- ณวมพุทธ - หนี้กรรมข้ามชาติ (เกฬิสีลชาดก)๏ กลั่นแกล้งเบียดเบียนคนแก่ ในหมู่มหาสาวก (สาวกผู้ใหญ่) ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น พระลกุณฏกภัททิยเถระ เป็นพระอรหันต์ ที่มีรูปร่าง ค่อมเตี้ยเล็ก ดูราวกับเด็กเหมือนเป็นสามเณร จึงมักถูกเข้าใจผิดโดนล้อเล่นเสมอๆ มีอยู่วันหนึ่ง ภิกษุประมาณ ๓๐ รูป มาจากชนบท หมายมาเข้าเฝ้าพระศาสดา ได้พบเห็น พระลกุณฏกภัททิย เถระ ที่ซุ้มประตูพระเชตวันมหาวิหาร คิดว่าพระเถระเป็นสามเณรน้อย จึงแกล้งหยอก มีการดึงหูท่านเล่นบ้าง ลูบจับศีรษะบ้าง ยกตัวเขย่าบ้าง ทำเหมือนท่านเป็นเด็กทารกน้อย แล้วค่อยพากัน เข้าเฝ้าพระศาสดา พระศาสดาทรงปฏิสันถาร(ทักทาย)ด้วยสักครู่แล้ว ภิกษุเหล่านั้นจึงทูลถามว่า "ข้าแต่พระผู้พระภาคเจ้า ได้ยินเสียงร่ำลือว่า มีพระเถระองค์หนึ่งชื่อลกุณฏกภัททิยเถระ เป็นมหาสาวก ของพระองค์ผู้เป็นเลิศในการแสดงธรรมได้ไพเราะ บัดนี้พระเถระนั้นอยู่ที่ไหน พระเจ้าข้า" "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประสงค์จะพบเจอหรือ" "พระเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้าใคร่จะพบเห็น" "พวกเธอได้พบแล้วมิใช่หรือที่ซุ้มประตู แล้วยังพากันคะนองมือหยอกล้อเล่นด้วย ภิกษุนั้นแหละคือ ลกุณฏกภัททิยะ" ภิกษุเหล่านั้นพากันตกใจ ในการกระทำที่ไม่เคารพต่อพระเถระผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เป็นพหูสูต (ผู้มีความรู้มาก) เป็นพระธรรมกถึก(นักเทศน์)ที่แสดงธรรมได้ไพเราะ จึงนึกตำหนิตัวเอง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ จนต้องทูลถามพระศาสดา "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเถระเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยฤทธิ์มากมาย แล้วเหตุใดเล่า จึงมีรูปกายทรามเตี้ยค่อม ไม่น่าดูเช่นนี้ พระเจ้าข้า" "ก็เพราะกรรม (กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม) ที่ตนเคยกระทำเอาไว้นั่นแหละ" ภิกษุเหล่านั้นทูลขอให้พระศาสดาตรัสเล่า - - - - - - - - ในอดีตกาล ในสมัยของพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระองค์ทรงมีนิสัยเลวร้าย อยู่อย่างหนึ่งคือ ทรงโปรดกลั่นแกล้งสัตว์แก่หรือคนชรา แล้วเห็นเป็นความสนุกสนาน เช่น ให้ต้อนสัตว์ วิ่งไล่แข่งกีฬากัน นำคนแก่มาเล่นหกคะเมนตีลังกาให้เป็นที่พอพระทัย หากพระองค์ได้สดับข่าวว่า มีสัตว์แก่ในที่โน้น มีคนชราในที่นั้น ก็จะรับสั่งให้นำตัวมา แล้วบังคับให้เล่น สนุก ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายจึงต่างพากันระอาเรื่องนี้ จำต้องส่งบิดามารดา ให้ไปอยู่ ในแคว้นอื่น อดเลี้ยงดูบิดามารดาของตน เพราะไม่อยากให้บิดามารดาได้รับความลำบาก ตกเป็น เครื่องเล่นของพระราชา พวกข้าราชการในราชสำนักไม่เพียงแต่ไม่ห้ามปรามพระองค์ ยังพอใจในการเล่นสนุกไปด้วย ความเดือดร้อน