- จำลอง ศรีเมือง -


ผมชอบคุยโม้โอ้อวดกับใครๆ เสมอๆว่าผมอยู่ป่าอยู่ดอย แต่ดอยที่ผมอยู่ก็แค่ดอยในภาคกลางเท่านั้น ไม่ทุกข์ยาก เหมือนใน ภาคเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนฤดูหนาวซึ่งปีนี้หนาวหลายวันเสียด้วย หนาวมาก กลางเดือนธันวาคม ภูชี้ฟ้า จังหวัด เชียงราย หนาวถึง ๔ องศา

ผมเคยพาคณะผู้ช่วยครูไปดอยอ่างขาง (หนาวพอๆกับภูผาที ในแคว้นซำเหนือของลาวที่ผมเคยอยู่) ไปเยี่ยมให้กำลังใจ ครูบ้านนอก ที่สอนเด็กชาวเขา และช่วยสร้างห้องน้ำห้องส้วมบ้างเล็กๆ น้อยๆ

ระยะนี้มูลนิธิ สมาคมเพื่อการกุศลบางแห่งกำลังเรี่ยไรเงินซื้อผ้าห่มไปแจกคนบ้านนอกทางเหนือ ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าอนุโมทนา เพราะ "เครื่อง (นุ่ง) ห่ม" เป็น ๑ ในปัจจัย ๔ จำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ แต่น่าคิด ทำไมต้องไปแจกซ้ำๆ กันทุกปี ปีละมากๆ เหมือนกับว่า ผ้าห่มเป็นของใช้สิ้นเปลือง ผ้าห่มที่ผมใช้เกือบทุกคืนซื้อตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นเวลา ๓๑ ปีแล้วยังใช้ได้เลย ถ้าซื้อชนิดดีๆ หน่อย และผู้รับแจกไม่เอาไปขาย รักษาดีๆ คงไม่ต้องแจกกันทุกปี

คนไทยเคยขนผ้านวมกว่า ๔,๐๐๐ ผืนไปแจกชาวเมืองโกเบประเทศญี่ปุ่นเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้ได้อยู่ ผ้านวม ทำจากเมืองไทย ด้วยฝีมือคนไทย ราคาไม่แพงเลย ตอนนี้ผมรู้จักใครที่กำลังจะซื้อผ้าห่มไปแจกผมต้องเตือนเรื่องนี้

อยู่บ้านป่าสุขภาพจิตดี อยู่กลางขุนเขาลำเนาไพรกับวัว ควาย หมา แมว ไม่มีข่าวคราวอะไรทำให้ต้องทุกข์ใจ แต่จะทิ้ง ไปเสียเลย ก็ไม่ได้ เวลาเข้ากรุงผมนั่งรถประจำทาง มีเวลาหลายชั่วโมง อ่านหนังสือพิมพ์ย้อนหลัง ซึ่งลงข่าวติดต่อกัน หลายวัน ตอนนี้ไปที่ไหน ก็ได้ยินแต่คนต่อว่า นายกฯทักษิณ และรัฐบาลอยู่เรื่อยๆ

คนที่รู้จักผมและเป็นห่วงบ้านเมืองมี ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งชักชวนผมให้ไปถล่ม ดร.ทักษิณ อีกฝ่ายหนึ่งขอให้ไปช่วย ฝ่ายแรก มีจำนวนมากกว่า อย่างเทียบกันไม่ได้ ผมไปงานของสถานทูตญี่ปุ่นได้มีโอกาสพบผู้ใหญ่ ซึ่งเคยร่วมงานกันมา สมัยที่ผมเป็น เลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ท่านเคยเป็นทูตไทย ในหลายประเทศ เคยเป็นผู้พิพากษาก็เคย

ท่านบอกว่าพยายามตามหาผม อยากจะให้ผมออกมาพูดเรื่องการโกงกิน ซึ่งกำลังอื้อฉาวอยู่ในขณะนี้ ผมก็เรียนท่านว่า ผู้ใหญ่ ในบ้านเมือง ซึ่งมีความสำคัญและมีคนรู้จักมากกว่าผม ท่านก็ออกมาพูดแล้ว ทั้งท่านประธานองคมนตรี เปรม องคมนตรี สุรยุทธ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล คุณหมอประเวศ และท่านอื่นๆ ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ถ้าผมออกมาวิจารณ์ คงจะไม่เกิด ประโยชน์อะไรแน่นอน

นักเขียนนักคิดคนหนึ่งวิจารณ์ไว้น่าอ่าน ว่าแกเปรียบเสมือนผู้โดยสารคนหนึ่ง ในขบวนรถด่วน "ทันสมัย" ของท่านนายกฯ ทักษิณ ซึ่งวิ่งเอาๆ วิ่งไปสู่ความทันสมัยล้ำยุค เกิดความผิดพลาดไม่เป็นดังฝันหลายเรื่อง ยิ่งฟังนายกฯ พูด ก็ยิ่งมึน ยิ่งเบื่อ ขอร้องให้ใครๆ หยุดขบวนรถนายกฯ หน่อย แกจะลงแล้ว

ผู้ที่สนใจกับคำว่า "ขาลง" ก็วิเคราะห์ว่า เป็นเพราะรัฐบาลมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ได้ ส.ส. ๓๗๗ คน ในจำนวน ๕๐๐ คน มีอำนาจ ในสภา ท่วมท้นเป็นประวัติการณ์ของการเมืองไทย ไม่ต้องฟังเสียงข้างน้อยในสภา และนอกสภา ทำให้เกิดขบวนการ "ชมรม คนรู้ทันทักษิณ" "กลุ่มน็อคเอ๊าท์ (ล้ม) ทักษิณ".....จนมาถึงการเคลื่อนไหว "ทวงคืนประเทศไทย" และ "ถวายพระราช อำนาจคืน"

นับวันการต่อว่าต่อขานท่านนายกฯทักษิณและรัฐบาล จะเพิ่มประเด็นมากขึ้น เช่นการใช้จ่ายเงินของแผ่นดิน อย่างสุรุ่ยสุร่าย ไม่รู้จัก ประหยัดบ้างเลย เงินที่มีอยู่ไม่พอมือ ก็เอาเงินในอนาคตมาใช้ จนรัฐบาลและประชาชน ต่างเป็นหนี้นุงนัง แล้วชาติ จะรอดได้อย่างไร ถูกต่อว่าเรื่องนี้มากๆ เข้า เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม คณะรัฐมนตรีจึงประชุมกัน มีมติชักชวนให้ประหยัด ว่าเทศกาล วันขึ้นปีใหม่ ข้าราชการพนักงาน หรือลูกจ้างในหน่วยงานต่างๆ ไม่ต้องไปอวยพร หรือซื้อของขวัญให้เจ้านาย ไม่เห็นมีมติว่า "ต้องประหยัดโดยการไม่โกง ไม่ว่าเงินจะกี่ล้าน โอกาสอำนวยแค่ไหนก็ไม่โกง จะรับเฉพาะสิ่งที่พึงได้ โดยชอบธรรม เท่านั้น"

ในเวลาเดียวกันสภาผู้แทนราษฎรได้เตรียมปรับปรุงตกแต่งห้องรับรองของ ส.ส. จะใช้เงินถึง ๔๐ ล้านบาท แทนที่จะประหยัด นำเงิน ไปแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ถ้าเป็นเงินของตัวเอง ไม่ใช่เงินหลวง จะกล้าจ่ายไหม

ผมเคยเขียนใน "เราคิดอะไร" แล้วว่าได้ไปเดินดูรัฐสภาของญี่ปุ่น ประเทศเขารวยแสนรวย ตึกที่ทำงานของรัฐสภา เก่าแสนเก่า เขาไม่คิดที่จะไปสร้างใหม่ ให้เปลีองเงิน ทนใช้ด้วยความภาคภูมิใน ส่วนเราคิดอยู่เรื่อย จะไปสร้างที่โน่นที่นี่ กี่พันล้านบาท "จนแล้ว ไม่เจียมเสงี่ยมดวงใจ"

