- จำลอง -



อยู่บ้านป่ามาหลายปี เพิ่งจะมีปีนี้ที่นกแปลกๆ สีสันต่างๆ กัน บินออกจากป่ามาเกาะอยู่ตามต้นไม้ใกล้บ้าน ถ้าเป็นคนชอบดูนกคงสนุกมาก อาจเป็นเพราะปีนี้แล้งแล้งทั้งนอกป่าและในป่า นกจำต้องออกมาหาอาหาร หาน้ำกิน

เข้าพรรษาแล้วฝนยังไม่มาเลย มาบ้างเล็กๆ น้อยๆ ไปตกที่กรุงเทพฯ เสียหมด ตกได้ตกดี ที่ๆ เขาไม่อยาก ให้ตกก็ตก เมืองกาญจน์หลายแห่งแล้ง ไม่มีทั้งน้ำใต้ดินและบนดิน โรงเรียนผู้นำและสวนสัตว์เลี้ยง (ที่เลี้ยงสุนัขมากที่สุดในโลก) ต้องเอารถ ๑๐ ล้อ ไปสูบน้ำจากแม่น้ำแคว ตั้งใจว่าจะสู้กับความแห้งแล้ง จนน้ำแม่น้ำแควแห้ง

น้ำมันขึ้นราคาติดต่อกันหลายครั้ง เพิ่งจะมาลด ๑ ครั้งเพื่อเอาใจ แล้วขึ้นราคาต่อ ไม่มีใครคาดได้ว่า จะขึ้นราคาไปถึงเท่าไรแล้วจะหยุด ทุกคนบ่นไปก็ใช้ไป ไม่ใช้น้ำมันแล้วจะใช้อะไร เมืองไทยไม่น่าจะมา ทุกข์ใจ เรื่องนี้ เพราะพืชหลายชนิดเอาไปใช้แทนน้ำมันได้ ที่ดินเมืองไทยกว้างใหญ่ไพศาล น้ำมันที่ดูด จากใต้ท้องทะเลใต้ดินมีแต่วันหมด แต่น้ำมันจากพืชมีใช้ตลอดไป

ระยะเวลาที่ผ่านมา เราเอาแต่อยู่สบายๆ ไม่ขวนขวายวิจัย ผลิต น้ำมันจากพืชให้ใช้แทนน้ำมันได้เต็มที่ อย่างแท้จริง มาสนใจเอาตอนที่น้ำมันขึ้นเอาๆ เหมือนกับคำที่ว่า "ไม่เห็นโลง ก็ไม่หลั่งน้ำตา"

เราเจอปัญหา น้ำฝน น้ำมัน แล้วก็น้ำเมา มาซ้ำเติมอีก แอบเข้าขออนุญาต กระจายหุ้น เพื่อขายหุ้น เพิ่มการผลิต เพิ่มการขาย มอมเมาคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นที่น่าแปลกใจว่า ทั้งๆที่รู้ว่าจะเกิดผลเสีย อย่างมหาศาล ทำไมถึงไม่หยุดตามที่พวกเราฝ่ายคัดค้านได้ท้วงแล้วท้วงอีกเมื่อเดือนมกรา, กุมภา, มีนาที่ผ่านมา เจ้าของบริษัทและหมู่คณะรวยล้นเหลืออยู่แล้ว กินใช้ไปอีก สิบๆ ชาติก็ไม่หมด แล้วจะเอาอะไรกันอีก

หากได้รับการอนุญาตให้กระจายหุ้น เพิ่มการผลิต เพิ่มการขายแล้วสังคมจะเสียหายมากมายแค่ไหน ดูได้จากเรื่องของลุงหรอยรายเดียวก็พอ ซึ่งผู้ไปร่วมชุมนุมคัดค้านที่สำนักงานคณะกรรมการ กลต. (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์) ที่สำนักงานตลาดหลักทรัพย์ และที่รัฐสภาเมื่อ ๒๐ กรกฎา ต่างก็ได้รับแจกกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เล่าเรื่องราวของลุงหรอย ท่านสมาชิก "เราคิดอะไร" ส่วนใหญ่ ไม่มีโอกาสไปเดินขบวนด้วย ผมจึงขอนำมาเผยแพร่ เพื่อจะได้เป็นปากเป็นเสียง ช่วยกันเถียงคัดค้าน ไม่ให้เบียร์เหล้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ตลอดกาล

