- ฟอด เทพสุรินทร์ - ทำดีได้ ไม่ต้องเดี๋ยว ฉันจำได้เมื่อวัยเด็กในโรงเรียนแห่งนี้ต้นกระท้อนข้างอาคารเรียนพึ่งโตเท่าเสาบ้านเท่านั้น แต่วันนี้ มันโตจนฉันโอบไม่รอบ นึกถึง การละเล่นสมัยนั้น ยามพักกลางวัน ฉันและเพื่อนๆ ทั้งชายและหญิง จะพากันมาวิ่งเล่นนั่งเล่นที่ลานดินโล่งกว้างใต้ต้นกระท้อน แต่วันนี้ รอบๆ ต้นกระท้อน มีชิงช้าขาเหล็ก ตั้งอยู่หลายชุด บันไดโค้งหลายตัว มีถังสองร้อยลิตรเรียงต่อกันเป็นถ้ำให้เด็กลอด และมีม้าหมุน หลายชุด สมัยนี้เด็กๆ จะแยกย้ายกันเล่นตามใจชอบ ต่างกับสมัยก่อนที่ไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย จึงรวมกลุ่ม กันเล่น ตามประสา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ย้อนนึกถึงการแต่งเนื้อแต่งตัวของเด็กๆ สมัยก่อน ชุดนักเรียนถึงแม้จะเก่าจะปะชุนอย่างไร ก็สวมใส่ ไปโรงเรียนได้ไม่รู้สึกเก้อเขิน ต่างกับสมัยนี้ ที่ต้องเปลี่ยนชุดใหม่ทุกปี ทั้งที่ชุดเก่าก็ยังไม่ขาด เสียงระฆังดังกังวานบอกเวลา นักเรียนและครูต่างมารวมกันที่สนามหน้าเสาธง ฉันเดินไปไหว้ กล่าวสวัสดี ครูทุกคน ที่กำลังจะพานักเรียน เคารพธงชาติ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ฉันถือหนังสือจากมหาวิทยาลัยมาส่งให้โรงเรียนไว้ก่อนแล้ว เรื่องส่งตัวนักศึกษา มาฝึกสอน นักเรียน วันนี้แหละ ฉันจะได้สอนจริง ตามหลักวิชาครูที่ได้ร่ำเรียนมา รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยเลย อาจารย์ใหญ่ให้ฉันมาดูแนวการสอนของอาจารย์สุภัค ประจำชั้น ป. ๔ ฉันตั้งใจดูท่วงทีลีลาของอาจารย์ และสังเกตพฤติกรรม ของนักเรียนทุกคน ในห้อง ซึ่งอาจจัดนักเรียนออกได้ ๓ กลุ่ม กลุ่มแรก ตั้งใจ สนใจเรียนรู้ กลุ่มสอง สนใจปานกลาง และกลุ่มสุดท้าย ไม่ค่อยสนใจ แอบหยอกล้อ คุยเล่นกันเสมอๆ บางคน แทบจะไม่ได้หันหน้าไปทางหน้าชั้นเลย "เด็กชายต้น จะเกเร หยอกล้อ ระรานเพื่อนทั่วห้อง เด็กชายคม จะก้มหน้าก้มตาขีดๆ เขียนๆ อะไร อยู่คนเดียว ไม่สนใจที่ครูสอน ทั้งสองคนนี้ นอกจากเรียน ไม่รู้เรื่องแล้ว ยังทำให้เพื่อนๆ เสียสมาธิ ในการเรียนด้วย" อาจารย์สุภัค เผยข้อมูลเบื้องต้นให้ฉันรู้ ยิ่งฉันได้เห็นพฤติกรรม รับรู้ข้อมูล และ มีโอกาส ได้ใกล้ชิดนักเรียนมากขึ้น ฉันยิ่งอยากจะช่วยเหลือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้หันมาสนใจ การเรียนการสอน "เราจะทำอย่างไร พูดอย่างไรจึงจะจูงใจเขาให้มาฟังเราได้" เป็นปัญหาที่ท้าทายฉัน อย่างยิ่ง ฉันจะต้องทุ่มเท สุดความสามารถ "วันนี้ อาจารย์สุภัค ลากิจ น้องนักศึกษาช่วยเข้าสอนแทนด้วยนะ" หัวหน้าสายชั้น ป.๔ บอกฉัน ที่หน้าแถว เคารพธงชาติ ฉันอ้ำอึ้ง รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ที่จะต้องบินเดี่ยว "ค่ะ...