เรื่องสั้น - ถนอม บุญ -
ยาครอบจักรวาล


ยารักษาโรคเป็นสิ่งหนึ่งในปัจจัยสี่ซึ่งจำเป็นในการดำรงชีพ ถ้าขาดยาดี หมอที่ชำนาญ หรือการรักษา พยาบาล ที่ถูกต้อง เราจะลำบาก เมื่อเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าหายารักษาไม่ได้เราอาจกลายเป็นคนทุพพลภาพ หรือตายไปก็ได้ แม้ว่าจะยังไม่ถึงอายุขัย ยาดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่นเดียวกับอาหารที่ถูกหลักอนามัย

ผมขับรถจากเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี พาภรรยามาพักอยู่ที่คฤหาสน์แห่งหนึ่งในเมืองนัทเชส รัฐมิสซิสซิปปี เพื่อให้ภรรยา ทำธุระบางอย่าง ในเมืองนี้ ผมรู้สึกเจ็บไหล่มาตั้งแต่ออกจากบ้าน และเจ็บมากขึ้น เมื่อมาถึง ที่พัก ภรรยานัดให้ผมไปหาหมอที่ชำนาญทางโรคกระดูกในเมืองนี้ เป็นกรณี ฉุกเฉิน

ผมไปรออยู่ที่คลินิกหมอตั้งแต่เที่ยงวันจนบ่าย ๒ โมงจึงได้เข้าห้องตรวจโรค คลินิกของหมอเป็นเทรลเลอร์ หรือ กระท่อมเคลื่อนที่ รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง ๔ วา ยาว ๘ วา มีห้องเล็กๆ หลายห้อง ห้องรับแขก เล็กนิดเดียว จนคนไข้ล้นออกมายืนรอ อยู่หน้าคลินิก แต่ประหลาด คนไข้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย และมีร่างกายกำยำล่ำสัน!

พนักงานต้อนรับบอกให้ผมกรอกประวัติในแบบฟอร์มที่ยาวเฟื้อย ที่จริง เขาอยากทราบข้อมูล ที่สำคัญ เพียงนิดเดียว คือใครจะออก ค่าใช้จ่าย ในการตรวจรักษา พยาบาล ผมมีบัตร"สามสิบบาท" ของรัฐบาล อเมริกัน และบัตรประกันสุขภาพของรัฐเทนเนสซี พนักงานต้อนรับ โทรศัพท์ติดต่อกับ องค์การ "บลูครอส บลูชีลด์" รัฐเทนเนสซี ได้ความว่าเขายอมออกค่าใช้จ่ายให้ส่วนหนึ่ง ผมจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง อีกส่วนหนึ่ง เซ็นชื่อรับทราบแล้ว เขาจึงยอมให้ผมเข้าห้องตรวจโรค

พนักงาน X-Rays ให้ผมถอดเสื้อออกจนตัวล่อนจ้อนแล้วให้นอนลงบนเตียงเอกซ์เรย์ที่เย็นเฉียบ เธอกดแขน และ ไหล่ซ้ายของผม ให้ทาบไปบนเตียงและบอกว่าให้อยู่นิ่งๆ เธอวิ่งเข้าไปในห้องเล็กข้างเตียง กดสวิทช์ไฟ เสียงดัง "ฉับ ตืด..." แล้ววิ่งออกมาเปลี่ยนฟิล์ม ที่เสียบเข้าไปใต้เตียง ยกมือผมขึ้นพาดอก แล้ววิ่งไปกด สวิทช์ในห้องเล็กอีกที เปลี่ยนฟิล์มเสร็จ แล้วยกมือผม ให้ตั้งฉากกับเตียงที่นอน วิ่งเข้าไปกดสวิทช์ อย่างรวดเร็ว

ผมปวดไหล่แทบจะทนไม่ไหวแต่ก็โล่งใจเมื่อเห็นพนักงานสาวหอบเสื้อผ้าของผม นำผมไปยังห้องอื่น ผมขอบใจ และชมว่าเธอ ทำงานคล่อง และว่องไว เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ตอบว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอ

ผมนั่งดูเข็มนาฬิกาในห้องตรวจโรคอยู่คนเดียว สังเกตเห็นว่าเข็มแต่ละเข็มเดินช้าเหลือเกิน เข็มวินาที ต้องเดินไปรอบหน้าปัด ตั้งรอบกว่า เข็มนาทีจะกระเถิบไปสักขีด ยิ่งเข็มชั่วโมงแล้วไม่ต้องพูดถึง ไม่มีเค้าว่า มันจะกระดิกเลย ไม่ทราบว่า ผมจะต้องนั่งเฝ้านาฬิกา อยู่คนเดียว อีกนานสักเท่าไร กว่าจะได้เห็นหน้า หมอกระดูก

ผมรออยู่จนเลิกสนใจนาฬิกา และแล้วประตูก็เปิดผลัวะเข้ามาโดยไม่มีเสียงเคาะ ชายหนุ่มร่างใหญ่ ผิวขาว คนหนึ่ง ใส่เสื้อผ้านักกีฬา ทีมฟุตบอล อเมริกัน ใส่หมวกแคพสีขาว รองเท้าผ้าใบ ปากเคี้ยวหมากฝรั่ง ดังหยับๆ เดินตรงรี่เข้ามาหาผม ครั้งแรกผมนึกว่า นักกีฬา มาเข้าห้องผิด กำลังจะเอ่ยปากถามว่า มาหาใคร แต่เขาพูดขึ้นก่อน

"เฮ้ย ไอ้เพื่อนยาก เกิดอะไรขึ้น" (Hey! Buddy. What's up?)

ผมไม่ตอบ แต่มองดูให้แน่ใจว่าหมอจริงหรือหมอปลอม เพราะถ้าเจอะที่อื่น ไม่ใช่ในห้องตรวจโรค ถึง "อมพระมาพูด" ผมก็ไม่เชื่อ ว่าเป็นหมอ

หมอแนะนำตัวว่าชื่อ ไบรอัน ดู๊ก (Brian Duke,DO) เป็นหมอของพวกนักกีฬา และเป็นแฟนของ เอ็น เอฟ แอล (NFL) หมอบอก ให้ผมทายว่าปีนี้ใครจะชนะ

ผมไม่ตอบเพราะไม่ทราบและไม่สนใจกีฬาเหว... อะไร ผมกำลังเจ็บแขน และอยากจะให้แขน หายเจ็บ แต่คำพูด รวมทั้งกิริยาท่าทาง และ การแต่งกาย ของหมอทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมคนไข้ที่รอล้น ออกมาข้างนอกห้อง เป็นผู้ชายอกสามศอก แทบทั้งนั้น เขาคงไล่จับ ลูกฟุตบอล จนหัวไหล่หลุดจมูกทรุด แข้งขาหักตะโพกบิด หรือซี่โครงเบี้ยวนั่นเอง

ผมชี้ไปที่ฟิล์มเอกซ์เรย์ที่อยู่ในมือของหมอและชี้มาที่หัวไหล่ของผมเพื่อให้หมอตรวจให้เสร็จเสียเร็วๆ

หมอเอาฟิล์มมาส่องดูแล้วถามผมว่าเคยผ่าตัดหรือเข้าเฝือกหัวไหล่หรือเปล่า เพราะมีก้อนหินปูน อยู่ในหัวไหล่ ผมบอกหมอว่า ผมไม่ใช่นักกีฬา และไม่เคยคิด จะเล่นฟุตบอลอเมริกัน จึงไม่เคยผ่าตัด หรือเข้าเฝือก หัวไหล่

หมอให้ผมยกมือขึ้นข้างหน้า ข้างๆ และข้างหลัง ผมทำไม่ได้สักอย่าง เพราะยกไม่ขึ้น และปวดมาก เวลาพยายาม จะยก หมอเอามือ บีบหัวไหล่ผม และบอกว่า ไม่เป็นไร จะส่งไปทำ เอ็ม อาร์ ไอ (MRI)