ขอให้เขา...เป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์รายสุดท้าย
"ผมต้องถูกผ่าตัดถึง ๔๗ ครั้ง?
สูญเสียขาทั้งสองข้าง
ซ้ำร้าย..ลูกชายต้องมาตายเพราะอุบัติเหตุเมาแล้วขับ
ปัจจุบันต่อสู้ชีวิตอย่างเดียวดาย
แม้ภรรยาก็ตีจาก สูญเสียทุกอย่าง
ต้นเหตุเพราะน้ำเมามหาภัย
ที่ทำให้คนไทยขาดสติ"
ลุงหรอย บันนัดสำโรง
หนึ่งในเหยื่อที่ถูกรถชนจากผู้เมาแล้วขับ

หนึ่งถูกดีกว่าล้านผิด ... งานนี้ได้ไม่คุ้มเสีย จริงหรือ! กับสารพัดข้ออ้างของผู้สนับสนุนที่ว่า...

๑. ช่วยให้ตลาดทุนเข้มแข็ง รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งรัฐต้องเสียงบประมาณ เพื่อเยียวยารักษา คนเจ็บตายเพราะเหล้าเบียร์ ปีหนึ่งๆ เป็นเงินมหาศาล มากเสียยิ่งกว่าภาษี ที่ได้รับจากบริษัทน้ำเมา หลายเท่านัก ปัจจุบันคนไทยเราดื่มเหล้ามากเป็นอันดับ ๕ ของโลก ถ้าขืนปล่อยให้เข้าตลาดหุ้น มีหวัง คงได้กลายเป็นแชมป์โลกขี้เมาในไม่ช้านี้ ถามว่าเราอยากจะเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยหรือ?

๒. เป็นธุรกิจสากลที่ทำกันทั่วโลก แต่ทราบหรือไม่ว่า ประเทศต่างๆ ที่หลงผิดเอาน้ำเมา เข้าตลาดหุ้น ล้วนมีปัญหาสังคมเกิดขึ้นมากมายจนยากเกินจะแก้ไข ในอังกฤษและอเมริกา ประชาชนของเขา ถึงกับ ตีตราว่าเป็น "หุ้นบาป" (sin stock) ที่นำความหายนะมาสู่เพื่อนร่วมชาติ แล้วเรายังจะไปเดินตามเส้นทาง แห่งความวิบัติกันอีกทำไม สังคมไทยยึดมั่น "หนึ่งถูกดีกว่าล้านผิด"

๓. อ้างว่า ถ้าห้ามก็จะไปเข้าตลาดหุ้นนอกอยู่ดี การไปเข้าตลาดหุ้นต่างประเทศนั้น บริษัทน้ำเมาจะได้ เฉพาะ ทุนจากชาวต่างชาติ แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ตรงข้าม...หากเข้าตลาดหุ้นในประเทศจะได้ทั้ง "ทุนและแนวร่วมกำแพงมนุษย์" ต่อไปการจะออกมาตรการใดๆ มาควบคุมการโฆษณาและจำหน่าย ก็จะทำได้ยากขึ้น เพราะผู้ถือหุ้นที่เสียผลประโยชน์จะออกมาคัดค้าน ลูกหลานไทยจะถูกมอมเมาอย่างหนัก อีกกี่รายกันที่จะต้องสูญเสียทรัพย์สิน อวัยะและชีวิต? แล้วอนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร สรุปงานนี้ได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน

หลังจากการคัดค้านคราวที่แล้วจบลง ซึ่งได้ผลเพียงแค่หยุดยั้งชั่วคราวยังไม่ให้เบียร์ เหล้า เข้าตลาด หลักทรัพย์ ก็มีการกล่าวหาต่างๆ นานา เช่น ผมไปขอเงินเจ้าของเบียร์เหล้าเพื่อเอาไปจัดงานวันวิสาขบูชา เขากำลังจะให้อยู่แล้ว บังเอิญต้องเดินทางไปต่างประเทศ ยังไม่ได้ให้ ผมไม่ได้ดังใจก็โกรธ หันมาคัดค้าน