ค่ะ" ฉันละล่ำละลัก พร้อมค้อมหัวรับคำอย่างนอบน้อม แม่เคยพร่ำสอนว่า "คนฉลาดรู้ อ่อนน้อมถ่อมตน ย่อมมีมิตร มากกว่าศัตรู" ฉันเข้าห้องเรียนด้วยความรู้สึกตื่นเต้น เริ่มสอนและให้งานตามหัวข้อที่ได้รับมา เด็กชายต้น เดินหยอกล้อ เพื่อนๆ วุ่นวาย ไปทั้งห้อง "ขอให้นักเรียน นั่งประจำที่และตั้งใจเรียนทุกคน ถ้าใครไม่เชื่อฟัง ครูจะหักคะแนน และเฆี่ยนคนละ ๒ ที" ได้ผล เด็กทุกคน นั่งประจำที่ แต่เด็กชายต้น และเด็กชายคม นั่งเฉย ไม่สนใจเรียน ฉันตัดสินใจยกเก้าอี้ไปนั่งข้างโต๊ะเรียนของเขา เขาก้มหน้านิ่ง "ทำไมเธอไม่ทำงาน ที่ครูให้ล่ะ" ฉันถามด้วยเสียงเรียบๆ "ผมไม่เข้าใจครับ" เด็กทั้งสองตอบเกือบจะพร้อมกัน "เอาสมุดขึ้นมา ครูจะอธิบายให้ฟัง เป็นนักเรียน ต้องตั้งใจเรียน สนใจค้นคว้าหาความรู้ใส่ตัว" เมื่อเด็กเอาสมุดขึ้นมา ซักไซ้ไล่เรียงกันแล้ว ก็รู้ปัญหา เปิดโอกาสให้ซักถาม อย่างเป็นกันเอง และอธิบายย้ำ จนกระจ่าง ในที่สุด ก็เข้าใจได้ เมื่อใกล้ชิดและเอาจริง วันต่อมา ฉันต้องเข้าสอนแทนอีก สังเกตเห็นว่าเด็กทั้งสองคนมีท่าทีดีขึ้น ฉันใช้กระบวนท่าใหม่ ให้เด็ก ทั้งสองคน นำเสนอผลงาน วิชาเลขคณิต ที่กระดานดำหน้าชั้น แม้ว่าจะทำผิดทำถูก แต่ก็เห็นได้ว่าตั้งใจ และพยายามถึงที่สุด "ครูขอนักเรียนอาสาสมัคร มาช่วยเพื่อนทำเลขข้อนี้ด้วย" มีอาสาสมัครหลายคน แต่ฉันขอเพียงคนเดียว และให้แก้ไขผลงานของเด็กชายต้น และคม ที่กระดานดำ ให้ถูกต้อง ทั้งสองคน ก็ยืนดูอยู่ด้วย เสร็จแล้ว ฉันยืนอยู่ตรงหน้าเขา เอามือวางบนบ่าเขา คนละข้าง "เธอนำเสนอได้ดีแล้วนะ แต่ยังถูกต้องไม่หมด ถ้าเธอตั้งใจมากกว่านี้ จะทำได้ดีเหมือนๆ เพื่อนๆ อย่างแน่นอน" เมื่อถึงชั่วโมงงานประดิษฐ์ ฉันจัดกลุ่ม คละเด็กเก่งและเด็กอ่อนไว้ด้วยกัน ให้เด็กชายต้น เป็นหัวหน้า กลุ่มหนึ่ง และเด็กชายคม เป็นหัวหน้า อีกกลุ่มหนึ่ง ดูท่าทีเขาดีใจมาก ที่ครูให้ความสำคัญ ยกให้เป็น หัวหน้ากลุ่ม หลายวันต่อมา เห็นได้ชัดเจนว่าทั้งสองคนพัฒนาตัวเองขึ้นมาก ไม่เดินจุ้นจ้านก่อความรำคาญให้เพื่อนๆ เวลาจากลุกจากที่ ไปเข้าห้องน้ำ ก็ยืนขึ้น ขออนุญาตครูก่อน ซึ่งต่างจากเมื่อก่อน ที่ผลุนผลัน ออกจากห้อง ไปเลย โดยไม่บอกกล่าวครู พฤติกรรมของเด็กที่โรงเรียน เป็นผลมาจากบ้านด้วย ครูต้องศึกษาเรียนรู้ปัญหาของเด็ก และ ครอบครัวด้วย จึงจะเข้าใจเด็ก และ ครองใจเด็กได้ แก้ปัญหาการเรียนการสอน จำเพาะตัวได้ คำพูด ปลอบใจเด็ก ที่ฉันชอบใช้ คือ "คนที่มีปัญหาชีวิต มากกว่าเรา เขายังตั้งใจเรียน และเรียนได้ดี ตั้งมากมาย หลายคน" "ครูเคยเห็นเด็กเกเรกินเหล้าเมาตีกัน ต้องไปทำแผลที่โรงพยาบาล เย็บตั้งหลายเข็ม แถมต้องถูกตำรวจ จับ ไปดำเนินคดีอีก พ่อแม่ ของทั้งสองฝ่าย ต้องเสียใจเสียเงินทอง เสียชื่อเสียงยับเยิน ต้องทนทุกข์ เพราะลูกๆ ที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมากับมือ ถ้าใครไม่อยาก ได้ชื่อว่า ทำร้ายพ่อแม่ ผู้มีพระคุณ ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง ให้เป็นเด็กดีแต่วันนี้ ไม่ต้องรอวันหน้า ทำดีเพื่อพ่อแม่ ทำไม่ได้เชียวหรือ" - เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๙ มิถุนายน ๒๕๔๘ - |