โรงพักเพื่อประชาชนหรือโรงพักเพื่อเล่นงานประชาชน?

ข่าวเด็กหญิงอายุ ๑๔ ปี ถูกตำรวจจับข้อหาเสพกัญชา ในขณะที่เพื่อนถูกปล่อยเพราะมีเงินจ่ายให้ ๒,๕๐๐ บาท แต่ตัวเองไม่มีเงิน สุดท้ายเธอต้องถูกข่มขืนจากร้อยเวร สภ.อ. เมืองอุดรธานี

ข่าวนี้ถ้าไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา ก็อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับหัวอกของผู้ที่เป็นพ่อแม่ เพียงแค่ลูกติดยา ก็จะบ้าตายอยู่แล้ว ซ้ำยังแถมถูกตำรวจตามเล่นงานให้หนักเข้าไปอีก แล้วชาวบ้านตาดำๆ จะหันหน้า ไปพึ่งโรงพัก เพื่อประชาชนได้ที่ไหน?

ถ้าตำรวจ (ไม่ดี) คอยจ้องจะเล่นงานประชาชนอยู่แล้ว

ในกรณีการจับรถกองทัพธรรมมูลนิธิ เมื่อตำรวจเห็นพอมีช่องที่จะเล่นงานได้ โดยเฉพาะขนไม้สัก มาเต็ม คันรถ ตำรวจก็รีบจับคนขับยัดเข้าห้องขังทันที โดยไม่ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ มาตรวจสอบ และให้ เจ้าหน้าที่ ป่าไม้เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาตามขั้นตอน แต่เหยื่อชิ้นใหญ่ รายนี้ท่านตำรวจเล่นเสียเอง ม้วนเดียวจบ

แม้ต่อมาจะมีหลักฐานมายืนยันความถูกต้องทุกประการอย่างไรๆ ก็ตาม เมื่อตกเป็นจำเลยของตำรวจแล้ว ก็ต้องรอเวลาให้ท่านเมตตาทำสำนวนสอบสวนสั่งไม่ฟ้อง แล้วยังต้องทำการขออนุมัติเห็นชอบ จาก นายอำเภอ แล้วยังต้องผ่านเรื่องไปยังท่านอัยการจังหวัด และสุดท้ายก็ต้องผ่านเรื่อง ไปยังท่าน ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งต้องใช้เวลากันร่วมนานนับเดือนกว่าที่รถจะออกจากโรงพักได้ และขอยืนยันว่า ที่ผ่านมา ทุกขั้นตอน ทางราชการท่านอำนวยความสะดวกให้อย่างดี และพยายามเร่งรัดให้อย่างเต็มที่

การที่รถกองทัพธรรมมูลนิธิถูกจับ เพราะไปขนไม้สักที่ได้รับบริจาคมา ๒ คัน จึงเป็นกรณีศึกษา ที่น่าจะมี ชาวบ้าน ได้รับความเดือดร้อน แบบเดียวกันอีกไม่ใช่น้อย

บทสัมภาษณ์ผู้ได้รับความเดือดร้อนเหล่านี้ น่าจะสะท้อนอะไรๆ ได้หลายอย่างในสังคมไทย



ประสบการณ์คนขับ
ที่ถูกจับเข้าห้องขัง

# ไปขนไม้ที่สุพรรณฯ รถออกเวลาเท่าไหร่?
รถออกประมาณ ๖ โมงกว่าๆ ตอนเย็นของวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ครับ แต่ตอนออกมา หลักฐานยังได้ ไม่ครบ เพราะรถไปรอตั้ง ๓ วัน ก็ยังไม่ได้เอกสารทั้งหมด แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะให้รออีก ๓ วัน เพื่อหัวหน้า ป่าไม้เซ็น แต่ว่าลุงหนึ่งเดียวบอกว่า เอกสารมีให้ชุดหนึ่ง คือรายละเอียดของไม้ ว่าเป็นสวนป่า ถ้าเจอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ให้ยืนยันว่าเป็นไม้ ที่ถูกต้อง เพราะมีการตีตราด้วยว่า เป็นหลักฐานสวนป่า

# วิ่งมาถึงไหนจึงถูกจับ?

วิ่งมาถึงถนนเส้นรอบเมืองจะเข้าปากช่องครับ เยื้องปากช่องก่อนจะถึงสีคิ้ว ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทางหลวง ส่องไฟฉาย ตอนแรกก็ขับรถเลยไปก่อน ผมก็นึกว่าไม่ใช่รถผมครับ ตอนนั้นเวลาตีหนึ่งกว่าๆ เขาก็ส่อง ไฟฉาย ให้จอดรถผมก็เลยจอด แล้ว สมณะจิรัสโสก็ลงไป ผมก็ตามลงไป