ประชาชนเขาเลือก ส.ส. ส.ว. เข้าไปเพื่อแก้ปัญหาไม่ใช่สร้างปัญหา เอาแต่คิดจะใช้เงินท่าเดียว ปีใหม่นี้ ถ้าท่านผู้ทรงเกียรติ คือ รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. จะให้ของขวัญแก่ประชาชนละก็ คำมั่นสัญญาว่า "จะขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ เสียสละ" จะเป็นสิ่งที่ ประชาชน ต้องการมากที่สุด

สำหรับคนขับรถแท็กซี่ ท่านนายกฯทักษิณ สั่งพิมพ์คู่มือ "แท็กซี่ยิ้ม" แจกเป็นของขวัญถึง ๒๐๐,๐๐๐ เล่ม มีข้อความ คลุมเรื่อง ต่างๆ ๙ เรื่อง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคำแนะนำ การป้องกันตน ของคนขับแท็กซี่ จากการถูกทำร้าย ถูกปล้น ถูกจี้

ผมเคยชวนท่านผู้อ่านให้พูดให้ปฏิบัติต่อคนขับแท็กซี่ ซึ่งก็เหมือนเป็นของขวัญนั่นเอง ที่ให้กันทุกวัน ไม่ใช่เฉพาะวันขึ้น ปีใหม่ พูดว่า "ขอให้โชคดีได้รับผู้โดยสารเรื่อยๆ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่เล่นการพนัน ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย" พร้อมกับแถมเงิน ให้ครั้งละ ๑๐ กว่าบาท ก็ยังดี เป็นกำลังใจ ให้ทำคุณงามความดีต่อไป

คำพูดเล็กๆ น้อยๆ เงินนิดๆหน่อยๆ มีค่าต่อเขามาก เขายิ้มด้วยความตื้นตันใจ บางคนยกมือไหว้ ไหว้แล้วไหว้อีก ความดี แม้เล็ก แม้น้อยช่วยกันทำเถิด เพราะเวลาของแต่ละคนเหลือน้อยลงทุกที ปีใหม่มาเตือนเรา ปีแล้วปีเล่า ต้องรีบทำ

ในยามที่น้ำมันแพงและหาที่จอดรถยาก ถ้าหันมาใช้ "รถมหาชน" คือรถแท็กซี่บ้าง จะช่วยได้ เราจะไปเปลี่ยน เครื่องยนต์ ให้ใช้แก๊ส ประหยัดเงินเหมือนรถแท็กซี่ หากทำกันมากๆแก๊สอาจขึ้นราคาอีกมากๆ ก็ได้ นอกจากต้องเสียเงินก้อน ปรับเครื่อง ยนต์แล้ว ยังเสียค่าเชื้อเพลิง แพงเกือบเท่าเดิม

หลายแห่งที่ไป งานเลิกแล้วตั้งนาน ยังขับรถออกมาไม่ได้ เพราะรถเยอะต้องเข้าแถวทยอยกันออก สู้ผมไม่ได้ เดินออกมาปุ๊บ โบกรถ มหาชนปั๊บ ค่าแท็กซี่ก็ไม่ได้แพงกว่า ค่าน้ำมันรถส่วนตัวเลย ขอให้อย่าอายเท่านั้น ไม่เห็นจะน่าอายตรงไหน

เดือนธันวาคมที่ผ่านมา เป็นเดือนที่ครบ๑๒ เดือนของการต่อต้านเบียร์-เหล้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ ต้นเดือนมีข่าว คณะ รัฐมนตรี มีมติคล้ายๆ จะสงสารคณะผู้ต่อต้านว่ายืนกระต่ายขาเดียวมาได้อย่างไร จนเกือบครบปี ออกกฎควบคุม การขาย เหล้าว่า ตั้งแต่วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ขายเหล้าได้เฉพาะเวลา ๑๑.๐๐ น. ถึง ๑๔.๐๐ น. และ ๑๗.๐๐ น. ถึง ๒๔.๐๐ น. พร้อมกับกำหนดว่า ตั้งแต่ ๑ มกราคมเป็นต้นไป ห้ามร้านในปั๊มน้ำมัน ขายเหล้า

เป็นการช่วยได้น้อยมาก คณะต่อต้านฯไม่ได้ยินดีปรีดาตามไปด้วยเลย เพาะคนไทยดื่มเหล้าและเบียร์ที่บ้านมากที่สุด ปี ๔๘ ดื่มเหล้าที่บ้าน ร้อยละ ๖๓.๒ ดื่มเบียร์ที่บ้านร้อยละ ๖๖ ซื้อจากร้านขายของชำมากที่สุด เหล้าขาวร้อยละ ๘๗.๕ เบียร์ร้อยละ ๕๕.๔ มาตรการที่ออกมา จึงช่วยได้นิดเดียว

เจ้าของกิจการน้ำเมาที่รวยมาก รู้จักกันทั้งในและต่างประเทศ ติดต่อผ่านมาถึงผม ขอพบปะพูดคุยด้วย ผมตอบไป ด้วยความเกรงใจว่า ท่านผู้นั้นจะเสียเวลาเปล่า นักธุรกิจที่ทำกิจการขนาดใหญ่โตมาก หาเวลาไม่ได้ง่ายๆ เมื่อพบกันแล้ว ทั้งท่านทั้งผม ก็ยังคงยืนหยัด คนละมุม ได้รับคำตอบกลับมาว่า อย่างไรๆ ขอพบขอคุยสักครั้งก็ยังดี เลยนัดกันที่บ้านผม

ปรกติผมเป็นคนช่างบรรยาย ผมกลับเป็นฝ่ายนั่งฟัง ตลอดระยะเวลากว่า ๑ ชั่วโมง ถ้าผมไม่ติดไปที่อื่น คงได้ฟัง นานกว่า นั้นมาก ท่านไม่ดื่มน้ำเมา แต่ถูกกำหนดให้เกิดมา อยู่ในวงการนี้ (เพิ่งพบเป็นครั้งแรก กลัวจะเสียมารยาท เลยไม่กล้าถามว่า ใครกำหนด) ท่านต้องการขยายกิจการ เพื่อนำเงินจากต่างประเทศมาช่วยคนไทย ที่ด้อยโอกาส เป็นการช่วย วัตถุประสงค์ เดียวกับ ที่ผมและคณะ ช่วยผู้ด้อยโอกาส คือเกษตรกร แต่ต่างวิธีกัน

ถ้าเป็นเรื่องถูกต้อง ผมคงรีบมีส่วนช่วยกิจการของท่านผู้นั้นทันที ก็อีกนั่นแหละ หากถูกต้อง ใครจะไปค้าน คงไม่ต้องพบ และคุยกับผม แน่นอน

เนื่องจากผมไม่ได้คัดค้านท่านเลย เกรงว่าจะเข้าใจผิด จึงสรุปว่า การคัดค้านของคณะเรา ไม่ได้จงเกลียดจงชังใคร บริษัทใด เป็นการค้านรวมๆ ค้านธุรกิจน้ำเมา และจะตัดสินใจอย่างไร ผมต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ของหมู่คณะ

ในช่วงระยะเวลาไล่เลี่ยกัน สำนักงาน ก.ล.ต. (กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ก็มีเอกสาร เสนอกรรมการ ก.ล.ต. ๙ หน้ากระดาษ สรุปเรื่องที่มีการคัดค้านเบียร์เหล้า เข้าตลาดหลักทรัพย์ ฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน มีเหตุผลอย่างไร แล้วเสนอ ข้อคิดเห็นว่า ในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ซึ่ง ก.ล.ต. จะประชุมกันนั้น เห็นสมควรอนุญาต ให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้

ผมและคณะรีบหารือกัน ไม่รู้จะไปพึ่งใคร ขอร้อง ส.ส. ๕๐๐ คน ส.ว. ๒๐๐ คน ก็แล้ว มีหนังสือถึง อาจารย์ใหญ่ อธิการบดี โรงเรียน และมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ ให้ช่วยกันต่อต้านก็แล้ว พบประธาน ก.ล.ต. ทั้งคนเก่าและใหม่ รวม ๔ ครั้ง ก็แล้ว ส่งเอกสารให้กรรมการ ก.ล.ต. เพิ่มเติมทุกเดือน ขอร้องวิงวอนว่าอย่าอนุญาตก็แล้ว และดำเนินการเจรจา กับใคร ต่อใคร อีกมากมาย ตลอด ๑๒ เดือน ไม่เกิดผลเลย

