยิ่งพิธีประเพณียิ่งอนิจจัง ทั้งพราหมณ์เทวนิยมลัทธิงมงาย มากหลาย เข้ามาปนเป พาศาสนาเข้ารกเข้าพง จนเป็นงงไปหมดว่า พุทธบริสุทธิ์แท้ๆ เป็นอย่างไรกันแน่....
ดังนั้น ผู้มากภูมิรู้อย่างมหาประยุทธ์หรือใครๆ แทนที่จะหลงวุ่นวาย หวังใช้อำนาจกฎหมายโดยลำพัง ตั้งหน้ากระทุ้ง ให้อำนาจรัฐ เข้ามาจัดการ ปัญหาปกครองสงฆ์ เช่นกลุ่มอิสระสันติอโศก
ในทางกลับกัน ลองหันมายึดถือธรรมวินัยเป็นตัวตั้ง เป็นสรณะสำคัญ สมกับผู้ชูธง ไม่ยอมให้ใครทำธรรมวินัย ให้วิปริต ทั้งไม่อยากเห็นใคร ทำวิปริตจากธรรมวินัย แน่นอน จริงไม่กลัว กลัวไม่จริง เท่านั้นแหละ พระคุณท่าน
เนื้อตัวอะไรตรงไหนวิกฤต?
การหันมายืนหยัดพระธรรมวินัย ถือเป็นสรณะอกาลิโก ให้เป็นหลักการสำคัญ นำหน้ากฎหมายคน เมื่อวิถีธรรม นำวิถีโลกย์บ้าง เราจะเห็น ทางสว่างแจ้ง เพื่อเกาให้ถูกที่คัน อีกเยอะเลย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่...
ดูกรณีเนื้อตัวเถรสมาคม ซึ่งเสียภาพพจน์หมดศรัทธา เพราะพวกบวชกันมั่ว หาลาภสักการะ แล้วจะหลงตามล้างตามเช็ด ยังไงไหว เมื่อรู้ต้นเหตุ คนบวชไร้คุณภาพ ไฉนไม่ยอมรู้จักคัดกรองคน ให้เข้ามาตรฐานหน่อย ปล่อยให้บวชเลอะเทอะ ทำไมง่ายๆ เมื่อไหร่จะคุม อุปัชฌาย์ พวกไข่ทิ้งขว้างให้ได้ก่อน ถ้าคอยถอดถอนตราตั้ง ตัดตอนให้ต่ออายุอุปัชฌาย์รับอนุญาตบ้าง น่าจะดีไหม... นี่เหมือนแนะ ให้ท่านกวาดบ้านตัวเอง อันเหลือกำลังวังชาอยู่แล้วนะ
ประเด็นเนื้อตัวสันติอโศก เจ้าคุณประยุทธ์ช่างฝังใจให้จัดการแล้วๆ เล่าๆ ซ้ำซาก ดูท่านปักมั่น คอขาดบาดตาย จนต้องหาทาง ฟาดฟัน เหมือนกัดไม่ปล่อย ปานนั้น ที่แสลงใจท่านนักคือ สันติอโศกเท่ากับเป็นคณะอิสระ ลอยตัวอยู่นอกเขตเทศบาล เถรสมาคม ท่านรังเกียจ กลุ่มอิสระของพุทธ ไม่ยอมให้แจ้งเกิดลอยนวล ไม่ยอมปล่อยให้อิสระเป็นไท จึงเรียกขานว่า กลุ่มเสมือนอิสระ อันถือว่า ท้าทายอำนาจ องค์กรสงฆ์สูงสุด ทั้งสะท้อนจุดอ่อนแอ อำนาจรัฐด้วยหรือไม่... โวหารท่านช่างจี้จุดนิ่มๆ ฟังดูนุ่มๆ กำกวม ลึกๆ เสร็จแล้ว เอาเป็นเอาตายขนาดไหน ใครรู้บ้าง...
จุดยืน ท่านปยุตฺโต เหมือนไม่เคยเปลี่ยน เพื่อตัดสินสันติอโศกด้วยแง่กฎหมายด้วนๆ เท่านั้นเอง ชะรอยท่านสันทัดกฎบัตร กฎหมาย ยิ่งกว่า ธรรมวินัยอาชีพพระ ยังงั้นหรือ..
สันติอโศกใช่พระหลังเขา จนไม่รู้เท่าทันสังคม เราอ่านกฎหมายออก เคร่งครัดวินัยพลเมืองดีด้วยเหมือนกัน เมื่อกฎหมายให้โทษ เราก็น้อมรับโทษานุโทษ เยี่ยงสาธุชน
พ่อท่านโพธิรักษ์ ยังต้องออกปากร้องทุกข์ว่า พระคุณเจ้าไม่ยอมพูด ภาษาธรรมวินัยด้วย มันช่างพิลึกกึกกือ อะไรปานนั้น!
เพียงทุกฝ่ายหันมาตั้งหลักปักมั่นธรรมวินัยให้สำคัญก่อนอื่น เพื่อเป็นกรอบตัวตั้งพิสูจน์ผิดถูก ดำขาวไปเลย ต่างคนจะได้รู้แจ่มแจ้ง ตามพระไตรปิฎก เล่มเดียวกัน นั่นแหละ ใครจะเบี้ยวบาลี หรือทำธรรมวินัยวิปริต ผิดอกาลิโกเดี๋ยวก็รู้ ไม่ต้องกล่าวหาซ้ำซาก ไม่เสร็จสักที
พอจะกล่าวหากันทีไร เป็นต้องอ้างกฎหมาย อันตัวเองมีอำนาจเชิงได้เปรียบ โดยไม่ยอมรู้เท่าทัน ว่าไปเหยียบย่ำทำลาย หลักธรรมวินัย ให้ไร้ผล จนหมดความหมายสิ้นดี
ลำพังความชอบธรรมตามตัวบทกฎหมายเปล่าๆ ที่เชื่อถือเอา มันจะใช้งานแก้ปัญหาสมเจตนารมณ์ได้อย่างไร หากเกิดขัดแย้ง กับหลักการธรรมวินัย..!
พ.ร.บ. สงฆ์ ๒๕๐๕ ม.๑๘ ยังเข้าใจกำชับให้เถรสมาคมใช้อำนาจบังคับ โดยไม่ขัดแย้งกับกฎหมาย และ พระธรรมวินัย ท่านทั้งหลาย รู้จักสำคัญ ในความสำคัญของพระธรรมวินัยเพียงใด ดีไม่ดีก็อาจใช้อำนาจผิดข้อห้าม ตามกฎหมายตัวเอง อันนี้หรือเปล่าหนอ...
โดยเฉพาะชอบอ้างกลับหัวกลับหาง คนรู้ไม่เท่าทัน ย่อมหลงเชื่อผิดๆ ไป เวรกรรม....
"อย่างในเมืองไทยก็มีกฎหมายบอกว่านิกายไหนเป็นที่ยอมรับโดยรัฐ อย่างเช่นแม้แต่ที่มีนิกายจีน นิกายญวน ก็มีกฎหมาย ดูเหมือนจะในระดับ กฎกระทรวง ยอมรับ ไม่ใช่จะอ้างรัฐธรรมนูญ แล้วบอกว่า เป็นนิกายหนึ่งๆ ไม่ได้ ถ้าขืนอย่างนั้น จะยุ่งหมด" (จัดงานวิสาขบูชา น.๕)
กรณีเมื่อเกิดอ้างเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในการถือปฏิบัติตามลัทธินิยม ที่ตนศรัทธา มักถูกศอกกลับว่า ต้องดูกฎหมายลูก ที่รับช่วงต่อ หลักการ ฟังดูไม่ผิด แต่สำคัญที่ว่า จะยึดถือกฎหมายแม่บท หรือกฎหมายลูกกันแน่ ในเมื่อปัญหามันเกิดเพราะ กฎหมายลูก ไปขัดกฎหมายแม่ อะไรขึ้นมา แล้วจะไม่ยอมให้ความชอบธรรม แก่ผู้ถือสิทธิตามรัฐธรรมนูญได้อย่างไร ไฉนจึงคิดตื้นๆ ว่ากฎหมายลูก จะต้องถูกหมด อะไรจะขนาดนั้น...
