เรื่องสั้น - เฉลิมศักดิ์ แหงมงาม -
กำแพง

สันติขับรถเข้าไปในวัดแห่งนั้นอย่างช้าๆเขาเห็นรถทยอยเข้าไปมากมายกว่าปกติ ก็แน่ละ...วันนี้วันวิสาขบูชา วันสำคัญทาง พุทธศาสนา ที่ชาวไทยปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนาน วัดคือที่พึ่งทางใจ นอกเหนือจากเงิน และวัตถุ ที่ผู้คนในสังคม เฝ้าวนเวียนใฝ่หา เกือบตลอดลมหายใจเข้าออก

วัดแห่งนี้อยู่ใกล้กรุงเทพฯ สันติเคยมากราบนมัสการพระภิกษุในวัดเพียงไม่กี่ครั้งเมื่อแรกขับรถผ่านมา เมื่อเจ็ดแปดปี ก่อนโน้น เขายังแลเห็น บริเวณโล่งๆ พระวิหารหลังใหญ่ พระอุโบสถแต่ไกลๆ แม้จะมีบ้านไม้ แมกไม้แซมอยู่ สองข้างทางเป็นระยะ แต่พอเข้าไปในวัด เขาก็เห็นลานคอนกรีตประดับไม้ยืนต้น ปลูกแต่พองาม รอบๆ วัด ด้านข้างฟากทิศใต้ เห็นมีศาลาริมน้ำ เรือนไม้ ริมลำคลองน้ำใสไหลเอื่อย มองแล้ว เย็นสบายผ่านเข้าไปในหัวใจ

มันทำให้เขาคิดถึงบ้าน วัดบ้านนอกที่มักจะมีความเงียบสงบ เงาไม้ร่มรื่น เขานึกรักวัดนี้ขึ้นมาไม่น้อย แม้จะไม่เคยมา บ่อยครั้ง แต่ก็ทำให้นึกถึงวัดบ้านนอกแท้ๆ ที่เขาเคยแวะเวียนตั้งแต่เล็กจนโต

เขาขับรถช้าๆ มีรถหลายคันผ่านออกมาเป็นสายๆ เนืองแน่น วันนี้ วันสำคัญทางพุทธ-ศาสนา...เขานึก ให้เหตุผล กับตัวเอง คงจะไม่เหมือน วันพระธรรมดาทั่วไปหรอก ต้องเห็นใจซึ่งกันและกัน คนไทยทุกคน ก็อยาก จะมาทำบุญวันนี้

แต่นั่นแหละ...เขารู้สึกถนนคับแคบไปถนัดนั่นอาจจะเป็นเพราะกำแพงโรงเรียนที่ติดวัด แล้วก็กำแพงวัด ที่ก่อขึ้นมาใหม่ สูงประมาณสองเมตร ยาวเหยียดไปจนจรด ประตูเข้าวัด มันบดบังความโล่งว่าง ที่เขาเคยเห็น ก่อนหน้านี้

"เมื่อก่อนไม่มีกำแพง วัดดูโล่งดีนะ" เขารำพึงกับเมีย ขณะมือกำพวงมาลัยเคลื่อนรถผ่านเข้าไปเนิบช้า เต็มที

"วัดในเมือง...คนย้ายเข้ามากันมาก ก็ย่อมแออัดเป็นธรรมดา" ภรรยาให้เหตุผล เธอมักจะปลงกับ สิ่งที่พบเห็น ได้อย่างรวดเร็ว

กว่าเขาจะหาที่จอดรถได้เหงื่อก็แตกพลั่กเต็มหน้าผากและแผ่นหลัง

เขาบอกให้เมียและแม่ที่ตั้งใจมาทำบุญ รวมถึงเจ้าลูกน้อยเดินไปใส่บาตรก่อน เพราะเห็นชาวบ้าน เริ่มทยอย เข้าไปตักบาตรที่ลานหน้าพระวิหาร ส่วนตัวเขาเอง กว่าจะหา ที่จอดรถได้ลงตัว ก็นานโข เพราะมีรถของ ผู้มาทำบุญ ไม่ว่ารถตู้ กระบะ เก๋ง จอดเต็มไปหมด