นิตยสารบางฉบับที่คนอ่านมากๆ ลงภาพหน้าผมเต็มหน้าหนังสือ ตั้งชื่อว่าเป็นฉบับ "เตะช้างเข้าปากแม้ว" หาว่าไปคัดค้านเบียร์ช้าง เพื่อช่วยแม้ว(นายกฯ ทักษิณ) เพราะถ้าเบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์สำเร็จ เจ้าของ จะรวยกว่านายกฯ ทักษิณ ผมยอมไม่ได้

คนที่รู้จักมักคุ้นกับผมทราบดีว่า ผมมีทั้งคนตามช่วยและคนที่ตามล้างตามผลาญ พระครูศีลวัฒนาภิรมย์ เจ้าอาวาส วัดปัญญานันทาราม ท่านเล่าให้ผมและญาติโยมฟังว่า ท่านอาจารย์ พุทธทาส พิมพ์หนังสือ เป็นเล่ม ลงเรื่องที่คนอื่นกล่าวหา บางเรื่องท่านก็ช่วยขยายข้อความ โฆษณาให้ฝ่ายโน้นด้วย พิมพ์แจก ให้รู้กันมากๆ ว่าที่เขาว่าท่านไม่ดีนั้นไม่ดีอย่างไร

เรารู้ว่า การประชุมครั้งล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ ที่ให้เลื่อนการพิจารณาอนุญาตไปโดยไม่มีกำหนดนั้น เขาจะต้อง แอบเสนอเรื่องขออนุญาตอีก แน่ๆ แล้วเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎา เขาก็ทำจริงๆ เราก็เอาจริง เหมือนกัน เพราะเราเตรียมตัวไว้แล้วด้วยความไม่ประมาท เรานัดประชุมวันที่อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา ผมชี้แจง ทั้งด้วยวาจาและเป็นลายลักษณ์อักษร สื่อมวลชนไม่ได้เผยแพร่ทั้งหมด ผมจึงขอนำมาลงไว้ เป็นหลักฐาน



คำชี้แจงของพลตรี จำลอง ศรีเมือง
ในการประชุมผู้แทนศาสนิกชน ๖๗ องค์กร
ณ อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลาคม ถนนราชดำเนิน
วันจันทร์ที่ ๑๘ กรกฏาคม ๒๕๔๘ เวลา ๑๓.๓๐ น.

___________

สาเหตุของการจัดประชุม
บริษัทน้ำเมา (ธุรกิจเบียร์-เหล้า) ที่เคยได้รับการคัดค้านไม่ให้นำกิจการเบียร์-เหล้า เข้าตลาดหลักทรัพย์ ครั้งที่แล้ว ได้ประชุมเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม และยื่นขออนุญาตต่อ ก.ล.ต. (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์) เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ที่ผ่านมา คาดว่าจะได้รับการอนุญาตเร็วๆ นี้

ขณะนี้น้ำมันกำลังขึ้นราคาอย่างไม่หยุดยั้ง สินค้าเกือบทุกชนิดขึ้นราคาหมด ประชาชนกำลังเดือดร้อน อย่างยิ่ง แทนที่จะช่วยกัน หาวิธีประหยัดให้ประชาชนในชาติ กลับขยายการผลิต,ขยายการขายเบียร์เหล้า เพิ่มรายจ่ายให้ประชาชน ซึ่งนอกจากจะเป็นรายจ่ายที่ไม่จำเป็นแล้ว ยังเป็นพิษร้ายแรงต่อร่างกายอีกด้วย

รัฐบาลซึ่งกำลังประหยัดทุกวิถีทางจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกมากมาย เนื่องมาจากการเกิดอุบัติเหตุ และ การเจ็บป่วย เพราะคนดื่มเบียร์-เหล้ามากขึ้น

หากศาสนิกชนทุกศาสนาไม่ช่วยกันออกมาคัดค้านอีก สังคมจะเสียหายอย่างใหญ่หลวง จนไม่สามารถ กู้ให้กลับคืนได้