# ตำรวจเขาว่าอย่างไรเมื่อเขาเห็นสมณะ?
พอเห็นสมณะลงไปตำรวจก็บอกว่า "พระไม่ต้องลงมา คนขับนะลงมา" ขณะที่พูดกันนั้นตำรวจ ยังอยู่ในรถ ตำรวจพูดไม่น่าฟังกับสมณะว่า "เป็นพระมายุ่งอะไรกับไม้ เป็นพระก็น่าจะอยู่วัดโน้นนะ" ท่านสมณะ ก็บอกว่า "ไม่ยุ่งได้อย่างไรเป็นไม้ที่โยมเขาถวายมา รถก็เป็นรถของวัด" แล้วตำรวจก็บริภาษออกมาว่า "ขี้โลภ กิเลส บวชแล้วมายุ่งอะไรด้วย เขาถวายก็ให้เขาถวายไปถึงวัดโน้นสิ ต้องมาไปรับไปส่งอะไร อ้ายอย่างนี้ ผมเล่นมาเยอะแล้ว ที่มานั่งเป็นยันต์กันผีเนี่ย"

ท่านสมณะก็บอกว่า "อาตมาไม่ได้มานั่งเป็นยันต์กันผี มาคุมไม้เพราะมีหน้าที่ไปรับมาจากโยม และรถก็เป็น รถของวัด อาตมาก็อยู่วัดนี้ ชื่อก็มีเซ็นอยู่ในใบรับรองนั้น มีอยู่มีชื่อของคนขับและอาตมาก็มีชื่อเป็นคนคุมไม้ และ มีชื่อของโยมผู้ให้ก็มีอยู่"

ตำรวจหยุดและดูเอกสาร อีกคนหนึ่ง ก็หาวิธีคงจะคิดว่าพูดดุๆ อย่างนี้คงไม่ได้เรื่องแน่ เลยพูดดีๆ ว่า "ความจริง ไม้นี้ผมก็รู้ว่ามันไม่ผิดหรอก แต่มีผู้แจ้งมา ผมขอตรวจหน่อยก็แล้วกัน" ก็เปิดผ้าใบ ไม้ก็มีตรา เขาก็เลยบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขอเอาไปชั่ง"

พอไปชั่งรถก็ไม่เกินเรื่องน้ำหนัก ผมคิดว่าเขาคงหาวิธีเอาผิด ก็เอารถไปกองกำกับการตำรวจทางหลวงที่ ๔ แล้วเขาก็บอกกับหลวงพ่อว่าหลวงพ่อพักได้เลย ผมขอเวลานิดเดียว แล้วเขาก็พาผมไปหาเจ้าหน้าที่ ที่อยู่ป้อม ว่าหัวหน้าอยู่ไหมเขาเข้าไปในห้อง แล้วก็ออกมาหาผมแล้วบอกว่าเราไม่มีใบเบิกทาง เอกสาร ไม่ครบ ผมก็รู้สึกมันก็ไม่มีจริงๆ แต่ไม้มันก็ไม่ผิด ตราก็มีจริงๆ เขาก็รู้อยู่ว่าไม้มันถูกต้อง

# แล้วทำไมเขาถึงเอาเราเข้าห้องขังล่ะ?

พอเขียนอะไรเสร็จเขาก็เอาไปที่ สภ.อ. ปากช่องครับ ก็ไปแจ้งเรื่อง ให้ร้อยเวรมาดูว่าไม้ที่รถ เป็นไม้สักจริง หรือไม่ เขาก็มาเปิดดู

# แล้วเขาเห็นไหมว่าไม้ตีตรา?
ครับเขาเห็นไม้ตีตรา แต่เขาก็ให้ผมไปอยู่ในห้องขัง และให้สมณะนอนอยู่ข้างนอก ช่วงนั้นมันก็ประมาณ ตีสอง เกือบตีสาม กว่าจะได้ออกมาจากห้องขังอีกที ประมาณ ๕ โมงเย็น ก็มีญาติธรรม ทางปากช่อง มาประกันตัว ก็เดินเรื่องทั้งวัน เพื่อหาเงินสด ๑ แสนบาทมาประกันตัว

# รถถูกยึดอยู่ที่โรงพักกี่วัน?
ประมาณ ๕-๖ วัน แล้วให้ไปเก็บไว้ที่ป่าไม้ตอนนั้นสารวัตรเจ้าของเรื่องเขาเรียกให้ตำรวจป่าไม้ เข้าไปหาเขา ที่ห้องทำงาน ตำรวจป่าไม้ ก็ไม่ยอมไป เขาก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะ จนกระทั่งสารวัตรออกมาแล้วมาพูดกัน ให้เรา ได้ยินด้วย พอพูดกันเราถึงรู้ เอากฎหมายมาอ่านให้ฟังด้วย ว่ามันไม่ต้องเกี่ยวข้องกับตำรวจเลย มีแต่ตรา อันนั้น อันเดียว ก็ใช้ได้แล้วหนังสืออะไรมันครบอยู่แล้ว เป็นหลักฐานที่พอแล้วไม่ต้องเอาใบเบิกทาง เพราะเป็นไม้ ปลูกสวนป่า ไม่ใช่ไม้ป่าธรรมชาติ สารวัตรก็ยังไม่เชื่อ อยากจะได้หลักฐาน ก็เปิดกฎหมาย อ่านให้ฟังเลย ตรงนั้นชัดเจน ทนายรินไท ก็ขออันนี้มาอัดสำเนา

