- เสฏฐชน -

รายได้ที่เสีย

เรื่องใหม่ประเด็นสดของประเทศสิงคโปร์ที่น่าสนใจคือ รัฐบาลสร้างบ่อนคาสิโนที่อ่าวมารีน่าเบย์ กับเกาะเซนโตซา เพราะนายกรัฐมนตรี "ลีเซียนลุง" เห็นความจำเป็นที่ต้องตัดสินใจเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ในอดีตปฏิเสธมาโดยตลอด ปัจจุบัน ต้องเปลี่ยนไป ด้วยเจตนานำมาเป็นเครื่องมือดึงดูดนักท่องเที่ยวแข่งกับประเทศเพื่อนบ้าน (มาเลเซีย, พม่า, เขมร, ไทย) โดยเฉพาะ มาเลเซียที่เป็นคู่เปรียบทางเศรษฐกิจหมายเลขหนึ่ง แม้จะต้องทุ่มเงินเพื่อการนี้ ๕,๐๐๐ ล้าน เหรียญสิงคโปร์ คิดป็นเงินไทย ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพราะประเมินว่าจะทำรายได้กลับคืนมาให้สิงคโปร์ ปีละ ๒,๑๐๐ ล้าน ดอลล่าร์ หรือ ๘๔,๐๐๐ ล้านบาท แม้ประชากรสิงคโปร์ทั้งหมดจะมีเพียง ๔ ล้านคนก็ตาม

ข่าวนี้มีผลไปกระทุ้งหัวใจผู้ปกครองบ้านเมืองไทยขึ้นบ้าง และมีแววว่าจะดำเนินเรื่องต่อไปเสียด้วย ในเมื่อสิงคโปร์ กับไทยก็เป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่ามาเลเซีย ข่าวแว่วมาว่าไทยเล็งสถานที่ประกอบการ ประเภทเดียวกันนี้ ที่เกาะภูเก็ต ซึ่งไม่มีข้อกังขาแต่อย่างใดว่า ณ สถานที่นี้เหมาะสมกับการทำธุรกิจกอบโกยเงินตราแค่ไหน ในเมื่อ เกาะภูเก็ตปัจจุบันเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว รายได้ประจำท้องถิ่นจากผลพวงต่างๆ ตั้งแต่อาชีพหลักจากท้องทะเล เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว อีกทั้งคนในสถานที่นั้นก็ประกอบไปด้วยไทย, แขก, จีน, ฝรั่ง เต็มพิกัด อยู่แล้ว

จนกระทั่งวิทยาเขตภูเก็ต มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เตรียมเปิดหลักสูตรคาสิโนล่วงหน้าโน่นเทียว เพื่อให้ ทุกอย่าง ดำเนินสะดวกทั้งด้านวิชาการ และปฏิบัติการ ผนวกถึงวิธีการอื่นๆ ใดๆ ทั้งที่เป็นส่วนตรง ส่วนประกอบร่วม สิ่งผสมปลีกย่อย

สาเหตุด้วยเหตุผลที่สอดคล้องทั้งฝ่ายรัฐ และเอกชน รวมถึงประชาชนผู้มีรสนิยมด้านนี้ ต่างลงเอยตอบรับ ว่าถึงเวลาแล้ว หลังจากที่เคยมีแนวคิด เสนอทางออกในการแก้ปัญหาการเงิน รายได้ภาครัฐ แน่นอนว่ารวมไปถึง สภาพความยากจนของประชาชนระดับรากหญ้าด้วย แต่ความคืบหน้าเป็นไปช้ามาก เพราะมี กระแสคัดค้าน มาโดยตลอดเนื่องจากวิถีชีวิตคนไทย ได้รับการหล่อหลอมจากพุทธศาสนา ซึ่งไม่เคยแนะนำ ให้คนดำเนินชีวิต จมอยู่ในอบายมุข

ไม่แน่ว่า ณ วันนี้ เมื่อข่าวประเทศสิงคโปร์ยืนยันแน่นอน สำหรับนโยบายชิ้นใหม่ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ.๒๐๐๙ จะทำให้ประเทศไทยยังมั่นคงต่อคุณธรรมข้อนี้อยู่เพียงใด