การคัดค้านที่แล้วมา
บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ เบียร์-เหล้า เสนอคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ขออนุญาตนำกิจการเข้าตลาด หลักทรัพย์ ซึ่งเดิมจะมีการประชุมวันที่ ๒๖ มกราคม ทางฝ่ายเรา (ผู้แทนองค์การศาสนิกชน) ได้คัดค้าน จึงเลื่อนการประชุมไปเป็นวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ต่อมาได้รับการคัดค้านเพิ่มขึ้นอีกมากมาย จึงได้เลื่อน การประชุมอีกครั้งเป็นวันที่ ๒๓ มีนาคม ซึ่งในวันดังกล่าว คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ มีมติให้เลื่อน การพิจารณาออกไปโดยไม่มีกำหนด

ก่อนที่จะมีมติออกมานั้น ฝ่ายเรานอกจากจะคัดค้านไปยังคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ทุกท่านแล้ว เรายังเสนอขอความช่วยเหลือไปยังผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองซึ่งน่าจะมีส่วนเข้ามาช่วยคัดค้านบ้างคือ ท่านประธานรัฐสภา สมาชิกวุฒิสภาทุกท่าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน ผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด อธิการบดีทุกมหาวิทยาลัย ผู้บริหารโรงเรียนทุกโรงเรียนทั่วประเทศ

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกโรงพยาบาล บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ผู้อำนวยการ สถานีวิทยุ ทุกสถานี และผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง

กับทั้งได้ขอร้องเจ้าของกิจการเบียร์-เหล้า ว่าทุกท่านฐานะดีมากอยู่แล้ว น่าจะเห็นแก่สังคม ไม่ควรนำกิจการ เข้าตลาดหลักทรัพย์ ขยายการผลิต ขยายการจำหน่าย อันจะเป็นผลร้ายต่อประชาชน เจ้าของบริษัท และ คณะกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ที่ได้ประโยชน์ แต่ผลเสียจะตกแก่คนส่วนใหญ่ของประเทศ

ผู้ที่ห่วงใยสังคมต่างจัดการชุมนุมในที่ต่างๆ หลายแห่ง จนเป็นผลให้คณะกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ มีมติ ดังกล่าว

จากมติของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ที่เลื่อนการพิจารณาออกไปโดยไม่มีกำหนด เรามั่นใจว่า เจ้าของ กิจการเบียร์เหล้า ยังไม่ละความพยายามที่จะนำกิจการเบียร์เหล้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ อีกคณะกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์หลายคน ยังยืนยันความคิดเดิมที่จะอนุญาตให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ เพียงแต่รอจังหวะ เท่านั้น และก็เป็นไปดังคาด และขออนุญาตใหม่อีกแล้ว

จึงเรียนเชิญผู้แทนองค์กรศาสนิกชนทุกศาสนา มาร่วมปรึกษาหารือ เพื่อคัดค้าน และคราวนี้ต้องคัดค้าน ให้หนักกว่าคราวที่แล้ว คัดค้านไม่ให้ เบียร์-เหล้า เข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นการถาวร จะได้ไม่ต้อง เฝ้าระวัง และเหน็ดเหนื่อยกันบ่อยๆ อีก

พลตรี จำลอง ศรีเมือง
ประธานกองทัพธรรมมูลนิธิ
ผู้ประสานงานศาสนิกชน ๖๗ องค์กร

ผมยังไปยุ่งกับเขาเพิ่มอีก คือ การออกความเห็นเรื่อง พระราชกำหนดฉุกเฉิน พอผู้ก่อการร้าย ๓ จังหวัด ภาคใต้ปิดจังหวัดยะลา ระเบิดถล่มหลายจุด เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎา รัฐบาลจึงรีบเสนอ ออกพระราชกำหนด เพื่อช่วยให้ทหารตำรวจ ทำงานได้เต็มที่ ทันท่วงที มีผู้คัดค้านมากมาย คนที่ออกมาพูดสนับสนุน แทบไม่มีเลย

ผมหวนนึกถึงเมื่อตอนที่ตัวเองไปเสี่ยงชีวิตในลาวและเวียดนาม ถ้าตอนนั้นคนไทยเอาแต่ติเอาแต่ว่า เสมือนเรา กำลังทำผิดคิดร้าย แล้วเราจะทำหน้าที่ได้อย่างไร ผมอดรนทนไม่ได้ ต้องให้สัมภาษณ์ทั้งๆ ที่ผู้สื่อข่าว เคยสัมภาษณ์ขอคุยกับผมเรื่องนี้มานานแล้วแต่ผมไม่พูดเลย ผมรู้ดีว่าผมพูดตอนนี้ จะต้องมี ผู้ที่เคยชอบผมเปลี่ยนเป็นเกลียดชังทันที ก็ไม่เป็นไรครับ ผมเห็นอย่างไร มั่นใจอย่างไรก็พูดตามนั้น