ความจริงเราถูกจับตั้งแต่วันอังคาร มีรองอธิบดี มีเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ทางโน้น เขาก็ยืนยันว่าเป็นไม้ที่ ถูกต้อง ตำรวจ ไม่มีหน้าที่แจ้งข้อหากับเรา ต้องให้ป่าไม้มาแจ้งข้อกล่าวหาเราอีกทีหนึ่ง แต่ตำรวจจับเองแจ้งเอง เอาคนของเรา เข้าห้องขัง เขาก็คงจะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรหักล้างคำกล่าวหาที่ตั้งไว้ผิดแล้ว แล้วก็ปล่อย ให้เรื่องคามาเรื่อยๆ ตำรวจป่าไม้บอกแล้วว่า ไม้ไม่ผิดก็รู้อยู่ เมื่อเอกสารอะไรไม่เพียงพอ ก็กักรถไว้ได้ แล้วก็เรียก ป่าไม้ไปตรวจดูว่าเป็นอย่างไร แต่นี่ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นไม้ผิด ไม้ถูก จับไปเลยเป็นผู้ต้องหาไปเลย มันไม่ถูก ป่าไม้เขาพูดอย่างนี้

# แล้วหินลือเป็นอย่างไรบ้างอยู่ในห้องขัง?
ตอนแรกที่เดินเข้าไปก็มีประตูสองประตูก่อนจะถึงห้องขัง ก็คิดสงสัยว่าเขาจะให้ไปอยู่ในห้องพัก หรือไปอยู่ ในห้องขัง เปิดประตูแรกก็เป็นห้องพักมีผ้าห่มมีอะไร แต่ไม่ให้นอน เปิดประตูสองก็เจอห้องขังครับ ก็คิดว่า โดนแน่ๆ เห็นคนอยู่ในห้องขัง เมาแล้วขับเขาก็อยู่ข้างใน เล่นการพนัน ขโมยมอเตอร์ไซค์ พอผมเข้าไป เขาก็ถามว่า ไปโดนคดีอะไร ผมก็บอกว่าขนไม้สักให้วัด ใบเอกสารไม่ครบ เขาก็บอกว่า ขนให้วัด ก็ยังมา โดนจับอีก เขาก็ท้วงว่า ตำรวจนี้แย่ อยู่ในห้องขังก็นอนไม่หลับครับ คนที่อยู่ในห้องขัง เขาก็เอาผ้าห่ม เอาน้ำมาให้ เขาก็ต้อนรับดีครับ ก็นั่งคิดไปเรื่อยๆ ว่าทางวัดจะมาช่วยเมื่อไหร่ พอดีท่านติกขวีโร ก็โทร
ให้ญาติธรรม ทางปากช่องมาประกันตัว ก็โล่งใจมีกำลังใจนั่งรอ

หมายเหตุรถกองทัพธรรมถูกจับกุมในครั้งนี้ เหมือนๆ กับพวกเราไปขนเฮโรอีน ทั้งๆที่เป็นเรื่องของการกุศล และ ถูกต้องมาแต่ต้น แต่ระบบอำนาจที่มอบหมายให้ข้าราชการ ทำให้คนผิดไปหมดแม้จะเสียสละ หรือ จะตั้งใจดีแค่ไหนก็ตาม เริ่มจากกว่าจะได้เอกสารทางป่าไม้มาให้ครบ รถจะต้องไปจอดรอกันยาวนาน (แล้วแต่ เจ้าหน้าที่จะดลบันดาล) และยิ่งมาเจอด่านตำรวจ ก็ยิ่งเจอข้อหาหนักร้ายแรงกว่าเก่า เมื่อพบว่า เป็นไม้สัก เต็มคันรถ (ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่ เป็นไม้ท่อนเล็กๆ) ยังไงๆ ก็ต้องจับกันไว้ก่อน ถึงยังไงๆ ก็ต้องหาที่ผิด กันจนได้ แม้งานนี้จะมีผู้ใหญ่หลายๆ ฝ่าย มาช่วยดูแลกำชับกำชา ให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรม และ เจ้าหน้าที่ เกือบทุกคนก็ปฏิบัติต่อพวกเราอย่างดี พูดเหมือนว่า จะช่วยพวกเราอย่างเต็มที่ แต่กว่ารถ จะหลุดพ้น จากคดีที่ร้ายแรงพอๆ กับขนเฮโรอีน ก็ต้องเสียเวลาตั้งแต่ต้นเดือน (๕ ก.ค.) จนเกือบ ปลายเดือน (๒๗ ก.ค.) ทำให้นึกถึงประชาชนตาดำๆ และผู้บริสุทธิ์อีกมากมาย เขาจะต้องกลายเป็น คนผิดทันที กับระบบที่ทำให้คนผิดไว้ก่อน ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจ ก็ไม่ต่างอะไรกับราชสีห์ ที่จะกิน หรือ ปล่อยลูกแกะ ยังไงก็ได้ตามอำเภอใจ เพราะจะเล่นเอาผิดกันอย่างไรก็ได้อยู่แล้ว!

# บทสรุปของทนายความรินไท มุ่งมาจน กรณีรถกองทัพธรรมถูกจับ
เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เวลาประมาณ ๐๑.๓๐ น. รถกองทัพธรรมได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง จับกุม โดยมีนายหินลือเป็นผู้ขับรถ และท่านสมณะนั่งมากับนายหินลือด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ได้แจ้งความ กล่าวโทษว่า นายหินลือขับรถบรรทุกไม้โดยไม่มีใบเบิกทาง นายหินลือต้องไปนอนในห้องขัง หนึ่งคืน ญาติธรรมจึงได้ประกันตัวนายหินลือออกมา โดยใช้เงินสดจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทวางประกันตัว

รถกองทัพธรรมถูกจับเพราะบรรทุกไม้สักจำนวน ๒๕๑ ท่อน จากสวนป่าของนายหนึ่งเดียว ที่ได้บริจาค ให้แก่ราชธานีอโศก เป็นไม้สักที่ถูกต้องตามกฎหมายสวนป่าคือ พระราชบัญญัติสวนป่าพุทธศักราช ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ประชาชนผู้ปลูกไม้ป่า ให้ได้รับสิทธิไม่ต้องเสียค่าภาคหลวง และ ไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎเกณฑ์บางประการ ตามที่กำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติป่าไม้ เมื่อกฎหมาย มีเจตนา ให้สิทธิต่างๆ แก่ประชาชนผู้ปลูกสร้างสวนป่า เพื่อให้เกิดสวนป่าเต็มแผ่นดินเป็นคุณค่าของประเทศชาติ

เมื่อมีการเคลื่อนที่ไม้สักถูกกฎหมายออกจากสวนป่าของนายหนึ่งเดียว จากจังหวัดสุพรรณบุรี และมาถูกจับ ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพราะไม่มีใบเบิกทาง ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ที่มีเจตนาดี เห็นว่าเป็นไม้สวนป่าของตนที่ถูกกฎหมาย ตนก็ย่อมมีสิทธิที่จะนำไม้สักของตน ไปให้ใคร ก็เป็นสิทธิของตน แต่เมื่อนำไม้สักเคลื่อนที่ไปส่งกลับถูกตำรวจจับเช่นนี้ไม่เป็นการลิดรอนสิทธิ เกินไปหรือ เมื่อเป็นไม้ที่ถูกกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทราบแต่ก็ยังจับ จะให้ประชาชนเข้าใจอย่างใด ในการกระทำ ตามหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กฎหมายผิดพลาด หรือผู้ใช้กฎหมายไม่เข้าใจ เจตนาที่แท้จริง
ของกฎหมาย กันแน่ ประชาชนได้รับความเสียหายเต็มๆ เช่นนี้จะแก้ไขอย่างใด

เพื่อมิให้เกิดเหตุขึ้นอีก ประชาชนผู้ปลูก สวนป่าเข้าใจว่าตนไม่ผิด เพราะเป็นการสร้างประโยชน์ มิได้ทำ ความเดือดร้อน เสียหายให้แก่ผู้ใด และเป็นไม้สักถูกกฎหมายแท้ๆ

เมื่อรถกองทัพธรรมถูกจับได้ ๕ วัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ตามเจ้าพนักงานป่าไม้มาพิสูจน์ว่าเป็นไม้สัก ถูกกฎหมายหรือไม่ พอเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เห็นสภาพไม้ ก็รู้ทันทีว่า เป็นไม้ สวนป่า ที่ถูกกฎหมาย และพูดว่า น่าจะบอกให้ มาพิสูจน์ตั้งแต่วันแรกที่จับ

เมื่อเป็นไม้ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ป่าไม้จะเป็นผู้แจ้งความว่ากระทำความผิดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งความจับกุมไปแล้ว ก็ไม่สามารถปล่อยรถ กองทัพธรรม และจำเป็นต้องยึดรถ กองทัพธรรม ไว้ที่ป่าไม้จนกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำคดีเสร็จ และ ส่งอัยการ เมื่อเรื่องเสร็จ จึงจะคืนรถ กองทัพธรรมให้

เหตุที่เกิดความเสียหาย เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งความจับกุม ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าเป็นไม้สวนป่าถูกกฎหมาย โดยอ้างว่า ทำตามหน้าที่ เมื่อเป็นการทำ ตามหน้าที่ แต่การกระทำนั้น ทำให้ประชาชน เดือดร้อนเสียหาย เช่นนี้ จะยังเป็นสิ่งที่สมควร กระทำอีกหรือ

ถ้าประชาชนมีเจตนาทุจริตและเป็นไม้ผิดกฎหมายด้วย ตำรวจก็สมควรรีบแจ้งความจับกุมทันที แต่กรณี ตาม พระราชบัญญัติสวนป่า ที่ได้ออกกฎหมายนี้ขึ้นมา เพื่อจุดประสงค์ จะช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ แก่ประชาชน ให้ได้รับความสะดวก เช่น การตีตราก็ให้ประชาชนที่ได้รับอนุญาตสามารถตีตราประทับ ไม้ได้เอง และมีหนังสือ ให้ประชาชน สามารถ ทำบันทึก รายละเอียด แจ้งปลูกแจ้งตัดได้เอง เพื่อไว้เป็น หลักฐาน รับรองความถูกต้อง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ได้ชี้แจงว่า ถ้ามีการตีตราประทับ และมีหนังสือ รับรอง การแจ้ง เช่นนี้ ก็จะไม่แจ้งเอาความผิด ตามพระราชบัญญัติสวนป่า ซึ่งคนละเรื่องกับ พระราชบัญญัติ ป่าไม้ แต่ตำรวจเห็นหลักฐานที่ชาวบ้าน เขียนเอง โดยไม่มีลายเซ็น และตราประทับ ของทางราชการ เลยเข้าใจผิดไปว่าใช้รับรองความถูกต้องไม่ได้