ผมอยากจะเป็น สมรักษ์ คำสิงห์, เขาทราย,�บรูส ลี, แจกกี้ แชง, หรือนักมวยไทยสักคน จะได้(ขอโทษ) เตะหมอดู๊ก ให้สมแค้น เพราะการบีบหัวไหล่ ข้างที่เจ็บทำให้ผมต้องทรุดตัวลงนั่ง ด้วยความเจ็บปวด และการส่งผมไปทำ เอ็ม อาร์ ไอ นั้น ก็ไม่ใช่ของฟรี ผมจะต้อง เสียเงินอีก

ผมถามหมอดู๊ก (จำง่ายเพราะชื่อบอกว่าเป็นหมอ กระดู๊ก...กระดูก)ว่าจะสั่งยาแก้ปวดให้ผมได้หรือไม่ เอาที่มันแรงๆ หน่อย หมอบอกว่า "เรื่องเล็ก" แล้วควักปากกาออกมาเขียนใบสั่งยาให้ผม

ผมดีใจที่เหรัญญิกของหมอติดต่อกับบริษัทประกันสุขภาพของผมไม่ได้ เลยไม่ได้ทำเอ็ม อาร์ ไอ ประหยัด เงิน ไปเท่าไร ผมไม่ทราบ ผมโทรศัพท์ เรียกภรรยา มารับผมกลับที่พัก

ยาแก้ปวด (HYDROCODONE) ที่หมอดู๊กสั่งให้ผม มีสรรพคุณแรงดีมาก ขนาดเม็ดเท่านิ้วก้อย ผมกิน เข้าไป เม็ดเดียว ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รู้สึกหัวหมุนติ้ว และชาไปทั้งตัว จนอาการปวดไหล่ หายไปด้วย แต่พอครบ ๔ ชั่วโมงอาการปวดก็กำเริบขึ้นอีก ผมกินอีกเม็ดหนึ่ง แล้วเอากล่องยา มาซ่อนไว้ใต้ที่นั่ง เพราะภรรยา จะกินบ้าง เธอบอกว่า เป็นยานอนหลับที่ดี

ผมกินยาแก้ปวดขนานนั้นทุกๆ ๔ ชั่วโมง เป็นเวลา ๒ วันเต็มๆ รู้สึกแปลกใจ เพราะไม่ได้ถ่ายท้องเลยแม้แต่ นิดเดียว หลังจากทำจิตใจ ให้เข้มแข็ง ก็แจ้งให้ภรรยาทราบว่าท้องผูก

"แน่นอน ยาแก้ปวดทั้งหลาย ถ้ากินมากเกินไป จะทำให้ท้องผูก" ภรรยาอธิบาย ผมยื่นยาที่เหลือทั้งกล่องให้

"คุณเอายาไปกินให้หมด ทั้งกล่อง ผมไม่กินมันอีกแล้ว" ผมบอก

"แล้วคุณจะกินอะไร" ภรรยาซัก

"กินของผมเอง" ผมตอบ

"ไม่รู้ด้วยนะ เวลาปวดขึ้นมา อย่ามาร้องขอ" ภรรยาสำทับ แล้วเก็บยาทั้งกล่องเข้าหีบยา ลั่นกุญแจ

เมื่อสมัยผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม ผมอยู่วัด ได้ยินพระพูดเสมอว่าปัจจัยสี่ของพระอรัญวาสี (พระอยู่ป่า) คือ อาหาร บิณฑบาต (อาหาร) ผ้าบังสุกุล ที่ย้อมด้วยเปลือกไม้ฝาด (เครื่องนุ่งห่ม) โคนต้นไม้ (ที่อยู่อาศัย) และ ยาดองน้ำมูตร (ยารักษาโรค)

