สุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง * ผู้ปิดทองหลังพระ

ขณะที่โลกเต็มไปด้วยสีสันจัดจ้าน
ด้วยไฟกิเลสตัณหา
ชีวิตที่เรียบง่ายของใครบางคน
อาจทำให้รู้สึกถึงความสงบในใจ
พอเพียงจะเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ
ที่มอบให้แก่กัน

 

# # # ชีวิตในวัยเยาว์
สนใจศาสนาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม แต่ในช่วงเรียนประถมศึกษานั้นวิชาที่เกลียดที่สุด คือ ศีลธรรม เพราะคะแนนไม่สูง และมัก จะเป็นครูแก่ๆ มาสอน แถมยังจัดวิชานี้ ให้เรียนตอนบ่ายโมง หลังกินข้าวเสร็จใหม่ๆ ครูให้เด็กอ่านบทนั้นบทนี้ มันน่าเบื่อมาก ผมนั่งหลับตลอด ศีลธรรม จึงเป็นวิชาที่ผม ไม่สนใจ ต่อมา เมื่อเรียนชั้น ป.๒ ครูสอน ศีลธรรมคนใหม่ ไม่สอนตามเนื้อหา ในหนังสือ มักจะเล่าเรื่อง ชาดกต่างๆ บ้าง เล่าประสบการณ์ในชีวิตบ้าง แล้วสรุปประเด็นธรรมะ ที่แฝงอยู่ สนุกน่าสนใจ รู้สึกว่า ศาสนาพุทธ เป็นวิทยาศาสตร์ เช่นครั้งหนึ่ง ครูถามนักเรียนว่า ถ้ามีใครว่าเราเป็นหมา เราจะโกรธไหม เราบอกโกรธ ครูสอนว่า ตามหลักธรรมของพุทธศาสนา ทีหลัง พอมีใคร ว่าเราเป็นหมา ก็ลองเอามือคลำดู ว่าเรามีหางไหม ถ้าไม่มีหาง งอกออกมา ไม่มีหูยื่นออกมา ก็ไม่ใช่หมา แล้วเราโกรธทำไม เพียงคำพูด ไม่ทำให้เราเป็นหมาได้

อีกเรื่อง ครูเล่าถึงเพื่อนคนหนึ่ง จบจาก ร.ร. เพาะช่าง ทำงานบริษัทเงินเดือน ๗-๘ พันบาท ซึ่งสมัยนั้นถือว่าสูงมาก ส่วน ครูเอง ได้เงินเดือน แค่พันกว่าบาท วันหนึ่ง เพื่อนมาขอยืมเงินครู ทั้งที่ก็ตัวคนเดียว ไม่มีภาระ แต่เงินเดือนหมดไปกับ การเที่ยวเตร่ อบายมุข ครูก็เล่าเปรียบเทียบ กับตัวเองว่า ครูมีครอบครัว เงินเดือน ก็น้อยกว่า แต่ยังพอใช้ เพราะเพื่อนของครู ใช้เงินไม่เป็น จึงไม่มีเหลือ และครูก็สรุปหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องการใช้เงินว่า ถ้าหาเงินมาได้ ให้แบ่งเป็น ๔ ส่วน ส่วนที่ ๑ เก็บออมไว้ ใช้ในยามจำเป็น ส่วนที่ ๒ เก็บไว้จุนเจือญาติพี่น้อง ส่วนที่ ๓ เก็บไว้ทำบุญ ส่วนที่ ๔ เก็บไว้ใช้ส่วนตัว ถ้าเรารู้วิธีบริหารเงิน แต่ละเดือน ก็จะเหลือเก็บ เหลือใช้ ฟังแล้ว ผมรู้สึก ศาสนาพุทธมีแนวคิด ที่เป็นเหตุเป็นผลดี ไม่ใช่ เรื่องของปาฏิหาริย์ พออยู่ชั้น ม.ศ. ๓ ได้เป็นสารวัตรนักเรียน ครูให้เฝ้าห้องสมุด ก็มีโอกาส ได้อ่านหนังสือ หลายเล่ม เกี่ยวกับ ปรัชญา และศาสนา เช่น ศิษย์โง่เรียนเซ็น นั่นเป็นจุดเริ่มต้น รู้จักหาหนังสือธรรมะอ่าน