เหตุการณ์นี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้าย และเป็นบทเรียนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคน ก่อนจะทำหน้าที่ แจ้งความ จับประชาชน ต้องมีจิตสำนึกที่ดี ก่อนมีการจับ และการจับ ประชาชนนั้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเป็น ประโยชน์แก่ชาติ เป็นการทำงานเพื่อชาติ มิใช่ทำงานเพราะตนมีอำนาจที่จะกระทำ แต่ผลเสียหาย จะเกิดอย่างใด ไม่สน เช่นนี้ ตำรวจจะเป็นที่พึ่ง ของประชาชนได้หรือ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้หลักผู้ใหญ่ ของบ้านเมือง จะได้ช่วยกัน ปลูกสร้างจิตสำนึก ที่ดีต่อกันเพื่อให้ตำรวจเป็นที่พึ่ง ของประชาชนต่อไป



เปิดใจเจ้าของสวนป่าสักที่บริจาคให้วัด

นายหนึ่งเดียว ชาวหินฟ้า อาชีพ ข้าราชการครูบำนาญ
ตำแหน่งสุดท้าย ครูโรงเรียนบ้านบ่อน้ำพุ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เป็นครู ๓๗ ปี

# คิดอย่างไรถึงปลูกป่าไม้สัก ?
เขาโฆษณาเมื่อปี ๓๖ ผมเห็นโฆษณา และมีที่ดินอยู่ก็เลยคิดปลูก ปลูกที่นาของตนเองและแม่บ้าน เป็นพื้นที่ ประมาณ ๕ ไร่ ใช้เวลาปลูก ๑๒ ปี

# มีความดำริอย่างไรถึงบริจาคไม้ให้วัด ?
เมื่อก่อนนี้มีคนมาติดต่อซื้อผมก็บอกขายให้เขา คนซื้อวางเงินมัดจำแล้ว ผลที่สุดเขาผิดพลาด ผมก็เลย คืนเขา และก็นึกว่าเราก็แก่แล้ว เพราะฉะนั้น ถวายวัดดีกว่า ดีกว่าขาย ขายได้เงิน ๗ - ๘ หมื่น ใช้ประเดี๋ยวเดียว ก็หมด ไม่มีประโยชน์สำหรับผมก็เลยเอาถวายวัด

# เคยตัดถวายวัดมากี่ครั้งแล้ว?
ที่ปฐมอโศกกับบ้านราชฯ ๒ ครั้งแล้ว

# ตอนขนไปบริจาคที่ปฐมอโศกมีปัญหาไหม
ไม่มีครับ

# แล้วมีปัญหาที่ราชธานีอโศกเพราะเหตุใด?
ก็เป็นเรื่องเอกสาร พอเขามาตรวจตอนเช้าวันศุกร์ที่ ๒ ก.ค. ถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับสำนักงาน กันหมด แล้วเขาโทรไปหาผมบอกว่า คุณลุงครับ พอผมพิมพ์เสร็จ เจ้านายไปแล้วก่อนเวลาเลิก ของทาง ราชการ เขาบอกว่าเจ้านายไปแล้ว และขอเปลี่ยนเป็นวันจันทร์ ผมก็บอกว่า วันจันทร์ก็ได้ แต่ต้อง ตอนเช้าหน่อย เพราะรถมาจาก จังหวัดอุบลราชธานี จะต้องกลับ และรถของเราไม่ใช่รถมหาเศรษฐี ที่จะจอดนิ่งๆ และงานที่บ้านราชธานีอโศกก็จะต้องทำอยู่เรื่อยๆ ต้องอาศัยรถสิบล้อ ถ้าหากช้า จะทำให้งาน ส่วนอื่นเสีย และอีกสักพักเขาก็โทรบอกว่า ขอเปลี่ยนเป็นวันที่ ๗ ผมบอกว่าทำไมทำงานช้าอย่างนี้ น่าจะได้ก่อน พอถึงวันจันทร์เราก็รอไม่ไหว เพราะฉะนั้นผมก็เอาเอกสารชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นหลักฐานบอกว่า ไม้นี้มิใช่ไม้ลัก แต่เป็นไม้ที่ปลูกในที่เอกชน ตามเอกสารที่ผมให้หลวงพ่อจิรัสโสมา พอรถถูกจับก็โทรศัพท์ ไปหาผม ตอน ๕ ทุ่มเศษๆ วันอังคารเช้าผมก็โทรบอกคุณประเสริฐ เจ้าหน้าที่ป่าไม้สุพรรณฯ ว่าถูกจับแล้ว ถูกจับต่างจังหวัดสุพรรณเสียชื่อนะครับและวันอังคารนั่นแหละครับ เจ้าหน้าที่จากป่าไม้จังหวัด ที่ไปตรวจ และเป็นคนถ่ายรูป ก็เอาเอกสารไปให้ผม เมื่อตอน ๑๓.๓๐ น. แล้วผมก็อาศัยรถเขาไปที่ร้านส่งแฟ็กซ์ ได้ส่งแฟ็กซ์ส่งมาให้ตำรวจที่ปากช่อง แต่ว่าตำรวจปากช่องเขายังไม่เชื่อในเอกสารแฟ็กซ์ที่ส่งไป เขาบอกว่า เอกสารนี้เป็นเอกสารของเอกชนทั้งนั้นและแม้แต่วันที่กระผมไปที่ สภ.อ. ปากช่อง เขาก็บอกว่า ไม่มี ใช้การได้เลย ผมก็บอกว่า สป. ๑๕ มาถึงมือผมวันอังคารเวลา ๑๓.๓๐ น. แต่ว่าใบส่งหมายถึง บัญชี สามท่อนนั้น เป็นสมบัติของข้าราชการ ทางกระทรวงเกษตรฯ กรมป่าไม้มอบให้กับ ผู้มีที่ดินปลูกป่า ซึ่งปรากฏ อยู่ในเอกสาร และก็เมื่อจะทำท่อนแรกใบสุดท้ายฉีกให้ผู้มากับรถ ใบที่สอง เอาไปส่งให้ เจ้าหน้าที่ จังหวัด ใบที่สามติดอยู่กับขั้ว ก็ให้อยู่กับเจ้าของไม้ ครับเป็นอย่างนี้ แม้แต่ที่กระผมส่งไปถวาย ที่ปฐมอโศก ก็ใช้สมุดอย่างนี้เหมือนกัน เพราะสมุดอย่างนี้เขาให้ผมไว้ แต่ทางตำรวจกลับบอกว่า เป็นเอกสาร ของเอกชนทั้งนั้น