ใน พ.ร.บ.สงฆ์ ๒๕๐๕ ม.๔๖ "การปกครองคณะสงฆ์อื่น นอกจากคณะสงฆ์ไทยให้เป็นไปตามกฎกระทรวง" เห็นชัดไหมว่า ขนาดกฎหมาย เผด็จการ ที่ให้ผูกขาดอำนาจปกครองสงฆ์ ท่านยังเปิดช่อง ให้รับรองคณะนานาสงฆ์ หรือ นานาสังวาสได้เลย เสร็จแล้ว อนิจจาอนิจจัง หลังเกิดคดีสันติอโศก พ.ร.บ.สงฆ์ ๒๕๓๕ แก้ไขใหม่ ตัดตอนคณะสงฆ์อื่น ให้มีเพียงคณะสงฆ์จีน กับญวนเท่านั้นเอง
นี่แปลว่าท่านจงใจ ไม่ยอมให้รับรองคณะสงฆ์นานาสังวาสอื่นใดๆ อีก ทั้งที่มีอยู่ก่อนแล้ว หรือจะเกิดขึ้นใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ คงช่วยไม่ได้ ที่คณะสันติอโศก เป็นนานาสังวาส ตามธรรมวินัย ทั้งได้คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญโดยสมบูรณ์ จึงมีฐานะอิสระ เป็นอยู่เอกเทศ เพื่อปกครองตนเอง โดยชอบธรรม
นั่นคือ ข้อกล่าวหาที่มักใส่ร้ายว่าเป็นสงฆ์เถื่อนไม่ถูกกฎหมายอะไรๆ น่าจะไร้ความหมาย และหมดสมัยเสียที
สรุปประเด็นสำหรับสันติอโศก จะสังเกตได้ว่า พ่อท่านโพธิรักษ์พยายามบุกเบิกศาสนาพุทธมิติใหม่ ในแนวบุญนิยม ตามวิสัยทัศน์ ซึ่งท่านประจักษ์แจ้ง ภารกิจสำคัญอันยิ่งใหญ่ของโพธิสัตว์เช่นท่าน คืองานสร้างคน จนกระทั่ง เกิดรวมตัว เป็นหมู่กลุ่ม ชุมชนพึ่งตนเอง พร้อมเสียสละ เพื่อสังคม
ตลอด ๓๕ ปีที่ผ่านมา ขบวนการกลุ่มสันติอโศกเพิ่งมีสมณะเพียง ๑๐๒ รูป เฉลี่ยแค่ปีละ ๓ รูปเท่านั้นเอง ระบบคัดกรองคุณภาพ ไม่ขาดบูรณาการ ในมาตรฐานเข้มข้น คงพอเป็นประกันให้มั่นใจได้บ้างว่า เราไม่ได้หลงสร้างบริวาร ขยายปริมาณ อยากใหญ่อะไร ดังที่กลัวเกรง จนวิตกเกินเหตุว่าสังคมจะเสี่ยงภัยต่างๆ จากกลุ่มอิสระชาวพุทธ เช่นสันติอโศก ผู้ลดละ ขยัน สร้างสรร สร้างมิตร ชีวิตประเสริฐ
อนึ่ง พอจะกล่าวได้ว่า ขบวนการกลุ่มก่อเกิดก้าวหน้ายิ่งขึ้น นับตั้งแต่ประกาศนานาสังวาส ทำให้สามารถเป็นตัวของตัวเอง และทุ่มโถม ได้เต็มกำลัง ทั้งเกิดผลชัดเจน
สำหรับกรณีวิสาขบูชา ที่เกิดวิวาทะปัญหาเถรสมาคม ไม่ยอมคบค้าสมาคมกับสันติอโศก ในขณะที่สันติอโศกเอง อหิงสา อโหสิ เรื่องถูกฟ้อง แพ้คดีความทางศาล เมื่อจบคดีแล้วก็หมดเรื่อง แต่ฐานะนานาสังวาส สามารถคบหาร่วมงานทั่วๆ ไปได้ดีอยู่
ปัญหาขัดข้องหมองใจ จึงค้างคาภายในที่เถรสมาคมฝ่ายเดียวเท่านั้นแหละ โดยต้นเหตุมาจากการ ปกาสนียกรรม และ บัพพาชนียกรรม โดยฝ่ายเถรสมาคม ผลพวงต่อเนื่องครั้งนั้น คือข้อห้ามสงฆ์คบหาสมาคมกับสันติอโศก ยังใช้บังคับอยู่ เพราะไม่ได้ยกเลิก หรือ แก้ไขไม่ได้แล้ว ประมาณนั้น
อุปสรรคที่ห้ามกั้นฝ่ายเถรสมาคมเอง คิดหรือว่าสร้างสรร แน่นอนในจุดยืนที่ยึดถือเพียงลำพัง อำนาจกฎหมายสงฆ์ เปล่าๆ ไม่เอาธรรมวินัย นำหน้า ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้
แต่ในฐานะที่เถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองคณะสงฆ์กระแสหลัก เป็นไปได้อย่างไรที่จะมองข้าม หลักพระธรรมวินัย สำคัญ เช่น นานาสังวาส.. ใครจะอยากเชื่อปานนั้น... หรือท่านอยากให้เชื่อเช่นนั้นจริงๆ...!