ที่ประชุมของคณะเราไม่มีทางเลือกจริงๆ ก็ต้องชุมนุมด้วยความจำเป็นและจำใจ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑๓ ธันวาคม เป็นการ ชุมนุม ครั้งใหญ่สุด เท่าที่เราเคยค้านเรื่องนี้มา ชุมนุมแบบยืดเยื้อยาวนาน กินที่นั่น นอนที่นั่น (หน้าที่ทำงาน ก.ล.ต. ถนน วิทยุ)

รัฐบาลอาจใช้รถดับเพลิงเอาน้ำไล่ฉีดสลายการชุมนุม อาจใช้ตำรวจเอากระบองไล่ตีไล่จับเราก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ถึงกับ ทำให้เราเสียทรัพย์ เสียอวัยวะ ผมพูดเสมอๆ ว่า การต่อต้านเบียร์เหล้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็น"การรักษาธรรม" ทุกศาสนา ค้านทั้งนั้น

ถามตัวเองและหมู่คณะ ไหนว่า "จะเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต และเสียสละชีวิต เพื่อรักษาธรรม" แล้วชวนกันไปชุมนุมลำบากแค่นั้น ทนไม่ได้เชียวหรือ

ก.ล.ต.ทราบเรื่องเราเตรียมชุมนุมใหญ่ จึงลงทุนทำงานวันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม ก.ล.ต. รีบแจกข่าวสื่อมวลชนว่า ได้หารือ กันแล้ว ยังไม่มีการพิจารณาอนุญาตเบียร์เหล้า ในวันที่ ๑๔ ธันวาคม แน่นอน และจะประชุมพิจารณาเรื่องนี้อีก ก็ต่อเมื่อ ได้ออกกฎหมายควบคุมเบียร์เหล้า อย่างเคร่งครัดเสร็จแล้ว

คณะผู้คัดค้านประชุมกันมีความเห็นว่าควรยุติการชุมนุม ติดตามดูเรื่องนี้ต่อไป ว่ารัฐบาลออกกฎหมายแล้ว ควบคุมเบียร์-เหล้า เข้มงวดกวดขันได้ไหม ซึ่งการให้ออกกฎหมายเสียก่อน เป็นข้อหนึ่งของการเรียกร้องของฝ่ายเรา ผ่านไปยังประธาน ก.ล.ต. แต่ข้อที่เราอยากได้มากที่สุดคือ ให้ "ทำประชามติ" พร้อมกับการเข้าคูหาเลือก ส.ว. ๑๙ เมษา ที่จะถึงนี้ ถ้าคน ส่วนใหญ่ ของประเทศ ยอมให้เบียร์-เหล้า เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ ทำไมผู้คัดค้านจะไม่ยอม เพราะเราก็เป็น ประชาธิปไตย เหมือนกัน

วันที่ ๑๔ ธันวาคม กระทรวงมหาดไทย ออกกฎเข้ม จัดการกับการชุมนุมทั่วประเทศว่าการชุมนุมมักใช้วิธีการปิดถนน เพื่อเจรจา ต่อรองกับทางราชการ และตำรวจมักไม่กล้าบังคับใช้กฎหมาย ทำให้รถราได้รับความเดือดร้อน จึงสั่งการตำรวจว่า ตั้งแต่ นี้ต่อไป ต้องกล้าที่จะพังการชุมนุม คงทำให้ผู้คัดค้านเบียร์-เหล้าฯ ชุมนุมลำบากยากเข็ญมากขึ้น ต้องเสียสละมากเข้า ให้สมกับ คำท่องบ่นดังกล่าว (เสียสละ...เพื่อ เสียสละ...เพื่อ และ เสียสละ...เพื่อ)