ในมุมมองของผู้ยังบริโภควัตถุเครื่องอำนวยความสะดวกสบายเลี้ยงชีพ ไม่ว่าจะเป็นผู้เป็นเจ้าของกิจการ หรือ ผู้ใช้บริการจากกิจการ อาจมองเรื่องนี้ในแง่เสรีภาพว่าด้วยการประกอบอาชีพของประชาชน ที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญ ถูกลิดรอนไปหรือเปล่า ถ้าจะบอกว่าเรื่องบ่อนเป็น "มิจฉาชีพ" ในเมื่อกฎหมายก็รับรอง พระราชบัญญัติ เรื่องส่วยสาอากรที่เป็นมาของเมืองไทย นายอากรบ่อนเบี้ยที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการเหล่านี้ ล้วนเติบโตมา ในวงราชการทั้งนั้น แล้วยังกระทบไปถึงเงินท้องพระคลังข้างที่ เงินใช้จ่ายในราชการแผ่นดิน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่ง มาจากธุรกิจชนิดนี้ด้วย

ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องน่าเห็นใจอย่างยิ่ง ถ้าใครจะรู้สึกว่าหากเรื่องนี้ถูกขัดขวาง ผู้ขัดขวางคงไม่พ้นที่จะถูกตราหน้า ว่าขัดความเจริญของบ้านเมือง ไม่รักประเทศชาติ

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะมีใครสักกี่คนที่กล้าหาญออกมาแอ่นอกรับ พร้อมที่จะ "พลีชีพเพื่อชาติ" แจกแจงแสดงเหตุ ผล คุณ โทษ ทักท้วงให้ผู้ดำริการนำไปทบทวนใคร่ครวญอีกและอีก

เมื่อมีเหตุผลในการมุ่งผลจากอาชีพนี้เพียงด้านตัวเงินอย่างเดียว ก็คงต้องเสียใจไม่คุ้ม แม้จะได้เงินก้อนใหญ่ ไม่ว่าจากกระเป๋าคนต่างชาติ หรือคนชาติเดียวกัน ลำพังเพียงตัวเงิน ใช่จะเป็นหลักค้ำประกันว่า จะแก้ปัญหา สังคมไทยได้

เพราะสังคมไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียวคือเงินเท่านั้น สังคมเกิดจากการรวมกันของวัตถุ คน บทบาท นิสัย วิญญาณ ที่ทำปฏิกิริยากันต่างหาก

ดูจากที่เจ้าของบ่อนเองบางรายมีเงินมากมายมหาศาล แต่ต้องอายุสั้นก่อนวัย หรือบางราย หมดเนื้อประดาตัว จนแทบจะหาที่อยู่ของชีวิต ที่ฝังศพไม่ได้เหมือนกัน

อาชญากร อันธพาล เจ้าพ่อ ฯลฯ ล้วนอุบัติขึ้นท่ามกลางบ่อนการพนันทั้งสิ้น อำนาจเงิน อำนาจกำลัง อำนาจบริวาร เป็นกำลังในการส่งเสริมทุจริตกรรมต่างๆ จนกระทั่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็ต้องพ่ายแพ้ และมีอยู่ไม่น้อย ที่ความไม่ดีนั้น จะเป็นเครื่องมือละลาย ปิดกั้น ขัดขวางความดี ยิ่งถ้าเป็นคนดีด้วยแล้ว มีมากคนที่จำต้องจำนน เพื่อรักษาชีวิตของตัวเองไว้ เข้าในทำนองที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ ว่า"ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนจริงนั่นแหละ มักจะตาย"

ยิ่งถ้าความไม่ดีนั้นเป็นขบวนการจนเป็นคนกลุ่มใหญ่แล้วไซร้ คนดีสักกี่คนที่จะกล้าประเมินตนว่าสามารถ อาจหาญ เป็นหัวหอกไปตัดรอนความไม่ดีทั้งหลายแหล่