เนื่องจากเป็นเรื่องเปราะบาง ผมจึงต้องเขียนต้องพิมพ์ไว้ก่อน แล้วให้สัมภาษณ์ไปตามนั้น ต้องการ ให้ท่าน สมาชิก "เราคิดอะไร" ทราบโดยละเอียดว่า "ผมคิดอะไร" จึงนำมาลงพิมพ์อีกเช่นกัน


 

คำให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนของ พลตรี จำลอง ศรีเมือง
ภายหลังการประชุมผู้แทนศาสนิกชน ๖๗ องค์กร
เพื่อต่อต้านการนำกิจการน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์
ณ อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลาคม ถนนราชดำเนิน
วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๘

ผมมักจะถูกถามเสมอๆ ทั้งนอกห้องเรียนและในชั้นเรียนของโรงเรียนผู้นำว่ามีความเห็นอย่างไร เกี่ยวกับ สถานการณ์ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้

ผมออกความเห็นฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่บังเอิญเคยผ่านสถานการณ์เสี่ยงมาบ้างในขณะที่เป็นทหาร และ ในขณะที่เป็นนักการเมือง

เรื่องสาเหตุของปัญหาที่สั่งสมกันมานานในอดีตนั้นพูดอีกก็ถูกอีก พูดกันมาเยอะแล้ว พูดไปก็เสียเวลา เปล่าๆ และพวกเราที่ไปปฏิบัติงานใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็พยายามระมัดระวังไม่ทำผิดซ้ำอยู่แล้ว ตอนนี้ ต้องเน้นว่าทำอย่างไรถึงจะเลิกฆ่ารายวันให้ได้

ตั้งแต่เกิดสถานการณ์ได้ไม่นานผมเคยพูดกับเพื่อนๆ ทหารผ่านศึกที่เคยผ่านสมรภูมิลาวและเวียดนาม ว่า สักวันหนึ่ง คนไทยใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะพร้อมกันออกมายืนหน้าบ้าน ถือธงชาติใหม่ บอกว่า ไม่ใช่คนไทยแล้ว ทั้งๆ ที่ทั้งกายและใจเป็นคนไทยเต็มเปี่ยม แต่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น เพราะความหวาดกลัว

เป็นความบกพร่องของพวกผม เป็นความบกพร่องของทหาร จะโทษใครไม่ได้ การรักษาความสงบ ในบ้านเมือง เป็นหน้าที่หลัก เป็นหน้าที่โดยตรงของทหาร เรียนมาฝึกมา ก็เพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ ส่วนตำรวจนั้น งานหลักก็คือ การป้องปราม จับกุมคุมขังผู้ทำผิดกฎหมายทุกประเภท เมื่อเกิดความไม่สงบ ตำรวจก็เข้ามาช่วย เป็นกำลังสำคัญทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ทหาร แต่เมื่อมีความบกพร่อง ยังไม่สามารถ ทำให้ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้สงบลงได้ ทหารตกเป็นจำเลยที่ ๑ ส่วนตำรวจเป็นจำเลยที่ ๒

เห็นทหารวันนี้แล้วไม่ภูมิใจ สุขกันอยู่ได้อย่างไรเมื่อคนไทยตายรายวันด้วยมือของผู้ก่อการร้าย คนก่อเหตุ มีจำนวน ไม่มากก็จริง เมื่อเทียบกับประชากรทั้ง ๓ จังหวัด แต่เป็นคนส่วนน้อยที่ก่อกรรมทำเข็ญ เยอะมาก เยอะจนสุดที่จะทน

อย่าไปหวัง "สมานฉันท์" มากเกินไป เพราะฝ่ายโน้นไม่สมานฉันท์ด้วย เราจะทำดีพูดดีแค่ไหนก็ตอบด้วย ปังตอ ลูกปืน และระเบิดสารพัดชนิด เรานึกถึง "สมานฉันท์" ในแง่ว่า ต้องมีการประนีประนอม และแสวง สันติอยู่ตลอดเวลา ไม่ตั้งหน้าตั้งตาจะเข่นฆ่ากันท่าเดียว