แผ่กระจายทุกหย่อมหญ้าร้อนไปถึงท้าวสักกะจอมเทพ (ผู้เป็นใหญ่เป็นหัวหน้าของผู้มีจิตใจสูง) ทรงทราบเหตุ แล้วก็ดำริว่า "เราจะต้องทรมานพระเจ้าพรหมทัตให้สำนึกบ้าง" แล้วทรงแปลงพระองค์เป็นคนแก่ บรรทุกตุ่มน้ำมัน ๒ ใบ ใส่บนเกวียนเก่าๆ เทียมด้วยวัวแก่ ๒ ตัว แล่นไป ในงาน มหรสพ ซึ่งพระเจ้าพรหมทัตทรงช้างเสด็จเลียบพระนครอยู่ พอพระราชาทอดพระเนตรเห็นเกวียนเก่าๆ เทียมด้วยวัวแก่ๆ ทรงนึกสนุกขึ้นมาทันที รับสั่งให้ไปนำเกวียน นั้นมา ท้าวสักกะจึงทรงแสดงอิทธิฤทธิ์ ขับเกวียนลอยขึ้นอยู่เหนือพระเศียรของพระราชา แล้วทุบตุ่มน้ำมันให้แตก ไหลลงมาราดรดเปรอะเปื้อนทั่วพระวรกาย พระราชาทรงตกพระทัยและอับอาย ทั้งขยะแขยงน้ำมัน ที่เหนียว เหนอะหนะยิ่งนัก ทรงวุ่นวายพระทัยมาก ดังนั้นท้าวสักกะทรงเห็นเป็นโอกาสแล้ว จึงเนรมิตพระองค์เป็นท้าวสักกะอย่างเดิม ประทับยืนบนอากาศ ตรัสอบรมว่า "ดูก่อนพระราชาผู้ชั่วช้า ท่านเบียดเบียนสัตว์แก่และคนชราอยู่เสมอ ชะรอยท่านจะไม่แก่บ้างเชียวหรือ ความชรา จะไม่มาถึงกายของท่านหรือไร ท่านมัวแต่เห็นแก่เล่นสนุก ทำร้ายคนแก่มากมาย ทำให้ลูกหลาน ไม่อาจเลี้ยงดูบิดามารดาของตนได้ ฉะนั้นหากท่านไม่งดการกระทำอย่างนี้ เราจอมเทพผู้เป็นใหญ่ จะทำลาย ท่านเสียด้วยวชิราวุธ (สายฟ้า) นับตั้งแต่นี้ไปท่านจงอย่าทำกรรมชั่วนี้อีกเลย แล้วทรงชูวชิราวุธในพระหัตถ์ขึ้น ทำให้พระราชาสะดุ้งกลัว จากนั้นท้าวสักกะก็ตรัสสอนถึงคุณของบิดา มารดา ทรงบอกผลบุญผลประโยชน์ของการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้สูงอายุ แล้วจึงเสด็จกลับไปวิมาน ของพระองค์ ตั้งแต่วันนั้นมา พระราชาก็มิได้แม้แต่คิดที่จะเบียดเบียนสัตว์แก่และคนชราเอามาเล่นสนุกอีกเลย - - - - - - - - พระศาสดาตรัสชาดกนี้จบแล้ว ทรงเฉลยให้รู้ว่า "พระเจ้าพรหมทัตในครั้งนั้น ได้มาเป็นลกุณฏกภัททิยะเถระในบัดนี้ ผู้มีร่างกายเตี้ยค่อม ต้องถูกกลั่นแกล้ง ล้อเล่น จากผู้อื่นเสมอๆ นี่ก็เพราะผลกรรมที่ชอบเล่นสนุกในครั้งนั้นนั่นเอง ส่วนท้าวสักกะจอมเทพ ก็คือ เราตถาคตในบัดนี้" แล้ว ได้ตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า "อีเก้งก็ตาม หงส์ก็ตาม ช้างก็ตาม ไม่ว่าสัตว์ใหญ่สัตว์เล็ก ล้วนกลัวราชสีห์ทั้งนั้น ไม่ได้ถือเอาร่างกายใหญ่โต เป็นประมาณ ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น ถึงแม้เป็นเด็กเล็ก แต่ถ้ามีปัญญาดี ก็เป็นผู้ใหญ่ได้ ส่วนคนโง่ถึงจะมีร่างกายใหญ่โต ก็เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้" ทรงประกาศสัจธรรมจบแล้ว บรรดาภิกษุเหล่านั้นบางพวกก็ได้บรรลุโสดาบัน บางพวกก็ได้บรรลุสกทาคามี บางพวก ก็ได้บรรลุอนาคามี บางพวกก็ได้บรรลุพระอรหันต์ ณ ที่ตรงนั้นเอง (พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๒๕๓ - เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๑ สิงหาคม ๒๕๔๘ - |