เขาเริ่มคิดว่า ไม่อยากมาวัดนี้เสียแล้ว มันชักจะแออัดคับแคบเข้าไปทุกที

วัดน่าจะเป็นลานโล่งๆ กว้างๆ เข้าไปแล้วรู้สึกหายใจได้เต็มปอดสายลมโบกหวิวๆจากท้องทุ่ง ช่วยชำระใจ ให้ว่าง โล่ง เบา สบาย ไม่ไช่มองเห็นแต่ความอึดอัดคับแคบ กลิ่นน้ำเน่าสกปรก เหมือนจะโชย ผ่านขึ้นมา จางๆ เขาชักจะรู้สึก อย่างนั้นแล้วซิ อารมณ์ในวันนี้ ทำไมนะ...ทำไม เหมือนจะทำให้ความชื่นบาน ในหัวใจ เลือนหายไป

เขารีบสลัดความนึกคิด ขณะดับเครื่องรถ ไขกุญแจล็อคประตู แล้วก้าวตามแม่และเมีย ไปยัง ลานใส่บาตรพระ

วันนี้วันชำระความมัวหมองในจิตใจ เขาจะต้องทำใจให้เบิกบานอย่างที่สุด จะต้องไม่มีรอยมัวหมอง ตะกอน แห่งความทุกข์ สุมรุมเข้ามาในอารมณ์อย่างเด็ดขาด

โต๊ะรับอาหารตั้งเรียงเป็นแถวยาวเหยียดเป็นคู่ขนาน ผู้คนทยอยเรียงแถวกันเข้าไปอย่างเนืองแน่น ส่วนใหญ่ จะเป็นสุภาพสตรี แต่งชุดไทยๆ ไม่สวมซิ่นก็กระโปรง เสื้อสีเรียบๆ ไม่ฉูดฉาด เหมือนทุกคน จะรับรู้ว่า วันนี้ วันบุญใหญ่ วันมาชำระใจ ไม่ใช่งานสังคมสีสัน

เขาเห็นขันบาตรตั้งเรียงเป็นแถวอยู่บนโต๊ะ ถาดสำรับวางอยู่ใกล้ๆ อีกหลายสิบถาดรวมทั้งชามกะละมัง ใบใหญ่ บาตรไหนข้าวเต็มบาตร ญาติโยม ลูกศิษย์วัด ก็จะช่วยกันนำมาเทใส่ชามกะละมัง แล้วนำไป ตั้งใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า ตามกำลังศรัทธา ของสาธุชน ที่เข้ามาตักบาตรทำบุญ ส่วนถาดสำรับ ก็มีถ้วย สีขาว วางซ้อนกันอยู่ ใส่บาตรก็ต้องมีกับข้าว เป็นเครื่องเคียง พร้อมดอกไม้ธูปเทียน น้ำใสๆ ในขวด พลาสติก ตามประเพณีนิยม รวมไปถึง ขนมนมเนย ข้าวต้มมัด ผลไม้ จิปาถะ แล้วแต่คนทำบุญ จะเตรียมมา

ผู้คนทยอยกันเข้าไปไม่ขาดสาย หนุนเนื่องกันเข้าไปอย่างน่าชื่นใจ เป็นสิ่งบ่งบอกว่าพระพุทธศาสนา ยังคงเป็น เสาหลัก ของชาวบ้าน อย่างแน่นอน ข้าวใส่บาตรกำลังจะเต็มชามกะละมังใบเขื่อง และบาตร ทุกๆ ใบ สำรับกับข้าว เต็มแน่น จนเกือบจะล้นโต๊ะ รวมไปถึงผลไม้ ขนมนมเนย แต่ผู้คนก็ยังไม่จาง

เขากวาดสายตามองหาแม่และเมีย เธอน่าจะทำบุญกันเรียบร้อยแล้ว เพราะมองไม่เห็นในบริเวณที่ใส่บาตร มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็น

อดนึกสะกิดใจไม่ได้ วันนี้ ภิกษุคงฉันอาหารจนอิ่มแปล้ เพราะบนโต๊ะยาว เห็นแต่อาหาร วางเต็มไปหมด เลี้ยงคนได้ เป็นร้อยคน อย่างแน่นอน แวบแรกที่มองเห็น เขาก็อดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ สันติมักจะหลีกเลี่ยง ไปวัด ในวันสำคัญ หรือวันพระใหญ่ เพราะเขารู้ว่า ผู้คนจะมาทำบุญกันอย่างมากมาย อาหารจะเหลือเฟือ แล้วหลวงพ่อ จะเอาอาหารที่เหลือไปไว้ไหน

เขารีบสลัดความคิดที่ขุ่นข้อง แล้วก้าวขึ้นไปบนพระวิหาร เดินไปยังพระประธานองค์ใหญ่ ด้านซ้ายมือสุด ต่อด้วยชั้น อาสน์สงฆ์ ยกพื้นขึ้นมา ประมาณครึ่งเมตร ยาวเหยียด ผ่านมาทางด้านขวาติดผนัง

เขาได้กลิ่นธูปควันเทียนฟุ้งตรลบ จนเกือบจะหายใจไม่ออก ต้องรีบกระเถิบถอยออกมา เขารู้สึก แสบนัยน์ตา ยิบๆ รับรู้ว่า บริเวณหน้า พระพุทธรูป กลิ่นธูปควันเทียนตรลบอบอวล จนเห็นเป็น ม่านหมอก สีขาวๆ คละคลุ้ง ด้านหน้าพระประธาน มีกระถางใบใหญ่ ปักธูป มีราวทองเหลืองปักเทียน สว่างพราว ระยิบ ผู้คนกำลังทยอยกันเข้าไป

แปลกนะ สังคมยิ่งเจริญมากเท่าไร คนก็ยิ่งเข้าวัดกันมากขึ้น จนเขาคาดไม่ถึง ควันธูปจึงตรลบ เปลวเทียน จึงพราวไสว ละลานตา

ถัดออกมาตรงหน้าธรรมาสน์ สันติมองเห็นกล่องบริจาคทำเป็นหีบไม้ติดกระจกตั้งอยู่ด้านซ้ายขวา ห่างแค่ พอดี ตรงกลาง ก็มีพานใบใหญ่ สำหรับถวายปัจจัย ดอกไม้ธูปเทียนวางคั่น

เขากราบพระประธานเสร็จ โดยไม่ใช้ดอกไม้ธูปเทียน เพียงนึกอยู่ในใจ สักการะท่านด้วยใจ แทนดอกไม้ ธูปเทียน ก็น่าจะเพียงพอ เขาไม่อยากจะให้พระวิหาร ตรลบอบอวล ด้วยกลิ่นควันธูปเทียน มากไปกว่านี้ คงไม่สงบ นักหรอก หากจะมีกลิ่น ควันธูปเทียน กระจายเต็มไปทั้งศาลาพระวิหาร

บุญน่าจะอยู่ที่ใจที่แช่มชื่นและปลอดโปร่ง เขาบอกตนเอง

จากนั้นเขาก็รีบไปยังท้ายศาลาพระวิหาร แม่ เมียและลูกชายตัวเล็กนั่งอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อย เขามักจะพา ลูกเมีย และแม่ ไปวัดเป็นบางครั้ง โดยเฉพาะในงานบุญใหญ่ วันสำคัญทางพุทธศาสนา มนุษย์ทุกคน เกิดมา ต้องมีที่พึ่งทางใจ ถ้าใจคนเรา ไม่เข้มแข็งเพียงพอ ความสงบและร่มเย็น น่าจะเป็นที่พึ่ง ที่ดีที่สุด มิใช่หรือ

เจ้าลูกชายตัวเล็กก้มกราบพระจนก้นกระดก เลียนแบบแม่และย่า ยามเมื่อพระภิกษุ เกือบสามสิบรูป เดินเรียงราย เป็นแถวกัน เข้ามายังอาสนะ ได้เห็นผ้ากาสาวพัสตร์ ในวันบุญอันยิ่งใหญ่ เขาก็เริ่มจะชุ่มชื่น ในหัวอก ขึ้นมาบ้าง

เสียงสวดมนต์เริ่มดังกระหึ่ม เมื่อการอาราธนาศีลจบลง สวดก่อนจะฉันมื้อเช้าเป็นการสนองใจ ญาติโยม ที่อุตส่าห์ เตรียมอาหาร หวานคาว มาจากบ้าน อย่างประณีตบรรจง ตามประเพณีนิยม ของชาวพุทธ

เมื่อสิ้นเสียงสวดมนต์ บาตรแต่ละใบ กะละมังข้าว อาหารหวานคาวแต่ละถาดรวมไปถึงผลไม้ ขวดน้ำ พลาสติก ก็ถูกลำเลียง โดยญาติโยม และลูกศิษย์วัด ที่มาทำบุญอย่างสม่ำเสมอ ช่วยกันยกมา ตั้งด้านหน้า ภิกษุแต่ละรูป ที่นั่งเรียง บนชั้นอาสนะ ยาวเหยียด ทำให้บริเวณด้านหน้า เต็มแน่นไปด้วยข้าวปลาอาหาร จนเกือบล้น ภิกษุแต่ละรูป ฉันไม่หมด อย่างแน่นอน แต่นั่น น่าจะเป็นเพราะทางวัด อยากให้สมเจตนา ผู้มาทำบุญ ข้าวแม้เมล็ด น้ำแม้เพียงแก้ว จะต้องได้รับ การสัมผัส กินดื่ม จากพระภิกษุ

ก็ดีนะ...บุญไม่หกตกหล่น ญาติโยมได้รับการให้ศีลให้พรจากพระภิกษุอย่างพร้อมเพรียงเสียงกระหึ่ม น่าปลื้ม ปีติ แต่พระภิกษุ คงฉันอาหารไม่หมดอย่างแน่นอน แล้ววัดจะทำอย่างไรนะ หลวงพ่อท่าน เจ้าอาวาส จะทำอย่างไร กับอาหาร หวานคาวเหล่านั้น อดไม่ได้อีกนั่นแหละ ที่เขาจะนึกถามตนเอง อยู่ไม่วาย

ระหว่างพระฉัน ก็มีการเทศนาให้ข้อคิด สะกิดเตือนใจให้ยึดมั่น ในการกระทำความดี

เขานั่งสงบนิ่ง และคิดว่า วันนี้ เขาน่าจะได้รับการชำระล้างทางจิตใจได้ไม่เท่าไรหรอกใจเขายังว้าวุ่น มักจะมีคำถาม ผุดขึ้นมาในใจ อยู่เสมอ และเขาคิดว่า ทางวัดน่าจะปรับปรุงทุกอย่าง ให้ดียิ่งกว่านี้ ไม่ว่า สถานที่จอดรถ การจุดดอกไม้ ธูปเทียน ในศาลา รวมไปถึงอาหารหวานคาว ที่กำลังจะเหลือ บานเบอะ

เขานึกค้างคาในใจเพียงแค่นั้น

พระนักเทศน์กำลังบรรยายธรรมใกล้จะจบ ตามด้วยการให้ศีลให้พร ก็ดังกังวานบ่งบอกว่า การทำบุญ ในวันนี้ กำลังใกล้ จะจบสิ้นลง

แล้วลูกศิษย์วัดทยอยกันเข้ามาเก็บถาดอาหาร บาตรและชามกะละมังข้าว ที่ภิกษุฉันไปอย่างละเล็ก ละน้อย แทบจะมอง ไม่เห็นรอยพร่อง

"ทางวัดจะเอาไปไหน หลวงพ่อจะทำอย่างไรกับอาหารที่เหลือ" อดไม่ได้ที่เขาจะเอ่ยถามขึ้นลอยๆ น้ำเสียง คล้ายจะมีกังวล

แม่กับภรรยาไม่ยอมตอบ ได้แต่นิ่ง นั่นอาจจะเป็นเขาเป็นคนชอบตั้งคำถามหรือไม่ยามนี้ แม่กับภรรยา ของเขา กำลังจรดใจ เพื่อให้บุญเบิกบาน ในหัวใจอย่างเต็มที่

พลัน...ชายชราวัยไม่เกินเจ็ดสิบปี กำลังยกบาตรพระผ่านออกไป ผมสีดอกเลา นัยน์ตาเปล่งประกาย ยิ้มแจ่มใส

"จะเอาไปเลี้ยงคนงานมาสร้างพระวิหารหลังใหม่ พวกเขายังไม่ได้กินข้าวเช้า" เสียงเอ่ยตอบดังมา อย่างชัดเจน

"ที่เหลือหลวงพ่อให้เอาไปให้เด็กนักเรียนข้างวัด เด็กๆ ยากจนก็มีเยอะ เหลือไว้ที่วัดก็บูดเน่าเท่านั้น"

"เอ้า...ยกไปตั้งวง มาทำบุญ ก็กินข้าวที่เหลือจากพระฉันนี่แหละ...บุญแรงนะจะบอกให้" เสียงบอกต่อๆ ด้วยอาการร่าเริง

เขานั่งนิ่ง มองอาหารที่กำลังถูกลำเลียงออกไปจากชั้นอาสนะ ผ่านทางประตูด้านข้างพระวิหาร แต่อีก ส่วนหนึ่ง ก็กระจาย ให้ชาวบ้าน ได้ล้อมวงกินข้าว

"ทำบุญ...อย่าไปคิดอะไรให้มาก ปล่อยวางเสียบ้าง ของที่ให้เมื่อตัดใจก็เป็นบุญทั้งนั้นแหละ...ถ้ามัวคิด ก็ขุ่นมัว ในใจเปล่าๆ" เสียงแม่พึมพำ ขณะเดินนำไปขึ้นรถ เพื่อกลับบ้าน แต่แกก็ไม่วายแวะซื้อขนม ร้านข้าง กำแพง ยื่นส่งให้หลานชายตัวเล็กๆ

ลูกเขาดีใจยิ้มแก้มตุ่ย

ใจเขาเริ่มจะใส...มันเริ่มจะใสขึ้นมาบ้างแล้วนะ.


 

พระพุทธองค์ตรัส
มีใจปราศจาศจากความหวง ความไม่อยากให้ง่ายๆ
อันเป็นความมัวหมอง
มีการสละให้ปัน
อันปล่อยแล้ว
มีฝ่ามืออันชุ่ม
ยินดีในการเสียสละ
ยินดีในการแจกทาน
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
ชื่อว่า ถึงพร้อมด้วยการเสียสละ

ปัญญาที่เป็นเหตุให้ถึง
ความเกิดความดับเป็นอริยะ
เป็นไปเพื่อชำแรกกิเลส
ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยถูกตรง
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
ชื่อว่า ถึงพร้อมด้วยปัญญา

( จาก พระไตรปิฎก ภาษาไทย ฉบับหลวง
เล่มที่ ๑๙ "มหาทานสูตร" ข้อที่ ๑๕๙๐-๑๕๙๔ )

-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๐ กรกฎาคม ๒๕๔๘ -