อย่างไรเสีย เถรสมาคมจำเป็นต้องเคารพธรรมวินัย ไม่อาจทำธรรมวินัยในวิปริต ด้วยมโนธรรมสำนึกซื่อตรง ท่านทั้งหลาย จึงไม่น่า หลอกตัวเองได้สำเร็จ เพราะปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า สมณะโพธิรักษ์พร้อมคณะ ประกาศนานาสังวาส เมื่อ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ ความเป็นนานาสังวาส ของคณะสงฆ์ สันติอโศก ตั้งแต่ ๓๐ ปีก่อนนั้น เมื่อชอบธรรม ตรงพระธรรมวินัยบัญญัติ เรียบร้อยทุกประการ หลักฐานโต้งๆ ชัดๆ ข้อเท็จจริงง่ายๆ ไม่ต้องอธิบาย ภาษาอะไร ยากลำบาก มันก็ประหลาด ทำไมถึงพูดกันไม่รู้เรื่องได้ยังไง แล้วไม่รู้ จะเบี้ยวบาลี กันไปถึงไหนหนอ คนไม่มีเปรียญ ยังเข้าใจเรื่องได้ไม่ยากเย็น แสนเข็ญอะไรเลย
เพราะเหตุยุ่งเหยิงไม่จบประมาณนี้แหละ ทำให้ต้องเกิดนานาสังวาส ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำ ไม่ต้องมาก้าวก่าย ล้ำเส้น ข่มเหงอะไรกันอีก เฉพาะยิ่งเป็นพระเป็นเจ้า สั่งสอนผู้คน ทั้งวุฒิภาวะ มากล้นทั้งนั้น
นั่นคือพระปัญญาธิคุณในหลักวินัยนานา-สังวาส ช่างวิเศษสุดยอดแท้ๆ ช่วยคุ้มครองคนเล็กคนน้อย ไม่ให้เดือดร้อน จากพวกมาก ลากไป หมู่ใหญ่ ก็ไม่จำเป็นต้องขับไล่ ไสส่งคนดี มีทิฐิไม่ลงรอยกันบ้าง สามัคคีสงฆ์ จึงคงเอกภาพกับความหลากหลาย แตกต่าง ใช่แตกแยก
จึงแปลกพิลึกเหลือเกิน ที่แนวคิดอย่างท่านปยุตฺโตเป็นต้น ไยหลงมุ่งมาด จะต้องรวมศูนย์อำนาจ ผูกขาดองค์กรปกครองสงฆ์ หนึ่งเดียว ตามคดีโลก สังฆาธิปไตยวิถีพุทธ ไม่มีลัทธิเผด็จการหมู่ แบบนั้นแน่
ข้อเขียนผู้น้อยนี้ จำเป็นต้องออกมากล่าวแก้บ้าง เชิงทำนองตอบข้อกล่าวหาล่าสุดจากหนังสือ "จัดงานวิสาขบูชา" ของท่านเจ้าคุณ ปยุตฺโต ผู้ชอบเล่นไม่เลิก
รู้สึกว่า สันติอโศก ที่ผ่านมา เป็นฝ่ายตั้งรับ ถูกกล่าวหากล่าวตู่ใส่ความให้ร้าย ทั้งๆ ที่ขอลี้ภัยเข้าเขตคุ้มครองนานาสังวาส แล้วก็ตาม ฉะนั้น ใครต่อใคร ที่ชอบกล่าวหาสงฆ์ ผู้เป็นนานาสังวาส ไม่ทราบว่า ท่านต้องอาบัติตามพระวินัย ไปคนละเท่าไหร่... โทษฐานละเมิดกฎ นานาสังวาส ได้แก่
๑.ทำปกาสนียกรรม โดยคณะการกสงฆ์ กล่าวหาประจานคณะสันติอโศก ผู้เป็นสงฆ์นานาสังวาส ไปทั่วประเทศ ไม่ให้พระไปร่วมคบค้า สมาคมด้วยเลย!
