ชีวิตนี้มีปัญหา๑ ซึ่งการทำไว้ในใจโดยแยบคาย-สติสัมปชัญญะ-การสำรวมอินทรีย์ นี่แหละคือ "การปฏิบัติ" ให้เกิด สัมมาสังกัปปะ -สัมมาวาจา-สัมมากัมมันตะ-สัมมาอาชีวะ-สัมมาวายามะ-สัมมาสติ อันเป็นการปฏิบัติ "มรรค อันมีองค์ ๘" แท้ๆนั่นเอง และก็คือ สำรวมอินทรีย์-โภชเนมัตตัญญุตา -ชาคริยานุโยคะ อันเป็นการปฏิบัติ "จรณะ ๑๕" ไม่ต่างกันเลยอีกด้วย และถ้าจะแถมว่า นี่ก็เป็นการปฏิบัติ "โพธิปักขิยธรรม" คือ "สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔" แท้ๆ ก็ไม่ผิดเลย และแม้สูตรอื่นๆอีกมากมาย ที่เป็นหลัก ปฏิบัติธรรมของพุทธ ก็ใช่ด้วย หากผู้ปฏิบัติ "ไตรสิกขา" จนสามารถมีอธิปัญญาหรือมี"วิชชา" รู้จักรู้แจ้งรู้จริง สภาวะต่างๆ ที่เป็นสัจจะขั้นปรมัตถธรรม เพราะการปฏิบัติธรรมหรือการปฏิบัติใดๆแม้มิใช่การปฏิบัติธรรมก็ตาม ก็คือ คนได้จัดการกับ "กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม"ของตน นั่นเอง มีเท่านี้เท่านั้น ในพฤติหรือในความเป็นไป ทั้งหมด ทั้งมวล ของชีวิตคน หรือมนุษย์ ๓ กรรมเท่านี้เท่านั้นจริงๆ ไม่มีกรรมอื่นๆ ใดๆ อีกแล้วในพฤติของความเป็นคน และ แม้ใครจะไม่จงใจ สำรวม กายกรรม - วจีกรรมของตนก็ตาม "กรรม" ทั้งหมดก็มี "ใจหรือจิต" นั่นแหละเป็น "ประธาน" อยู่ดี ทุกคน และทุกกรรม ไม่ละเว้น สัจจะนี้พระพุทธเจ้าเอง เป็นผู้ทรงยืนยันไว้ว่า "มโนปุพพังคมา ธัมมา" ซึ่งหมายความว่า "จิตเป็นประธาน หรือ จิตเป็นใหญ่ หรือจิตมาก่อนสิ่งทั้งปวง" ผู้เคยศึกษาก็รู้ๆกันอยู่ทั่วไป ที่คนทั่วไปทั้งหลายรู้สึกว่า กายกรรมของตนก็ดี วจีกรรมของตนก็ดี ที่มันเกิดกิริยา หรือมันเป็นไปโดย อัตโนมัติ หรือโดยตน "ไม่ได้ตั้งใจ" แต่มันก็มีกายกรรม หรือวจีกรรมนั้นๆ เกิดไปตามสามัญ กล่าวคือ เราไม่ได้ จงใจควบคุม กายกรรมนั้น-วจีกรรมนั้นเลย แต่กายกรรมนั้น -วจีกรรมนั้น ก็เป็นไปเอง ก็เป็นไปได้ โดยไม่ได้ ตั้งใจเลย ผู้มีกายกรรมมีวจีกรรมนั้นๆไม่ได้กำหนดที่ใจให้มันเริ่มสั่งกายสั่งวจีให้ทำ แล้วจะว่า ใจ เป็นประธาน ใจเป็น "ต้นตอ" ก่อนอื่นจริงหรือ? ขอยืนยันว่า ใจเป็นประธาน ใจเป็นต้นตอสั่งการจริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้น ไม่มีเท็จเลย ต้องพิสูจน์ โดยการศึกษา และปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิ จนกระทั่ง "อธิปัญญา" พัฒนาขึ้น ถึงขั้นเป็น "วิชชา ๘" แล้วคุณก็จะ รู้แจ้ง เห็นจริง ในความจริง ดังกล่าวนี้ ใจหรือจิตที่สั่งการนั้น มิใช่มีแต่"จิตสำนึกสามัญ"(conscious) เท่านั้น ที่ทำหน้าที่สั่งการ แต่ยังมีชั้นลึก ที่คนสามัญ ยังไม่สามารถรู้จัก หรือยังไม่สามารถหยั่งลง ไปรู้จักมัน คือ "จิตใต้สำนึก"(subconscious) ซึ่งเป็นจิตระดับกลาง และยังมีระดับปลายสุดด้วยคือ "จิตไร้สำนึก" (unconscious) ซึ่งมันก็ทำหน้าที่ สั่งการอยู่อย่างสำคัญยิ่ง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ละเอียดถึงจิตต่างๆ ดังกล่าวนี้ทั้งหมด แล้วนำมาเปิดเผย ในมนุษยชาติ เรียนรู้ปฏิบัติพิสูจน์ เข้าไปหยั่งรู้ตามได้ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ผู้ศึกษาปฏิบัติจนบรรลุธรรม มี"วิชชา ๘" ตั้งแต่"อธิปัญญาในฌาน" จนเป็น "วิปัสสนาญาณ" และ "วิชชา" ข้ออื่นๆ กระทั่ง "อาสวักขยญาณ" จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า กายกรรมก็ดี วจีกรรม ก็ดี ต้องมี "มโนกรรม" นั้นแล เป็น "ตัวเริ่มก่อน หรือมาก่อน" หรือเป็น "ประธาน" หรือ "เป็นใหญ่" ในกรรมใดๆทั้งปวง ดังนั้น จะ"แก้กรรม"ใดๆของคนได้ จึงต้องมุ่งเข้าไปแก้ที่"ต้นตอ" คือ "มโนหรือจิต" เพราะเป็น จุดแรก จุดต้น หรือ "ประธาน" ของกรรมใดๆทั้งหมดของคน พระพุทธเจ้า จึงมีทฤษฎี ให้คนศึกษามุ่งตรงเข้าไป "แก้กรรม" ให้ถึง "ใจหรือจิตวิญญาณ หรือมโน" อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ คือ จนสามารถสัมผัส "ใจหรือจิตวิญญาณ หรือมโน" ชนิดที่มี "การรู้จัก และรู้แจ้ง ในสภาวะจริง" นั้นๆตามความเป็นความมีจริง การ "แก้กรรม" ของชาวพุทธ จึงแก้ได้ด้วยการเรียนรู้และปฏิบัติ จนเปลี่ยนแปลง"กรรม ๓" คือ กาย กรรม-วจีกรรม-มโนกรรม จากทุจริตกรรม เป็นสุจริตกรรมในตนของตนเอง ที่สุดถึง "วิชชาและวิมุติ" มิใช่ว่า จะ"แก้กรรม" ก็วิ่งไปหาอาจารย์ทางไสย ศาสตร์หรือไปหาพระที่ทำไสยศาสตร์ ประกอบพิธี "แก้กรรม" ให้ ตามแบบวิธีไสยศาสตร์ของแต่ละอาจารย์จะพึงทำ นั่นมันเป็นเรื่อง นอกรีตพุทธ เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ แท้ๆ ชาวพุทธไม่น่าจะหลงผิด ไปงมงาย กับพิธีกรรม ไสยศาสตร์แบบนั้นกันเลย โดยเฉพาะพระของพุทธศาสนาแท้ๆที่ทำกันอยู่ทั้งหลาย คือ ผู้ทำลายศาสนาพุทธโดยแท้ หรือไม่ว่าจะเป็น ไสยศาสตร์ ชนิดอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรื่องแค่การ "แก้กรรม" ก็ตาม ขอวิงวอน ทั้งสื่อสารมวลชน ทั้งผู้ใหญ่ ของบ้านเมือง อย่าได้ส่งเสริมกันอยู่เลย ศาสนาพุทธ เสื่อมโทรม จนจะไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว เพราะการกระทำ ไสยศาสตร์ใดๆนั้น มันไม่ใช่ "มรรคอาริยสัจ" มันไม่ได้เข้าไป แก้ทุกข์ที่ถูกทาง มันไม่ได้แก้ "ต้นเหตุอันประเสริฐ" มันเป็นลัทธิของ "เทวนิยม" ยิ่งเป็นพระ ด้วยแล้ว ขืนทำไสยศาสตร์กันอยู่ ก็เป็นการทำ ที่ผิดทางพุทธ นำเอาสิ่งที่ เป็นเรื่องนอกรีต นอกขอบเขต ของพุทธ เข้ามาทำให้คนหลงผิดไปตามๆกัน ด้วยความไม่รู้ บาปแท้ๆ มิใช่บุญเลย ซ้ำพระผู้ทำนั้น ก็ได้เงิน ได้ลาภ แถมเข้าไปอีกด้วย บาปก็ยิ่งหนักหนา เพิ่มเข้าไปอีก ผู้สามารถที่จะ"แก้กรรม"ได้จริง จะต้องศึกษาและปฏิบัติจนกระทั่งมี"อธิปัญญา"ถึงขั้น"วิชชา ๘" ก็จะหยั่งรู้ "จิต-เจตสิก -รูป-นิพพาน" เพราะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง "นามรูป" อันเป็น "นามธาตุ" ในจิตได้ จึงสามารถ รู้จัก "กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน" ที่อยู่ในจิตได้ทั้งหยาบ-กลาง-ละอียด พระพุทธเจ้าตรัสว่า การจะรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง "นามรูป" ได้นั้น ต้องรู้ได้ด้วย "อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ" (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ ข้อ ๖๐) และปฏิบัติ จนดับกิเลส ทั้งสิ้นได้ก็ด้วย ทางอันเอก คือ "มรรค อันมีองค์ ๘" ซึ่งผู้ที่เรียนรู้พุทธศาสนา ต่างก็รู้กันทั้งนั้น นี่คือ "การแก้กรรม" อันวิเศษแท้ของพุทธ นั่นก็หมายความว่า ผู้ปฏิบัตินั้น ได้ปฏิบัติเข้าข่าย จัดการกับ"กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม" ของตน ซึ่งจะปฏิบัติ ตามสูตรใดๆ ดังที่ได้กล่าวถึงมาแล้วก็ดี หากปฏิบัติอย่าง สัมมาทิฏฐิ ย่อมมีมรรคผลแท้ โดยเฉพาะ ได้ปฏิบัติ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วคือ ได้ปฏิบัติให้เกิด สัมมาสังกัปปะ -สัมมาวาจา-สัมมากัมมันตะ -สัมมาอาชีวะ -สัมมาวายามะ -สัมมาสติ หรือได้ สำรวมอินทรีย์- โภชเนมัตตัญญุตา -ชาคริยานุโยคะ หรือได้ปฏิบัติ การทำไว้ในใจ โดยแยบคาย -สติสัมปชัญญะ-การสำรวมอินทรีย์ อันเป็นธรรมะ หมู่ที่ ๒ ของ "อวิชชาสูตร" ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ ธรรมะหมู่ที่ ๒ นี้ เป็นหมู่ธรรมที่เป็นการปฏิบัติแท้ๆ กล่าวคือ "การสำรวมอินทรีย์" ทั้ง ๖ ของตน และ การพากเพียรให้ "สติสัมปชัญญะ" มีประสิทธิภาพยิ่งๆขึ้น พร้อมกับ "การทำใจในใจ หรือ การปฏิบัติ จนสามารถ ทำให้เกิดมรรคผล กันที่ใจ (มนสิการ) โดยแยบคาย หรือ ลงไปถึงที่เกิด คือต้นเหตุ (โยนิโส)" นั้น หากผู้นั้นได้ปฏิบัติ "สติปัฏฐาน ๔ และ โพชฌงค์ ๗" ถูกถ้วนเป็น "สัมมาทิฏฐิ" "สุจริต ๓" อันได้แก่ กายกรรม -วจีกรรม -มโนกรรม ๓ กรรมนี้สุจริต ก็ย่อมเกิดจริง ซึ่งถ้าใครสามารถปฏิบัติจนเกิด "สุจริต ๓" ก็มีคุณภาพถึงขั้นอาริยะ "สติปัฏฐาน ๔" ก็เข้าถึง ปรมัตถ์ "โพชฌงค์ ๗" ก็ถึงซึ่ง..วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส อย่างเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ - เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๑ สิงหาคม ๒๕๔๘ - |