เมื่อเข้าเรียนต่อที่ ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา มีโอกาสช่วยตั้งชมรมพุทธ ซึ่งแต่เดิมในโรงเรียนจะมีแต่ชมรมอื่นๆ เช่น ชมรม คณิตศาสตร์ บ้าง ภาษาบ้าง สังคมสงเคราะห์บ้าง แต่ไม่มี ชมรมพุทธ พอเข้ามหาวิทยาลัย ก็ได้ไปช่วยงาน ชมรมพุทธ ที่จุฬาต่อ เมื่อเรียนจบ ก็เลยช่วยงานที่ ธรรมสถานจุฬาฯ กับอาจารย์ระวี ภาวิไล อีก ๑ ปี และมีโอกาส ช่วยประสานการ จัดงาน วิสาขบูชาที่สวนลุมพินี เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๔ ด้วย


# # # ชีวิตช่วงนั้นสนใจในเรื่องอื่นที่คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่สนใจหรือไม่
ผมชอบเรื่องสมาธิ เรื่องพลังจิต และก็ตามศึกษาจากหลายสำนักเพื่อเปรียบเทียบกัน เมื่อสนใจเรื่องศาสนา กิจกรรมอื่น เลยไม่ค่อยสนใจ ตอนปิดเทอม มีเวลาว่าง แต่ละช่วง ก็หาโอกาส ไปศึกษาปฏิบัติธรรม ที่สำนักโน้น สำนักนี้ ผมมีโอกาส ไปวัดป่าบ้านตาด ของพระมหาบัว มีโอกาสบวชนิสิตภาคฤดูร้อน ที่วัดของอาจารย์ชา หนองป่าพง และเป็นธรรมทายาท ที่วัดธรรมกาย ตอนนั้นเรียกว่า ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม รวมทั้งมีโอกาสไปปฏิบัติ ที่วัดเขาสุกิม ไปถ้ำโพธิสัตว์ ไปสวนโมกข์ และก็ได้มาติดตาม ศึกษาที่ สันติอโศกด้วย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ชมรมพุทธที่จุฬา จัดนิทรรศการมองตน และได้นิมนต์ พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ รวมทั้งสมณะอื่นอีกหลายรูป ไปร่วมตอบปัญหา ซึ่งเป็นงาน ที่มีผู้สนใจมาก ผมก็ได้รู้จักชาวอโศก ตั้งแต่ ตอนนั้น จำได้ว่า ผมถามพ่อท่าน ในเรื่องธรรมะเชิงลึก ถามเรื่องญาน ฌาณสมาบัติต่างๆ แต่พ่อท่าน กลับตอบ เรื่องศีล ซึ่งดูเป็นเรื่องพื้นๆ ทำให้สะดุดใจ และเริ่มสนใจ สันติอโศก ในแง่เป็นพระสายปฏิบัติ


# # # เข้าสู่ถนนการเมือง
ปีพ.ศ. ๒๕๒๖-๒๕๒๗ ผมกำลังเรียนปริญญาโท มีเวลาว่างก็มาศึกษาปฏิบัติธรรมกับชาวอโศกมากขึ้น ช่วงนั้นมีการตั้ง สมาคม ผู้ปฏิบัติธรรมขึ้น ผมได้รับเลือก เป็นเลขาของสมาคม และได้ร่วมทำกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งเขียนบทความ เชิง วิเคราะห์ ลงในหนังสือ สารอโศก ใช้นามปากกา ๒๑.ส.

ต่อมาเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๘ พลตรีจำลองศรีเมือง ลาออกจากชีวิตราชการ ลงสมัครเลือกตั้งเป็นผู้ว่ากทม. ในนามของ กลุ่มรวมพลัง ผมในฐานะ เคยทำงาน ร่วมอยู่ในองค์กร ของชาวอโศก กับท่าน พลตรีจำลอง ศรีเมือง ก็ได้ช่วยท่านหาเสียง พอชนะ การเลือกตั้ง ได้เป็นผู้ว่ากทม. ก็ต้องการคนช่วยทำงาน ทันตแพทย์หญิง อัปสร บุญประดับ ซึ่งเป็นข้าราชการ สังกัด กทม. ในขณะนั้น และเป็นญาติธรรมที่คุ้นเคยกับผม ได้แนะนำให้เข้าไปช่วยงาน นายแพทย์ฉลาด ถิรพัฒน์ รองผู้ว่าฯ กทม. สมัยนั้น ไปทำหน้าที่เป็น เลขานุการ รองผู้ว่าฝ่ายการสาธารณสุข ซึ่งเป็นตำแหน่ง ข้าราชการการเมือง ก็ได้ทำงานต่อเนื่อง ๔ ปีจนจบ

สมัยแรก และในสมัยที่ ๒ ของท่านพลตรีจำลอง ศรีเมือง ท่านก็ตั้งให้เป็นเลขานุการผู้ว่ากทม. จนในสมัยที่ ๓ ผู้ว่าฯ กทม. อาจารย์กฤษฎา อรุณวงศ์ ณ อยุธยา ผมก็ได้เป็น เลขานุการของผู้ว่าฯ อีกสมัยหนึ่ง เบ็ดเสร็จ ผมทำงานเป็นข้าราชการ การเมือง ของกรุงเทพมหานคร อยู่ถึง ๑๐ ปี