ผมสงสัยนักว่า "น้ำมูตร" คืออะไร แต่ไม่กล้าไต่ถามใครเพราะกลัวเขาจะหาว่า "ไม่รู้" อุตส่าห์อมภูมิไว้จนโต จึงได้มีปทานุกรม และพจนานุกรม ให้ค้นหาคำแปล ของศัพท์คำนั้น ที่แท้น้ำมูตรก็คือน้ำปัสสาวะ หรือ น้ำเยี่ยวนั่นเอง ผมถามพระเปรียญอีกหลายรูป ท่านก็ให้คำแปล อย่างเดียวกัน จึงได้ยุติว่า ปัสสาวะ ใช้เป็นยาได้ คนในสมัยก่อน เช่นหมอชีวกและพระสงฆ์ ในสมัยพระพุทธเจ้า ก็ใช้ลูกมะขามป้อมดอง ในน้ำปัสสาวะเป็นยา

ปัญหาต่อไปก็คือ น้ำปัสสาวะใช้เป็นยาแก้โรคอะไร และใช้อย่างไร นอกเหนือไปจากให้คนไข้กิน "มะขามป้อม แช่เยี่ยวเทวดา" แทนที่จะ ให้ดื่มน้ำปัสสาวะ ของตัวเองโดยตรง

ปัสสาวะใช้รักษาโรคได้สารพัด นักเขียนเกี่ยวกับงานวิจัยทางการแพทย์ชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ มาร์ธา คริสตี้ รวบรวม การค้นคว้า เกี่ยวกับ ปัสสาวะ ไว้ในหนังสือชื่อ "ยาบริบูรณ์ของคุณเอง" (Your Own Perfect Medicine) หนังสือนี้ กล่าวถึงสรรพคุณของปัสสาวะ ไว้มากมาย

วารสารข่าวการแพทย์ (The Medical Press) รายงานการค้นคว้าของ ดร.เจ เพลสช์ ว่า ปัสสาวะเป็นเชื้อ วัคซีนวิเศษ ตามธรรมชาติ ใช้รักษาความผิดปกติของร่างกาย ได้หลายอย่าง เช่น โรคตับอักเสบ ไอกรน หืด ภูมิแพ้ ลมพิษ ปวดศีรษะข้างเดียว คลื่นเหียน ลำไส้ปั่นป่วน ฯลฯ ดร.เพลสช์ ยังกล่าวอีกว่า การใช้ปัสสาวะ รักษาโรคมีความปลอดภัยดีเพราะไม่มีผลข้างเคียง

ดร. โซเอดะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว พิมพ์เผยแพร่การค้นพบของเขาในวารสารการแพทย์หลายฉบับ เขารายงานว่า คนไข้มะเร็งรังไข่ คนหนึ่ง ได้รับการรักษา ด้วยสารเคมีที่ได้รับจากปัสสาวะของคน เมื่อจบ การรักษาพยาบาล หญิงคนนั้น หายจากโรค จนเป็นปกต ิและได้ใช้ชีวิต ด้วยความผาสุก

ปัสสาวะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ดร.ซี ดับเบิลยู วิลสัน แห่งโรงพยาบาลกฎหมาย สกอตแลนด์ รายงานว่า คนไข้ที่ เป็นโรคภูมิแพ้ อย่างร้ายแรง จนรักษา ด้วยวิธีอื่นไม่หาย ได้ทดลองดื่มปัสสาวะ ที่เข้มข้น ของตัวเอง ปรากฏว่า อาการโรคภูมิแพ้หายไป อย่างน่าประหลาด

คณะหมอที่มหาลัยฮาวาร์ด สหรัฐอเมริกาพบว่าภูมิคุ้มกันในร่างกาย (Antibody) มีอยู่ในปัสสาวะ เจือจาง ของคนไข้ ที่เป็นอหิวาตกโรค ไข้รากสาด คอตีบ ปอดบวม โปลิโอ และแบคทีเรียบางชนิด ซึ่งแปลว่า ร่างกายของคนไข้ กำลังสร้างภูมิคุ้มกันโรคอยู่

นักวิทยาศาสตร์ในประเทศแถบสแกน-ดิเนเวีย พบว่าปัสสาวะของคนสามารถทำลายเชื้อวัณโรค ได้อย่าง ราบคาบ ขณะที่โรคนี้ กำลังดื้อยาปฏิชีวนะ

