หน้า ๓ ข่าวใหญ่ไทยรัฐฉบับ ๒๒ ก.ค. ๒๕๔๘ พระผู้เฒ่าวัย ๗๖ ฆ่าหั่นศพสาวใหญ่วัย ๓๕ โทษฐานคิดตีจากทั้งๆ ที่ทุ่มเทให้ทุกอย่าง ตั้งแต่เปิดร้านเสริมสวยให้ ซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ให้ แต่เธอกลับเอารถยนต์ที่หลวงตาปรนเปรอไปควงกับพระเอกลิเก...ฯลฯ จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ข่าวแปลกอะไรในระบบทุนนิยม ที่คนต่างพยายามเอารัดเอาเปรียบหลอกลวงกันเพียงแต่ว่าจะทำน่าเกลียดแบบเณรแอ หรือทำแนบเนียนแบบหลวงปู่หลวงตาระดับเกจิทั้งหลาย ที่นิยมทำเดรัจฉานวิชาหรือหลอกล่อเอาเปรียบด้วยกามคุณ ๕ อย่างพระเอกลิเก หรือเจ้าของร้านเสริมสวย ที่ทำให้หลวงตาหมดเงินไปหลายล้าน...เงินนั้นก็ได้มาจากการมอมเมาประชาชนมาอีกต่อ ในยุคที่วิทยาศาสตร์พัฒนามาจนถึงขั้นดิจิตอล จอมขมังเวททางไสยศาสตร์ใครๆ ก็พอรู้เท่าทันกันได้ แต่จอมขมังเวททางด้านเศรษฐกิจ หรือการเมือง หรือกามศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งอวิชชาศาสตร์ทั้งหลายเหล่านี้ใครๆ ก็รู้ว่าสามารถเอารัดเอาเปรียบกันได้อย่างมหาศาล ชนิดอดีตเณรแอต้องแพ้หลุดลุ่ยแบบเทียบกันไม่ติด แต่ถ้ามาพิจารณาถึงว่ามีเงินทองมากน้อยแค่ไหน ที่สามารถติดตามเจ้าของเงินทองนั้นๆ ไปได้ ไม่ว่าจะได้มาด้วยการเอาเปรียบ การโกง การแย่งชิง การลักขโมย หรือปล้นฆ่าเขามา หรือแม้แต่ได้มาโดยสุจริตก็ตาม จะเห็นได้ว่า วาระสุดท้ายของชีวิตแม้เขาจะเอาเงินยัดใส่ปากใส่มือให้ บาทเดียวก็ไม่สามารถติดตามเจ้าของไปไม่ได้ มีแต่กรรมดีและกรรมชั่วที่จะติดตัวไปเป็นสมบัติของคนในทุกชาติ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์กว่าจะตรัสรู้ได้ ท่านต้องบำเพ็ญบารมีหลายล้านชาติ ถึงขนาดนั้นเมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว วิบากกรรมที่เคยคิดร้าย พูดร้ายทำร้ายเอาไว้ไม่รู้แต่ปางไหน ก็ยังตามมาเล่นงานพระพุทธองค์ แม้ว่าจะเป็นพระอรหันต์หรือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็มิได้ละเว้น ดังที่ได้ทรงเล่าไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ ข้อ ๓๙๒ ความว่า ...ในกาลก่อน เราเป็นเด็กของชาวประมงอยู่ในบ้านเกวัฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้วเกิดความยินดี ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะ (ปวดศีรษะ) ได้มีแล้วแก่เราในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียนจากพระเจ้าวิฏฏุภะ ...เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะผู้เป็นพระอรหันต์แล้ว เราต้องท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้วได้รับความกล่าวตู่เป็นอันมาก ได้ผลกรรมเป็นอันมาก ด้วยผลกรรมนั้นนางจิญจมาณวิกากับหมู่ชนได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง ...ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่ชายน้องชายต่างมารดาเพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขาแล้วบดทับด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือด และในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ ข้อที่ ๓๙๒ พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า "ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงินทอง หรือข้าวของที่รักที่หวงแหนอย่างใดอย่างหนึ่งมีอยู่ รวมทั้งทาส กรรมกร คนใช้ และผู้อาศัยของเขา พึงเอาไปไม่ได้ทั้งสิ้น จะต้องถูกละทิ้งไว้ทั้งหมด แต่บุคคลทำกรรมใดด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ กรรมนั้นแหละเป็นของของเขาและเขาย่อมพาเอากรรมนั้นไป อนึ่งกรรมนั้นย่อมติดตามเขาไปเหมือนเงาติดตามตนฉะนั้น เพราะฉะนั้นบุคคลควรทำกรรมดีสั่งสมที่จะเป็นประโยชน์ภายหน้า ความดีทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า" - จริงจัง ตามพ่อ - - เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๑ สิงหาคม ๒๕๔๘ - |