# # # เป็นทั้งนักการเมืองและนักธรรมะมีความขัดแย้งไหม
ไม่มี และความจริงมันยิ่งเสริมกันด้วย เพราะการเมืองต้องการคนที่มือสะอาด และมีความตั้งใจทำงานเพื่อช่วยบ้านเมือง ซึ่งผู้ว่าฯ พลตรีจำลอง ศรีเมือง ก็เป็นต้นแบบ ของนักการเมือง ที่กินน้อยใช้น้อย ไม่โกงกินอย่างเด็ดขาด เพราะฉะนั้น ทีมงาน ที่เข้าไปช่วย ก็ต้องคัดคนที่มีคุณลักษณะเดียวกัน ไปร่วมทำงาน ทำให้สามารถ ประหยัด เงินงบประมาณ ในการประมูล จัดซื้อ จัดจ้าง รวมแล้วหลายพันล้านบาท เพราะกทม. เป็นงานท้องถิ่น ที่เป็นแหล่งผลประโยชน์ใหญ่ งานแต่ละด้าน ถ้าคิด จะหา ผลประโยชน์ ก็ได้ทั้งนั้น เงินงบประมาณ กทม. ปีหนึ่ง หลายหมื่นล้านบาท มีโครงการขนาดใหญ่ๆ อยู่มาก ซึ่งหา ผลประโยชน์ได้ โดยสื่อมวลชน ไม่ค่อยสนใจ ติดตาม เรื่องนี้ ความเป็นนักปฏิบัติธรรม ช่วยได้มาก เพราะเราไม่มีความโลภ ในทรัพย์สิน เงินทอง มากมาย เราพอมีพอกินอยู่แล้ว กินเงินเดือนประจำ ตอนผม ออกจากตำแหน่ง เมื่อครบวาระ ผมก็มี เงินออมสะสม จากเงินเดือน ที่เก็บไว้ประมาณ ๓ แสนบาท เท่านั้น

# # # ตำแหน่งปัจจุบันนี้มีบทบาทช่วยสังคมอย่างไร
ผมช่วยประสานงานและผลักดันโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยเน้นงานเรื่องการแก้ปัญหาความยากจน เช่น ทำเรื่อง เกษตรอินทรีย์ ที่รัฐมนตรี มอบหมายให้ดูแล รวมทั้ง การแก้ปัญหาความยากจน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ล่าสุด มีการนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๘ ถึงแนวยุทธศาสตร์ การแก้จน ของ กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ โดยยึดหลัก ๔ ข้อด้วยกัน คือ

๑. เน้นการสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้เกษตรกรที่ยากจนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารความรู้และตกผลึกจนเกิดปัญญาเข้าถึงแนว เศรษฐกิจพอเพียง เพราะในอดีต ที่ผ่านมา หลายๆ โครงการ ที่กระทรวงเกษตรเคยช่วยเหลือเกษตรกรนั้น เน้นการช่วยเหลือ ด้านวัตถุ โดยไม่ได้ช่วยให้ครบวงจร ไม่ได้ให้ปัญญ าและความรู้ ควบคู่ไปด้วย เช่น พอราคาปุ๋ย แพงขึ้น เราก็ส่งเสริม ให้เกษตรกร ทำปุ๋ยอินทรีย์ มีงบประมาณให้สร้างโรงปุ๋ยอินทรีย์จำนวนมาก โดยใช้งบประมาณ ท้องถิ่นบ้าง งบกระตุ้น เศรษฐกิจบ้าง งบประมาณ จากผู้ว่าราชการจังหวัดบ้าง แต่โรงปุ๋ยหลายแห่ง เมื่อก่อสร้างเสร็จ ก็กลายเป็นโรงปุ๋ยร้าง เพราะ ชาวบ้านไม่มีปัญญา บริหารจัดการต่อ บางแห่งชาวบ้าน ก็รู้จัก สูตรทำปุ๋ยที่ตายตัว พอวัตถุดิบหมด หรือขาดแคลน ก็ไม่สามารถ ประยุกต์ดัดแปลง เอาวัตถุอื่นในพื้นที่ มาใช้แทน เป็นต้น เพราะฉะนั้น นโยบายในการแก้ปัญหา ความยากจน ของกระทรวงเกษตร ตามที่เสนอคณะรัฐมนตรี จึงให้ความสำคัญแก่การสร้างกระบวนการเรียนรู้ ของเกษตรกร เป็นข้อแรกเลย

๒. เน้นฝึกอบรมจากภาคปