ชีวิตไร้สารพิษ "โลก" อันประกอบไปด้วย "กาย" อันยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมทั้ง "สัญญา" และ "ใจ" นี้ คนเรา ก็ยังไม่สามารถรู้จักได้ทั่วถึง โรคต่างๆ เกิดจากทางใจ ๘๐% และเกิดจากทางกาย ๒๐% พระพุทธเจ้าท่านได้ ตรัสรู้รอบทั่วทั้งทางด้านกาย และใจ ซึ่งการแพทย์จนถึงยุคปัจจุบัน ก็ยังไม่สามารถ รู้ทั่วถึงทางกายภาค ที่มีอวัยวะน้อยใหญ่ประกอบมากมาย การแพทย์แผนจีน ยังนับว่านำหน้าที่สุด แม้แต่เมื่อ ๕ พันกว่าปีมาแล้ว ก็ยังสามารถ รู้เวลาการทำงาน ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้ อีกทั้งการศึกษา ด้านวิชาการแพทย์ ก็เรียนสืบทอดต่อๆ กันมา ในครอบครัวหลายต่อหลายช่วงชีวิตคน วิทยาการแพทย์ แผนปัจจุบัน (ตะวันตก) จึงไม่ควรปฏิเสธ หรือมองข้ามการแพทย์แผนโบราณ (ตะวันออก) เพราะแค่ร่างกาย ของมนุษย์ ก็ยังจะต้องศึกษาค้นคว้า เรียนรู้กันไปอยู่อีกนาน กว่าจะแทงทะลุได้รอบถ้วน อีกทั้ง ยังละเลย ทางด้านจิตใจด้วย ก็ยิ่งไม่มีทางที่จะบรรลุ เป้าหมายได้เลย วัฏจักรของการหมุนเวียนขึ้นอยู่ที่ "กรรม" กับ "กาละ" ฉะนั้น กาลเวลาจึงกลืนกินสรรพสัตว์อยู่ตลอดไป ถ้าเราไม่รู้เท่าทัน นาฬิกาอวัยวะ ซึ่งเป็นของที่อยู่กับตัวของเราตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ เราจึงควรจะเรียนรู้ และ จัดสรร วงจรชีวิต ในการพัก และการเพียรของเราให้ลงตัว เพื่อจะได้ก่อเกิด ประโยชน์แก่ตน และผู้อื่นอย่างมากมาย จะขอเริ่มต้นที่เวลา......... ทุกวันนี้คนเราไม่เตรียมตัวที่จะพักเวลานี้กันเลย แต่กลับจะทำงานล่วงเวลามากขึ้น
เที่ยวกลางคืน และ กินอาหารหนักๆ พร้อมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจ ทำงานหนักมากขึ้น ไปอีกเท่าตัว จึงมีผลกระทบต่อหัวใจ
หัวใจจะต้อง ทำงานหนักไปด้วย ซึ่งปกติแล้ว ร่างกายควรจะชะลอพัก นั่งทำสมาธิ
สวดมนต์ไหว้พระ เพื่อให้จิตใจ และร่างกายสงบลง สำหรับการเตรียมตัว พักผ่อนหลับนอน พลังงานรวม (เอ.ที.พี.)หมายถึง จำนวนเม็ดเลือด ถ้าไม่พักเวลานี้ เซลล์เม็ดเลือด จะแตก เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ปกติ เซลล์เม็ดเลือดของคนเรา จะแตกวันละ ๒ - ๒.๕ ล้านเซลล์ แต่ถ้านอนดึกขึ้นอีก เซลล์เม็ดเลือด ก็จะแตกทวีคูณ ขึ้นเรื่อยๆ เช่น คนที่บริจาคเลือด ถ้านอนดึก เลือดจะลอยบริจาคเลือดไม่ได้ ถ้าเรานอน ๓ ทุ่ม ร่างกายจะสร้างเซลล์เม็ดเลือดขึ้นมาทดแทนส่วนที่แตกไปในแต่ละวันให้สมดุล
พลังงาน ที่สร้างขึ้นในช่วง ๒ ชั่วโมงนี้ ร่างกายจะนำไปล้างถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีแข็งแรง * ถ้าเป็นปัญหาที่ตับและถุงน้ำดี -สีเขียว- "นำ" เพื่อฟื้นฟูและบำรุงตับ และถุงน้ำดี เช่น เบต้าแคโรทีน จาก ยอดแค ยอดฟักข้าว ยอดเสาวรส (ที่จะต้องลวกให้สุกทั้งหมด) สำหรับคนเอเชีย (ส่วนแครอท แม้จะมีเบต้า แคโรทีน แต่ก็เหมาะสำหรับ คนยุโรป (ตะวันตก) เพราะมีกระเพาะอาหารที่แข็งแรง จึงย่อยแครอทได้ อีกทั้งการปลูกทางเอเชีย ต้องใช้ยา และปุ๋ยเคมีอย่างมาก) -รสเปรี้ยว- ถ้ากินโดดๆ จะทำให้ตับร้อน แต่ถ้าอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวนำ มีรสหวาน ขม เค็ม ตาม จะเหมาะสมแก่ตับ เพราะมีความเป็นกลาง -ฤดูใบไม้ผลิ- คือ ช่วงต้นฤดูฝน จะมีลมพัดแรง ถ้าโดนลมบ่อยๆ หรือเป่าพัดลมทั้งคืน หรือ อยู่ในห้องแอร์ จะทำให้ระบบหมุนเวียนของเลือดในร่างกายช้าลง ดังนั้น เลือดที่จะส่งไป ยังตับ จะไม่พอเพียง จึงทำให้ เป็นไข้หวัดได้ง่าย -เส้นเอ็น- เมื่อเป็นไข้ เส้นเอ็นจะตึงไปทั่วร่าง บอกถึงพลังที่ตับไม่พอ หมายถึง เลือดที่ส่ง ไปเลี้ยงตับ ไม่พอเพียง เมื่อเส้นเอ็นตึง ทำให้ร่างกายตึงไปทั่ว ก็ไม่สามารถทำงานได้ ร่างกาย จึงควรจะต้องพัก โดยปริยาย เพื่อให้ตับมีเลือดมาเลี้ยงอย่างเพียงพอ ร่างกายก็จะผ่อนคลาย หายตึงได้ เมื่อร่างกายเตือน ให้พักแล้ว แต่เรายังดันทุรัง ทำงานต่อไป หรือนอนดึกต่อไป หรือกินยาแก้ปวดเสมอๆ หรือ มีอารมณ์โกรธอยู่ เป็นเนืองนิจ ก็มีแนวโน้ม ที่จะเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ -ตา- ไม่ได้เป็นหน้าต่างของหัวใจ แต่เป็นหน้าต่างของตับและไต เวลาโกรธ จะสังเกตเห็นที่ตา ท่านที่ตา พร่าฟาง มีสาเหตุมาจากทำงานไม่ได้พัก ตับใช้พลังงานมากเกินไป และเกิดจาก การบริโภคอาหาร ที่เป็นพิษ เช่น เห็ดต่างๆ (ไม่ควรกินโดดๆ ควรจะกิน ๓ ชนิด เพื่อเป็นการ ฆ่าฤทธิ์กันเอง) อาหารที่ปรุงในภาชนะ อะลูมิเนียม พลาสติก, หม้อหุงข้าวไฟฟ้า, กระทะไฟฟ้า, เตาไมโครเวฟ (ควรใช้ ภาชนะจากดิน หรือ ทองเหลือง) -ตาต้อ....ลม, เนื้อ, กระจก, หิน- เกิดจากที่ตับและถุงน้ำดีอ่อนแอลง จนมีผลกระทบ ให้ลำไส้เล็ก และ ลำไส้ใหญ่บวม เพราะตับไม่สามารถ สร้างน้ำดี ส่งไปให้ถุงน้ำดี จึงไม่มีน้ำดี จะไปย่อยไขมัน ฉะนั้น อาหาร ที่ตกค้าง ในลำไส้เล็กจึงไม่ย่อย ทำให้เกิดแก๊ส เป็นลมอืด จุกเสียด เต็มลำไส้ ถ้าเป็นบ่อยๆ จะส่งผล ทำให้ตา เป็นต้อต่างๆ ได้ สาเหตุมาจาก การกินอาหาร ที่เป็นพิษและย่อยยาก เช่น... ข้าวโพด จะย่อยได้ต้องใช้พริกและเครื่องเทศมากๆ (ข้าวโพดอ่อนกินได้) ฟักทอง จะย่อยได้ต้องใส่ใบโหระพา ใบแมงลัก หน่อไม้ จะย่อยได้ต้องมีใบย่านาง กะทิ จะย่อยได้ต้องมีมะเขือพวง แครอท ไม่มีอะไรแก้ให้ช่วยย่อยได้เลย อาหารที่มีไซยาไนด์สูง เช่น ชะอม สะตอ ลูกเนียง หน่อไม้ฝรั่ง และหน่อไม้ทุกชนิด อาหารที่มีกำมะถันสูง เช่น ขนุน ทุเรียน มะม่วงสุก (ต่อฉบับหน้า) - เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๑ สิงหาคม ๒๕๔๘ - |