# การทำบุญครั้งนี้ที่รู้สึกปิติใจจนสะอึกสะอื้นนี่เพราะอะไร ?
อันนี้ผมไม่ทราบครับ ปิติอันนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนแรก ที่กระผมชี้ให้เลื่อยเขาตัดต้นไม้ต้นแรก พอมันดังแก๊ก ผมก็สะอึกเลย ขนลุกซู่ และก็น้ำตาไหล ผมยืนอยู่คนเดียว พอต้นที่สองก็มีอาการเดียวกัน ผมก็เลยโทรฯ มาหาหลวงพ่อติกขวีโร น้ำตาผมไหลไม่ใช่เพราะความเสียดาย แต่ผมปลื้มใจของผมว่า จากน้ำพัก น้ำแรง ของผม ไม้นี้ไปจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของฝ่ายพ่อผม

# แล้วพอถูกตำรวจจับล่ะ ?
ตำรวจจับนี่เกิดความไม่สบายใจครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ของนครราชสีมาบอกกับตำรวจว่าเอกสาร ถูกต้อง หมดทุกอย่าง ทำไมคุณจึงจับ ตำรวจเขาตอบป่าไม้ว่า ผมไม่รู้ครับ

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๑ สิงหาคม ๒๕๔๘ -


 

ลำดับเหตุการณ์ กรณีรถกองทัพธรรมถูกจับ
วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เวลาประมาณ ๐๑.๓๐ น. รถกองทัพธรรมได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ทำการจับกุมและแจ้งความจับกุมนายหินลือ คนขับรถกองทัพธรรม เป็นผู้กระทำความผิดฐาน “ไม่มีใบเบิกทาง” เพราะนายหินลือ ได้ขับรถบรรทุกไม้สักถูกกฎหมายจำนวน ๒๕๑ ท่อน จากสวนป่า ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นไม้ส่วนป่าของ นายหนึ่งเดียว ได้บริจาค ให้แก่ ราชธานีอโศก

วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เวลาประมาณ ๑๕.๓๐ น. นายหินลือ ได้รับการประกันตัว ด้วยเงินสดจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จากญาติธรรม อำเภอปากช่อง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอำเภอปากช่อง ได้กรุณา อนุญาต ให้ประกันตัว นายหินลือ ในระหว่างการสอบสวน

วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจอำเภอปากช่อง ได้ให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ อำเภอปากช่อง ทำการ ตรวจพิสูจน์ไม้สักว่า เป็นไม้ที่ถูกกฎหมายหรือไม่ พอเจ้าหน้าที่ป่าไม้เห็นสภาพไม้ก็รู้ทันทีว่าเป็นไม้สวนป่า ที่ถูกกฎหมาย และพูดว่า น่าจะบอกให้มาพิสูจน์ ตั้งแต่ วันแรกที่จับ เมื่อเป็นไม้ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ป่าไม้ จะเป็นผู้แจ้งความ ว่ากระทำความผิดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ ตำรวจ แจ้งความจับกุมไปแล้ว ก็ไม่สามารถปล่อยรถกองทัพธรรม และจำเป็นต้องยึดรถ กองทัพธรรม ไว้ที่ป่าไม้ จนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำคดีเสร็จ และส่งอัยการ เมื่อเรื่องเสร็จ จึงจะคืนรถกองทัพธรรมให้ เหตุที่ต้องเกิดความเสียหาย เพราะเจ้าหน้าที่ ตำรวจได้แจ้งความ จับกุม ทั้งๆ ที่ตนก็รู้ว่าเป็นไม้สวนป่า ถูกกฎหมาย โดยอ้างว่า ทำตามหน้าที่

วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจอำเภอปากช่อง ได้ทำสำนวนคดีเสร็จ พิจารณาแล้วมีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” และส่งเรื่องต่อ ให้นายอำเภอปากช่อง ทำการตรวจสอบ พิจารณา นายอำเภอปากช่อง พิจารณา แล้ว มีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” เจ้าหน้าที่ตำรวจ อำเภอปากช่อง จึงได้ส่งเรื่อง และสำนวน ให้เจ้าพนักงาน อัยการ จังหวัด อำเภอปากช่อง ตรวจสอบพิจารณา และเจ้าพนักงานอัยการจังหวัด แจ้งว่า “จะทำการพิจารณา ให้เสร็จ ในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม”

วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เจ้าพนักงานอัยการ เจ้าของคดีแจ้งว่า “ยังไม่ได้พิจารณา แต่จะพิจารณา ให้เสร็จวันนี้ และจะเสนอ เจ้าพนักงานอัยการจังหวัด ให้ปล่อยรถกองทัพธรรม เพราะของกลางเป็นของถูกกฎหมาย”

วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เจ้าพนักงานอัยการเจ้าของคดีแจ้งว่า “มีปัญหาไม้สักตามบันทึกการจับกุม มีจำนวน ๒๘๐ ท่อน แต่ในรายการ บัญชีไม้สัก มีจำนวน ๒๕๑ ท่อน จำนวนไม้สักที่ถูกกฎหมาย จึงไม่ตรงกัน และไม่สามารถปล่อยรถ กองทัพธรรม ไปก่อนได้ เพราะต้องตรวจสอบว่า ไม้สักที่มีจำนวน ไม่ตรงกันนั้น เป็นไม้สักผิดกฎหมายหรือไม่” จำเป็นต้องส่งสำนวน กลับไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ ป่าไม้ ตรวจพิสูจน์กันใหม่ และให้ยืนยันว่า ส่วนไม้สักที่มีจำนวน ๒๙ ท่อน เป็นไม้สักส่วนเกินนั้น เป็นไม้สัก ผิดกฎหมายหรือไม่”

ความคิดเห็นของทนายรินไท มุ่งมาจน (ผู้ใหญ่บ้านราชธานีอโศก) ในกรณีไม้สักจากสวนป่า

การปลูกสร้างป่าไม้ เป็นเรื่องที่รัฐให้การสนับสนุน ให้ประชาชนได้ปลูกสร้างสวนป่าให้มากๆ รัฐจึงได้ตรา กฎหมาย “พระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนประชาชน ที่ปลูกสวนป่า ให้ได้รับความมั่นใจว่าไม้สักที่ปลูก เป็นไม้ถูกกฎหมาย ประชาชน มีสิทธินำไปใช้ประโยชน์ได้”

กรณีนายหนึ่งเดียว ได้ปลูกสร้างสวนป่าไม้สัก โดยรัฐได้ส่งเสริมให้ปลูก เมื่อไม้สักมีขนาดต้น โตพอที่จะ ตัดได้ เพื่อใช้ประโยชน์ ให้สูงสุด จึงได้ทำการตัดไม้สัก ที่ถูกกฎหมายจำนวน ๒๕๑ ต้น เพื่อทำบุญบริจาค ให้พุทธสถานราชธานีอโศก นำไปใช้ประโยชน์ แต่นายหนึ่งเดียว ต้องเศร้าใจ เพราะไม้สักที่ตนบริจาค ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม และยึดรถพร้อมไม้สัก เป็นของกลาง

รถบรรทุกพร้อมไม้สัก ที่บรรทุกมา เป็นสิ่งถูกกฎหมาย แต่กลับถูกยึด เป็นของกลาง ที่มีการกระทำผิด กฎหมาย ตามความเห็น ของผู้รักษากฎหมาย การกระทำเช่นนี้ให้ความเป็นธรรม กับรถบรรทุก พร้อมไม้สัก ที่ถูกกฎหมายแล้วหรือ ไม้สักจากสวนป่า เป็นไม้ถูกกฎหมาย แต่การปฏิบัติตามหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้รักษากฎหมาย ได้พยายามหาหลักฐานให้ได้ว่า ของถูกกฎหมายนั้น ยังมีส่วนใด ผิดกฎหมายหรือไม่ จึงได้ทำการยึดไว้ เพื่อรอพิสูจน์ ส่วนผลที่ตามมา ประชาชนจะเสียหายอย่างใด ไม่สนใจเช่นนั้นหรือ ตามหลัก ความจริง ของที่ถูกกฎหมาย และมิได้เป็นส่วนร่วม กระทำผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมไม่มีอำนาจ ยึดไว้เป็นของกลาง เช่น รถบรรทุก ไม้สักที่ถูกกฎหมาย จากสวนป่าเคลื่อนที่นำไปส่ง ต่างจังหวัด แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง จับกุม โดยตั้งข้อหาว่า “ไม่มีใบเบิกทาง” เพราะคนขับรถ มิได้นำใบเบิกทาง ติดรถมาด้วย เช่นนี้รถบรรทุกไม้สัก ถูกกฎหมาย ไม่ได้มีส่วนร่วมกระทำความผิด กับคนขับรถบรรทุกเลย มันเป็นความผิดส่วนตัว ของคนขับรถบรรทุกเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐ กลับยึด รถบรรทุก พร้อมไม้สัก เป็นของกลาง แต่ถ้าจะยึดไว้ก่อน เพื่อรอพิสูจน์ว่า ไม้สักนั้น เป็นไม้ถูกกฎหมาย หรือไม่ ก็มีสิทธิ์ยึดไว้ก่อนได้ เพื่อรอเจ้าหน้าที่ป่าไม้ มาตรวจพิสูจน์ เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้ตรวจพิสูจน์แล้ว ยืนยันว่า เป็นไม้ถูกกฎหมายทั้งหมด เช่นนี้ก็สมควรปล่อยรถบรรทุกไม้สัก คืนให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ ไปใช้ ประโยชน์ได้แล้ว ส่วนที่จะเอาเรื่อง คนขับรถบรรทุก เพราะไม่ได้นำบัญชีรายการกำกับไม้ (ตำรวจเรียกว่า ใบเบิกทาง) ติดรถบรรทุกมาด้วย ทางกฎหมาย ก็ดำเนินคดีไปตามกฎหมาย