ในอเมริกา เขาใช้ปัสสาวะเป็นอุตสาหกรรม บริษัทหลายบริษัทใช้ปัสสาวะในการผลิตยาแพงๆ ออกมา จำหน่าย เขาเชื่อว่า ยาทำให้คนเชื่อถือ ได้มากกว่าโฆษณา ให้คนกินปัสสาวะ ของตัวเองเช่น Pergonal (ยาช่วย ให้ตกไข่), Urokinase (ยาละลายก้อนเลือดแข็ง ในเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ), Murine (ยาหยอดหู) นอกจากนี้ ยังมีครีม และโลชั่นกันผิวแห้ง (moisturizer) อีกหลายชนิด ที่ผลิตจากปัสสาวะ คนอเมริกัน บางคน ใช้ปัสสาวะสด รดแผลน้ำร้อนลวก หรือไฟไหม้และใช้ได้ผลดี แต่เขาจะใช้เฉพาะเวลา ฉุกเฉิน เมื่อหาอะไรอื่น ไม่ได้เท่านั้น

ในเมืองไทย ดร. สาทิส อินทรกำแหง เจ้าตำรับ "ชีวจิต" รายงานว่าอาจารย์ชา แห่งวัดหนองป่าพง เคยแนะนำ ให้ ดร. สาทิส ใช้ปัสสาวะ ในการรักษาลมบ้าหมู

ตามบ้านนอก คนไทยบางคนใช้ปัสสาวะรักษาพิษสัตว์หรือแมลงกัดต่อย ผมจำได้ว่าตอนที่ผมอายุ ๕-๖ ขวบ วันหนึ่ง ไปวิดปลากับพ่อ ผมไปจับปลาดุก หรือปลาแขยง (จำไม่ได้) ทางด้านหางปลา ปลาสะบัด เอาเงี่ยง แทงขาผมเข้าดังฉับ ผมเจ็บแสนสาหัสและร้องครวญคราง พ่อดึงมือ พาผมเข้าไปหลังพุ่มไม้ ท่านเปิดผ้านุ่ง แล้วเยี่ยวรดลงบนขาของผมข้างที่ถูกปลาแทง อาการปวดหายไป เหมือนปลิดทิ้ง แต่ตอนนั้น ไม่ทราบว่า ผมหายปวดเพราะ น้ำปัสสาวะของพ่อ หรือเพราะตกใจ

ทำไมปัสสาวะมีสรรพคุณช่วยรักษาโรค?

นักวิจัยทั้งหลายที่ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับน้ำปัสสาวะชี้ให้เห็นว่า มีของดีมากมายอยู่ในปัสสาวะ เช่น โภชนาการ เอนไซม์ ฮอร์โมน ตัวภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ และตัวต้านทานเชื้อโรค

ดร. เอ เอช ฟรี เขียนหนังสือ "การวิจัยปัสสาวะในห้องปฏิบัติ" ท่านกล่าวตอนหนึ่งว่า "ปัสสาวะเป็น สารประกอบ บริสุทธิ์ในร่างกายของมนุษย์ ที่ปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ บริสุทธิ์ยิ่งกว่าน้ำกลั่น และมี สารประกอบ ต่างๆ อยู่มากกว่า ๑๐๐๐ ชนิด" ท่านแจกแจง สารตัวอย่าง ตั้งแต่ตัว A ถึง Z และ ชี้ให้เห็นว่า มีสารเหล่านี้ อยู่ในปัสสาวะ ของคนในแต่ละวัน เช่น Ascorbic acid ๓๐ mg, Amino acids ๒.๑ g, Bicarbonate ๑๔๐mg, Calcium ๒๓ mg, Gloucose ๑๐๐ mg, Iodine ๐.๒๕ mg, Iron ๐.๕ mg, Magnesium ๑๐๐ mg, Nitrogen ๑๕ g, Phosphorus(organic) ๙ mg, Potassium ๒.๕ mg, Proteins ๕ mg, Riboflavin ๐.๙ mg, Urea ๒๔.๕ mg, Vitamin B๖ ๑๐๐ mg, Vitamin B๑๒ ๐.๐๓ mg, และ Zinc ๑.๔ mg.

ท่านผู้อ่านคงไม่ประหลาดใจว่าทำไมคนที่ไม่ได้กินน้ำและอาหารตั้ง ๑๔ วันยังชีวิตอยู่ได้ เขากินแต่เพียง ปัสสาวะ ของตัวเอง

เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๓๓ สำนักข่าวเกียวโดะ กรุงโตเกียว รายงานว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยแผ่นดินไหว ในตอนเหนือ ของฟิลิปปินส์ ดึงร่างชายคนหนึ่ง ออกมาจากสิ่งสลักหักพัง ของโรงแรม ไฮแอตต์ ชายคนนั้น ยังมีชีวิตอยู่ เขาบอกนักข่าวว่า เมื่อเกิดแผ่นดินไหว เขาทำงานอยู่ในครัว ของโรงแรมตลอดเวลา ๑๔ วัน ที่เขาติด อยู่ใต้สิ่งสลัก หักพัง เขาดื่มแต่ปัสสาวะ ของตัวเอง

ข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๓ ว่าทหารหน่วยคอมมานโด ๔ คนของประเทศศรีลังกา ลอยแพด้วยเรือลำเล็ก มาจนถึงฝั่งตะวันตก ของประเทศไทยโดยไม่มีอาการและน้ำจืด ติดเรือมาเลย เขาอยู่ได้ โดยจับเต่ากิน และดื่มปัสสาวะของตัวเอง

ทอม โบรคอ นักรายงานข่าวชื่อดังของสถานีโทรทัศน์ เอ็น บี ซี สหรัฐอเมริกา รายงานเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๕ ว่าในอียิปต์ ชายคนหนึ่ง รอดตาย เพราะดื่มปัสสาวะของตัวเองขณะที่ถูกฝังอยู่ ๘๒ ชั่วโมง ใต้สิ่งสลักหักพัง เพราะแผ่นดินไหว แม่ของเขา ภรรยา และลูกสาว ไม่ยอมดื่มน้ำปัสสาวะ เลยเสียชีวิตหมด

นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมีกรณีอีกมากมายที่คนใช้ปัสสาวะในการรักษาพยาบาล ผมไม่ได้เขียนตำรา ปัสสาวะ จึงไม่ได้นำมาเสนอ ให้มากกว่านี้ แต่หลักฐานชี้ให้เห็นว่า ปัสสาวะมีประโยชน์มากกว่ามีโทษ น่าจะเอาประโยชน์ ของมัน มาใช้ให้แพร่หลาย แทนที่จะปล่อย มันลงท่อไป โดยเปล่าประโยชน์ น่าเสียดาย ที่ยังมีปัญหาเรื่องทัศนคติและค่านิยม

เราเคยได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เป็นเด็กว่า แม้ของดีที่ใส่เข้าไปทางปาก เมื่อมันออกมาจากร่างกาย ก็จะกลายเป็น ของเสียทันที เช่น ขี้ หรือ อะไรที่ขึ้นชื่อว่า "ขี้" ล้วนเป็นของไม่ดีทั้งนั้น เช่น ขี้รังแค ขี้ตา ขี้หู ขี้มูก ขี้ฟัน ขี้เล็บ ขี้...ฯลฯ และขี้ (อุจจาระ) แต่ไม่เคยได้ยินใครเรียก ปัสสาวะว่า "ขี้" เลย ดังนั้น ปัสสาวะ จึงไม่น่า จะเป็นของไม่ดี

ผมไม่กล้าบอกภรรยาว่าตัดสินใจจะลองใช้ปัสสาวะ(ของผมเอง) เป็นยารักษาการปวดไหล่ของผม เพราะถ้า บอก ก็อาจจะต้อง อภิปรายกันยืดยาว จะต้องเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมอภิปราย ตั้งคณะกรรมการตัดสิน หรืออะไร ทำนองนั้น แต่ที่สำคัญ เธออาจไม่ยอม ให้ผมร่วม โต๊ะกินข้าว หรือนอนเตียงเดียวกับเธอ