เพราะเงินทองธุรกิจที่ได้มาจากการประกอบอาชีพผิดกฎหมาย ก็ยังมีหนทางเล่นแร่ แปรธาตุให้ถูกตามกฎหมาย ได้อยู่ ไม่เช่นนั้นการฟอกเงินก็คงไม่เกิดขึ้น ธุรการแปรสินทรัพย์ก็คงไม่มีใครรู้จัก

ตรงกันข้ามยุคนี้เป็นยุคเรื่องเชิงที่ยกมานี้ฟู่ฟ่าที่สุด มีความวิจิตรพิสดารแนวโน้มให้คนสนใจมากที่สุด เพราะเงิน กับอำนาจประหนึ่งปาท่องโก๋ที่แยกออกจากกันได้ยากมาก ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าเงินไม่ใช่สิ่งถาวรมั่นคง ที่ใครจะไปยึดถือ ได้ยาวนานนัก แต่เมื่อสังคมคนยังต้องใช้เงินอยู่ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เรื่องนี้จึงหาข้อยุติอย่างสันติไม่ได้

เงินสุจริตก็ยังถูกเรียกว่า "งูพิษ" เป็นวัตถุอนามาสไม่เหมาะแก่นักบวช ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกกับพระอานนท์ แต่เมื่อสังคมยุคนี้มีทิศทางเดียวกันที่จะเดินไปสู่ความยิ่งใหญ่มโหฬารด้านรายได้ คิดเป็นตัวเงินตรา ด้วยวิธี ที่ง่ายที่สุด ถ่ายเทจากกระเป๋าเจ้าของรวดเร็วที่สุด ประโยชน์เชิงนี้จึงปิดบังโทษภัยอื่นๆ จนหมดสิ้น

ทั้งๆ ที่ผู้อยู่ในวงการคลุกคลีใกล้ชิดกับเรื่องนี้ รู้อยู่แก่ใจว่า ความชั่วร้ายอื่นๆ ล้วนอาศัยเดินเข้ามาทางประตูนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคนขี้เหล้าเมายา นักเที่ยวโสเภณี การค้าผู้หญิงผู้เยาว์ แหล่งยาเสพติดร้ายแรง มือปืนรับจ้าง รวมไปถึง โรคเอดส์และเชื้อโรคร้ายแรงอื่นๆ

โบราณเคยเตือนสติไว้ว่า "ไฟไหม้สิบครั้ง ก็ไม่เท่ากับสิ้นเนื้อประดาตัวจากการพนันเพียงครั้งเดียว" เพราะไฟไหม้ ยังเหลือแผ่นดิน ชีวิตครอบครัว แต่การพนันทำให้ทุกอย่างพินาศจนหมดสิ้น ดังอุทาหรณ์จากเรื่องมหาภารตยุทธ ที่พ่ายแพ้ จากการพนันขันต่อเล่นสกาจนต้องเสียบ้านเสียเมือง เสียพี่น้อง เสียภรรยา เป็นต้น

คนส่วนใหญ่ลืมคิดถึงความจริงข้อหนึ่งว่า "ชีวิตที่ร่ำรวย" กับ "ชีวิตที่เป็นสุข" เป็นคนละเรื่องกัน เพราะ "ชีวิตเป็นสุขได้ โดยไม่จำเป็นต้องร่ำรวย" และ "ชีวิตที่ร่ำรวย อาจไม่ใช่ชีวิตที่เป็นสุข"

มีตัวอย่างมากจากคนที่หวังความร่ำรวยจากการพนันน้อยคนที่มีชีวิตเป็นสุขเพราะเขามีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายใจ อารมณ์แปรปรวน ทำร้ายคนอื่นทั้งทางวจีกรรม กายกรรม แม้แต่มโนกรรม "กลางคืนก็เป็นควัน กลางวันก็เป็นไฟ" เพราะผู้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องต่ำ(อบาย) เหล่านี้ มักจะมีจิตใจที่ไม่สงบเย็น เมืองที่ประชากรส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพนี้ มักจะแล้งทั้งด้านภูมิประเทศ แล้งทั้งน้ำใจ