๒.ทำบัพพาชนียกรรม คือขับไล่พระโพธิรักษ์และคณะ ออกจากหมู่สงฆ์ หลังคณะพระโพธิรักษ์ได้ประกาศ นานาสังวาส พร้อมประกาศ ลาออกจากคณะสงฆ์ไทย ไปก่อนตั้ง ๑๔ ปีแล้ว จะมีอะไร ตลกกว่านี้อีกเอ่ย...
๓.ทำอธิกรณ์เป็นคดีความฟ้องศาล โทษฐานเช่น ขัดคำสั่งบังคับให้สึก แล้วไม่ยอมสึก ผิดกฎหมาย มหาเถรสมาคม!
พฤติกรรมสำคัญร้ายแรงดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ หากเราเป็นหัวหมอ ตามอย่างใคร ขึ้นมาบ้าง ดูน่า ฟ้องกลับเสียที ดีไหม คิดเอาเล่นๆ จะฟ้องศาลปกครอง หรือศาลอื่นไหนดี สมมติคิดทำจริงๆ คงจะมีทางเป็นไปได้กระมัง
แต่ยังไงก็คงไม่หาเรื่องเอิกเกริกยุ่งยากขนาดนั้น จะพึ่งศาลไหนตัดสิน ผู้พิพากษาคงหัวหมุนลำบากใจแน่ สู้เอาศาลทางธรรมดีกว่าคือ กรณีคดี นานาสังวาส ให้พุทธบริษัทไปฟังความทั้งสองฝ่าย ใครจะผิดจะถูกมากน้อย ปล่อยให้สิทธิมนุษยชน ตามอัธยาศัย เชิญตัดสิน เอาเองได้เลย...ท่านทั้งหลาย
อย่างไรก็ดี สันติอโศก ไม่เดือดร้อนถึงกับจะต้องไปรบกวนบ้านเมืองเพื่อใช้อำนาจกฎหมาย ทางโรงศาล ลงโทษใครๆ เหมือนกับตัวเอง โดนกระทำมาแล้วนั้น ทั้งไม่ยอมละเมิด กฎนานาสังวาส แข่งกับใครด้วย
วิสัยสมณะผู้สงบสำรวม ตามคติ จริงใจ - ไมตรี-ไม่มีศัตรู สันติอโศกจึงอหิงสา อโหสิ แม้กับคู่กรณีเถรสมาคม ก็เป็นอดีตผ่านพ้น จบเรื่องไปนานแล้ว เหลือแต่ผู้ใด ยังค้างคาใจอะไรอีก คงต้องให้โอกาสตัวเอง ศึกษากันไป คอยรักษาสุขภาพให้ดีๆ จะได้แจ้ง ประจักษ์ใจจริงว่า ไผเป็นไผ ตื้นลึกหนาบาง อย่างใด...
ในส่วนสมณะโพธิรักษ์ เคยประกาศจุดยืนว่า ท่านไม่ถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว และไม่ยอมลงใต้ดิน แม้ครึ่งเมล็ดงา..!
ด้วยความศรัทธายืนหยัดสัจธรรม ธมฺโมหเว รกฺขติ ธมฺจารึ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๙ มิถุนายน ๒๕๔๘ -