แต่เรื่องกลับเป็นว่า ยึดรถบรรทุกพร้อมไม้สักถูกกฎหมาย ไว้เป็นของกลาง จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และนายอำเภอ ได้พิจารณาแล้ว มีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ และได้นำเรื่องเสนอ เจ้าพนักงาน อัยการจังหวัด อำเภอปากช่อง พิจารณา ในวันเดียวกันนั้น แต่พนักงานอัยการเจ้าของคดี กลับพิจารณาถึงจำนวนไม้สักถูกกฎหมาย มีจำนวนตามที่เจ้าหน้าที่ ตำรวจทางหลวง แจ้งความไว้ มีจำนวน ๒๘๐ ท่อน (เพราะไปนับจำนวนกิ่งไม้ท่อนเล็กท่อนน้อย รวมเข้าไปด้วย) แต่เอกสารบัญชีรายการกำกับไม้ มีจำนวน ๒๕๑ ท่อน ซึ่งเป็นจำนวนของต้นไม้) จึงส่งเรื่อง กลับไปพิสูจน์กันใหม่

การทำงานของผู้มีหน้าที่ รักษากฎหมาย เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน พยายามพิสูจน์ไม้สัก ที่ถูกกฎหมาย จะให้เป็นไม้สัก ที่ผิดกฎหมายได้หรือ เมื่อไม้สักของกลางเป็นไม้สักถูกกฎหมาย มิใช่ไม้เถื่อน หรือไม้ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย ก็สมควร คืนของกลาง ตั้งแต่แรก ที่ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อำเภอปากช่อง ยืนยันว่า เป็นไม้สักถูกกฎหมายทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘ จะยังยึด รถบรรทุก พร้อมไม้สัก ถูกกฎหมายไว้อีกหาได้ไม่ แต่เรื่องนี้ถึงพนักงานอัยการจังหวัด อำเภอปากช่องแล้ว ก็ยังคง ยึดของกลาง ที่อ้างไว้อีก ทั้งๆ ที่ต้นเรื่องคือ ความผิดของคนขับรถบรรทุก มิใช่ความผิดของรถบรรทุก พร้อมไม้สัก แต่ปรากฎว่า เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เจ้าพนักงานตำรวจ อำเภอปากช่อง ได้มี คำสั่งปล่อย ผู้ต้องหา (คนขับรถ) ไปแล้ว เพราะพิจารณาแล้วว่า ไม่ต้องรับผิด จึงให้ถอนหลักทรัพย์ คืนหลักทรัพย์ ที่ประกันตัวผู้ต้องหา ให้แก่ผู้ทำประกันไป

แต่รถบรรทุก พร้อมไม้สักถูกกฎหมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย ไม่มีอำนาจยึดไว้ กลับยังคงถูกยึดไว้ เป็นเวลานับเดือน เพื่อรอพิสูจน์ ความถูกกฎหมาย การกระทำของ ผู้รักษากฎหมายเช่นนี้ เป็นการกระทำ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข ให้แก่ประชาชน เช่นนั้นหรือ

การที่จำเป็น ต้องนำเหตุการณ์นี้ ออกเผยแพร่ ทาง ทีวี เพราะยังมีไม้สักสวนป่า ถูกกฎหมาย อีกเป็น จำนวนมาก จะได้มิต้อง เกิดปัญหา เช่นนี้ขึ้นอีก ความเสียหายที่เกิดแก่ประชาชน แม้เล็กแม้น้อย ก็ไม่ควร ให้เกิด ผู้รักษากฎหมาย ต้องมีจิตสำนึกที่ดี เพื่อหาทางช่วยเหลือ ประชาชน มิใช่มองหา ช่องทางใดที่ผิด มาเล่นงานประชาชน เมื่อทุกฝ่าย มีจิตสำนึกที่ดีต่อกัน ความเสียหาย ก็จะไม่เกิดขึ้น บ้านเมือง ก็จะยิ่งเจริญ เพราะมีจิตสำนึก ที่ดีต่อกัน.