เมืองคาสิโนที่ถูกยกย่องเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นที่สหรัฐอเมริกา หรือที่มาเก๊า เป็นตัวอย่างที่บ่งบอกถึง ความเสื่อมต่ำ มาแล้วเป็นอย่างดี ถ้าหากคนไม่พุ่งเพ่งแต่ตัวเงินมากนัก แล้วถ้าจะถามตัวเองบ่อยๆ ว่าหาก จะให้เลือก ระหว่างชีวิตที่ร่มเย็น ผาสุก กับชีวิตที่เร่าร้อนเต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะมีแต่ความหวาด ระแวงภัย อันตรายอยู่ทุกขณะ เราจะเลือกมีชีวิตแบบไหน?

เล่ห์เหลี่ยม กลโกง ความเพทุบาย ตลบตะแลงสารพัด เป็นสิ่งจำเป็นที่วงการนี้ต้องใช้ มิฉะนั้นแล้วใครเล่า จะยอม ถูกถ่ายกระเป๋ากันง่ายๆ ถ้าไม่มีความชิงไหวชิงพริบที่ซ่อนเงื่อนผูกปมพิสดารยิ่งกว่า ดังเคยมีรายการเจาะใจ นำผู้ที่เคยทำงานอยู่ในวงการนี้มานาน แต่เขาสำนึกบาปขึ้นมาได้ในวันหนึ่ง จึงขอออกรายการเปิดเบื้องหลัง การทำอาชีพนี้ สรุปคือล้วนไม่มีอะไรจริง แต่ที่จริงที่สุดคือความโหดร้ายทารุณ ความใจดำอำมหิต ที่ใครเมื่อเข้าไป ในวงการแล้วยากที่จะถอนตัวออกมาได้ แม้สำนึกดีอยากจะถอนตัวออกมาก็ตาม เพราะมีความลับหลายอย่าง ที่เชื่อมต่อ ระโยงระยางไปยังอาชีพอื่นด้วย ทำให้ยากที่เจ้านายใหญ่ ในวงการ จะปล่อยตัวให้ไปสู่เสรีภาพ ด้วยความไม่อาจไว้วางใจว่าคนนั้นจะหักหลัง หรือนำเอาความเลวร้ายต่างๆ ของตนไปเปิดเผย

ฉะนั้นเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสิงคโปร์กับไทยแล้ว ไม่เห็นความจำเป็นที่จะเดินตามรอยเดียวกัน เพราะประเทศไทยมีอาณาเขตไพศาลกว่าที่จะทำอาชีพอื่น คนไทยยังรักความสงบเรียบร้อยยังมี อาศัยซึ่งกัน และกันได้ จำนวนประชากร ๖๔ ล้าน ยังมีหนทางกว้างขวางกว่านัก และยากที่จะควบคุมถึง ตรงกันข้ามกับสิงคโปร์ พื้นที่ทำมาหากินอย่างอื่นน้อยมาก ประชากร ๔ ล้านคน ย่อมดูแลได้ทั่วถึงกว่า และไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้

เมืองไทยในอดีตได้รับการยกย่องว่าเป็นแผ่นดินสุวรรณภูมิ คือแผ่นดินทองอยู่แล้ว ทั้งระบบชีวิตคนไทยที่อาศัยปฐพี เลี้ยงชีพ ก็เคยมีประวัติศาสตร์ยืนยันความผาสุก ในการดำรงชีวิตแบบนี้ มาก่อนมากมาย แม้จะกระเถิบ เปลี่ยนแปลง เป็นอุตสาหกรรมบ้าง ก็ไม่เลิกร้างไปจากกสิกรรมเกษตรกรรมเสียทีเดียว แต่คนไทยโชคดี ที่ยังมี เศรษฐกิจ แบบประสม ดำรงอยู่ในอาชีพ สังคมไทยมาโดยตลอด และถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่ต้องไปก่อกรรม ทำเวรหยาบๆ เสี่ยงภัยต่อการฆ่าแกง เอาชีวิตกันถึงระดับนั้น