ผมค่อยๆ ลุกจากเตียงนอน ระวังตัว ไม่ทำเสียงดังหรือแตะต้องภรรยาเพราะกลัวว่าเธอจะตื่น ผมจรด ปลายเท้า ไปเข้าห้องน้ำ ปิดประตู ลงกลอนแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเข้า-ออกให้หายประหม่า ผมตั้งจิต อธิษฐาน ขอให้การ "กินยา" ของผมประสบ ความสำเร็จ อย่าให้ภรรยา ลุกขึ้นมาขัดจังหวะกลางคัน

ผมเอาแก้วใส ความจุประมาณ ๖-๘ ออนซ์ รองรับยาจากก็อกอัตโนมัติของผม ผมได้ "ยา" เกือบเต็มแก้ว

"ยา" ของผมมีสีเหลืองอ่อนคล้ายเบียร์แต่ใสแจ๋วเหมือนตาตั๊กแตน ผมยืนพิจารณาอยู่พักหนึ่ง คิดหาวิธี ที่จะกินมัน เข้าไปให้หมดแก้ว

"คงยาก" ผมคิด เพราะรู้สึกอิ่มและมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอหอย "แต่ต้องพยายาม" ผมกำชับตัวเอง

ผมยกแก้วยาขึ้นดม ได้กลิ่นอาหารที่กินเมื่อเย็นวานนี้ ลองชิมจิบหนึ่ง มันมีรสเค็ม เปรี้ยว และขมนิดๆ

"มิน่าเล่า" ผมคิด "ความดันโลหิตของผมถึงสูงปรี๊ดทั้งๆ ที่กินลิปิตอร์เป็นประจำทุกวัน คงมีเกลือในอาหาร มากเกินไป นั่นเอง เห็นจะต้องลดเกลือในอาหารลงบ้าง"

"เข้าไปทำอะไรอยู่นั่น" ภรรยาถามลอดประตูเข้าไป

ผมรีบกดชักโครกให้มีเสียงดังยังกับว่าเพิ่งเสร็จการใช้ส้วม ตะลีตะลานดื่มยาให้หมดแก้ว ยาบางส่วน หกใส่เสื้อ และกางเกงนอน ผมดื่มน้ำ ตามหลัง แล้วล้างแก้ว ให้หมดกลิ่น ก่อนที่จะเปิดประตู ให้ภรรยา เข้ามาสำรวจ

"ทำไมต้องปิดประตูลงกลอนด้วย กลัวจะมีใครเข้าไปปล้ำรึ" ภรรยาถามด้วยความสงสัย

"คฤหาสน์นี้มีผีผู้ดีแยะ ต้องระวังตัวหน่อย" ผมตอบไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงตอบอย่างนั้น

ภรรยาเข้าใจว่าผมเจ็บไหล่ ใช้มือไม่สะดวก จึงปัสสาวะรดเสื้อผ้า เธอส่งชุดนอนของผมไปซักโดยด่วน

ผมแอบกินยาของผมทุกวันโดยไม่บอกภรรยา อาการท้องผูกก็หายไป ไหล่ก็ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ผมยกแขน อวดภรรยา แทบทุกวัน เพื่อให้เธอเห็นว่า ดีขึ้นแค่ไหน

"มหัศจรรย์" เธอกล่าว

"ใช่ ยามหัศจรรย์" ผมตอบ

ตั้งแต่ผมเริ่มเจ็บไหล่จนถึงบัดนี้ นับเวลาได้ ๒ เดือน ไหล่ของผมหายสนิท ไม่มีอาการเจ็บปวดอีกต่อไป ผมรำมวยจีน ทำสวนครัว ขับรถทางไกล พาภรรยา ไปเที่ยวตามปกติ แต่ภรรยาไม่ทราบว่า ผมใช้ยาอะไร คงไม่มีวัน ที่เธอจะทราบ นอกจากอ่านเรื่องนี้

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๑ สิงหาคม ๒๕๔๘ -