๙ ธันวาคมที่ผ่านมาเป็นวันสำคัญของโลกวันหนึ่ง คือวันต่อต้านการโกงกิน ผมต้องขออภัยที่ดัดจริตใช้คำไทย "การโกงกิน" แทนคำฝรั่ง เพราะตอนเป็นนักเรียนนายร้อย ถูกอาจารย์ที่เรียนจบจากเมืองฝรั่ง ต่อว่าแรงๆ "เป็นคนไทย ทำไมไม่ใช้ ภาษา ไทย" อาจารย์ท่านนั้นเสียไปนานแล้ว แต่คำสั่งของท่านยังอยู่ ผมต้องเป็นศิษย์เชื่อครูต่อไป ไม่มีกำหนด

วันต่อต้านการโกงกิน มีการจัดอภิปรายหลายแห่ง น่าสังเกตว่าก่อนหน้านี้ก็มีการวิจารณ์อย่างรุนแรงและมีศัพท์ใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น "การเมืองธนกิจ" และ "วิจิตรโจรกรรม" เป็นต้น คำหลังนั้น นักวิชาการระบุว่า การโกงกินสมัยนี้เป็นการจี้การปล้น ที่วิจิตร สวยงาม โกงกินอย่างถูกกฎหมาย เพราะคนโกงกิน เป็นคนออกกฎหมาย หรือสนับสนุน ให้ออกกฎหมาย

พูดไปพูดมา นักวิชาการบางท่านจนปัญญาไม่รู้จะหาทางแก้อย่างไร จึงเสนอให้นำการสาบานมาใช้ ถ้าใช้ได้ผล เมืองไทย คงสบายไปนานแล้ว ไม่ต้องมีศาล ไม่ต้องมีตำรวจ ไม่ต้องมีคุก ตั้งกรมใหม่ขึ้นมากรมเดียวก็พอ คือ "กรมสาบาน" จัดให้มี การสาบานทั่วประเทศ เพื่อป้องกันการโกงกิน

การต่อต้านไม่ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เข้าตลาดหลักทรัพย์ ยังคงดำเนินอยู่ หลังจากศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษา ออกมาให้ชะลอการเข้าตลาดหลักทรัพย์ไว้ก่อน ประชาชนผู้คัดค้าน กำลังให้ข้อมูลแก่ประชาชน ที่ไม่รู้หนาวรู้ร้อน ว่า เป็นการ ขายสมบัติของชาตินะ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะขายเขื่อนขายเสา ขายสายส่งไฟฟ้า ที่ประเทศลงทุนมหาศาล กว่าจะได้ สมบัตินี้มา

เมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว ต่อไปต่างชาติก็สามารถซื้อหุ้นต่อได้ กลายเป็นเจ้าของเขื่อนเจ้าของเสาเจ้าของสาย กระทบ ระบบ พลังงานหลักของประเทศ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งบางประเทศที่เห่อการนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือ การขายหุ้น ให้ต่างชาติ ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวมาแล้ว

ปี ๔๒ เราเคยช่วยกันคัดค้านรัฐบาลก่อนรัฐบาล ดร.ทักษิณ เป็นผลสำเร็จมาแล้ว ไม่ให้ขายหุ้นบางจากให้ต่างชาติ เป็นผล ให้สามารถรักษาหุ้น การบินไทย ปตท. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตไว้ได้ ไม่ให้ตกเป็นของต่างชาติ

เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ เรากลับมาเจอปัญหาเก่าอีก

อาจารย์จุฬาฯ ท่านหนึ่งเขียนบทความขอของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ขอให้รัฐบาลยกเลิกการแปรรูป กฟผ. "ดร.ทักษิณ น่าจะรีบ จัดของขวัญนี้ให้ ไหนว่าจะคิดใหม่ ทำใหม่ ไงล่ะ เพราะการแปรรูป กฟผ. เริ่มจากรัฐบาลอื่น พรรคอื่น" (ข้อความ ในเครื่องหมายคำพูด ผมเขียนเติมเอาเอง) คนสนิทท่านนายกฯ ถ้าได้อ่านตรงนี้ ช่วยเอาไปให้ท่านอ่านด้วย

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๖ มกราคม ๒๕๔๙ -