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องเมืองเป็นบ่อน เพียงบ้านเป็นบ่อนก็ยังนำมาซึ่งความเดือดร้อนจนประมาณมิได้อยู่แล้ว เพราะหาก เปิดบ่อนพนันได้ เท่ากับเราขยายหนทางให้สิ่งเลวร้ายต่างๆ ประเดประดังได้ง่ายขึ้น ถ้าจะแก้ต่าง ด้วยการคิด วางนโยบายควบคุมให้กระชับยิ่งขึ้น ก็ใช่จะเป็นหลักประกันกระแสความไม่ดีอื่นๆ ได้ เห็นได้จาก เพียงเท่าที่เรามีบ่อนอยู่ขนาดปัจจุบัน ไม่ได้ใหญ่โตมหึมาเหมือนบ่อนสิคาโนตามโครงการที่วาดหวังไว้ ปัญหาสังคม ทุกระดับ ตั้งแต่เยาวชน บุคคล ครอบครัว ประเทศ ต้องสูญเสียกำลังทรัพย์ กำลังคน กำลังอาวุธ ในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมต่างๆ จนทำแทบไม่ทัน อยู่แล้ว เพราะคำสอนในพุทธศาสนา ยังยืนยันว่า อบายมุข เป็นปากทางนรก เป็นต้นทางของความชั่วร้ายที่ควรปิดให้ได้ทำให้คนเกียจคร้าน ประมาท สุรุ่ยสุร่ายเอารัดเอาเปรียบ คดโกง มีจิตประทุษร้าย กระวนกระวาย ไม่อาจที่จะร่ำรวยได้จากการพนัน หรือธุรกิจ ประเภทนี้จริงๆ สุดท้าย ของชีวิต ล้วนต้องฉิบหาย สูญสลายไปทั้งหมด ไม่ยกเว้นแม้แต่ชีวิตของตัวเอง

ดังนั้นการคิดแก้ไขใดๆ ก็ตาม ย่อมเป็นอฐานะที่จะใช้วิธีเกลือจิ้มเกลือได้ทุกเรื่อง ในเมื่อบางปัญหาอาจกลายเป็น การซ้ำเติมให้ความเลวร้ายเพิ่มขึ้นไปอีก เช่น การต้องการรายได้เพิ่มด้วยการไปส่งเสริมอบายมุข นอกจากจะต้อง ทุ่มเงินทองมากขึ้น ความเสี่ยงต่อการสูญเสียก็มากด้วยเช่นกัน เพราะในเมื่อต่างมีเป้าหมาย ในการมุ่งเอาด้วยกัน แล้วจะได้มาจากการเสียสละของส่วนใดเล่า? มิเท่ากับเป็นการเพิ่มความสูญเสียอยู่อย่างซ่อนแฝงหรอกหรือ? มิหนำซ้ำความสูญเสียที่เกิดขึ้นใหม่นั้น จะกินลึกยิ่งกว่าด้วย ไม่ต่างจากการแก้ปัญหาเปลื้องหนี้สิน ด้วยการกู้หนี้ รายใหม่มาใช้หนี้รายเก่านั่นเอง แต่ลืมคิดถึงดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้แก่เจ้าหนี้รายเก่า กับเจ้าหนี้รายใหม่ และเจ้าหนี้ อื่นๆ อีกหลายๆ ราย สำหรับคนที่นิยมแก้ปัญหารูปนี้จนเป็นปกติ คงจะไม่แคล้วหนี้กินตัวในที่สุด

เช่นเดียวกันกับประเทศใด คิดบริหารเงินด้วยการพนัน ไม่ว่าจะพนันจะเป็นการพนันทางเศรษฐกิจ พนันทางปัญญา อาจเป็นช่องทางในการพนันประเทศไปด้วยโดยไม่เท่าทัน ผู้มองการให้ละเอียดลออลึกซึ้งด้วยสติปัญญาที่แหลม คม ชัด ลึกหน่อย คงจะไม่งงงวยในแนวคิดที่กล่าวมานี้ และจะไม่สงสัยว่า "รายได้ที่เสีย" นั้นหมายถึงอะไร?!

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๑ สิงหาคม ๒๕๔๘ -