พูดกันว่าไม่ชอบกฎอัยการศึกเพราะให้อำนาจทหารเหนือพลเรือน ไม่มีที่ไหนในโลกแก้วิกฤติ ได้สำเร็จ โดยมีบทบาท มีอำนาจเท่าเทียมกันหมด เมื่อเกลียดกฎอัยการศึกกันนัก ทหารก็ยอม ไม่มีเสียงคัดค้าน จากฝ่ายทหารเลย

แต่ทหารตำรวจรักษาความสงบได้ไม่เต็มที่ และแก้ไขสถานการณ์ได้ไม่ทันท่วงทีเพราะไม่มีกฎหมาย รองรับ เขาทำอะไรไป อาจถูกฟ้องถูกลงโทษแล้วไม่มีใครช่วยเขาได้ รัฐบาลจึงต้องเสนอออกพระราชกำหนด ฉุกเฉิน ซึ่งหลายๆ คนรวมทั้งผมเห็นด้วยเต็มที่ แต่รัฐบาลต้องใช้พระราชกำหนดนี้ ด้วยความรอบคอบอย่างยิ่ง ใช้เฉพาะ เหตุการณ์ความไม่สงบให้ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้และบางอำเภอของสงขลา เท่านั้น และต่อไป ท่านนายกฯ ต้องมอบหมายแบ่งงานให้คนอื่นทำ ไม่ใช่อะไรๆ ก็มาลงที่นายกฯ เสียหมด หัวจะหมุน ตลอดวัน

นับตั้งแต่มีข่าวการเสนอพระราชกำหนดฉุกเฉิน ก็มีการคัดค้านกันมากทั้งในและนอกประเทศ สื่อมวลชน นอกประเทศ วิจารณ์ว่าเป็นการลิดรอนสิทธิประชาชน ซึ่งก็จริงแต่ต้องให้ประชาชนมีสิทธิจะอยู่ ในพื้นที่นั้น ด้วยความปลอดภัยเป็นสำคัญ อึดอัดบางเรื่องบ้าง ก็ต้องช่วยกันทน เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ทำงานเต็มที่ มากขึ้น และ ประชาชนถูกฆ่าตาย รายวันน้อยลง

คนไทยที่คัดค้าน คัดค้านด้วยความหวังดี คิดดี เสนอแนวทางแก้ไขที่ดี แต่ในสถานการณ์เสี่ยงอย่างนั้น อาจไม่ได้ผล ถ้าไม่เจอด้วยตัวเองก็ไม่รู้

ส่วนไทยอีกจำนวนหนึ่งก็ตระหนกตกใจงอมืองอเท้า ทั้งๆ ที่ฟังเพลงๆ หนึ่งจนชินหู และ ซาบซึ้ง ในเนื้อเพลง มาแล้ว

"อยุธยาแตกไป เพราะไทยระย่อ ไม่คิดต่อ ต้านศัตรู มุดรูหนี ยิงปืนเปรี้ยง ไทยกลัวเสียง แทนไพรี นายทัพมี หลับหัวหด หมดแรงใจ"

ยิงปืนเปรี้ยง ด้วยการเสนอออกพระราชกำหนดฉุกเฉิน คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็กลัว กลัวพระราชกำหนด กลัวและเป็นเดือดเป็นร้อน แทนผู้ก่อการร้าย

ถ้าเรามีความเห็นรวมเป็นหนึ่งเดียว และคอยคิดตาม ท้วงติง รัฐบาล หากเห็นว่าจะใช้พระราชกำหนด ไปในทางไม่ชอบ พร้อมกับสนับสนุนให้กำลังใจทั้งประชาชน สามสี่จังหวัดภาคใต้ และเจ้าหน้าที่ อย่างต่อเนื่อง ก็สามารถจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับทหาร, ตำรวจ และฝ่ายปกครองก็ขออย่าให้มีประเภท "หัวหดหมดแรงใจ" ก็แล้วกัน

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๑ สิงหาคม ๒๕๔๘ -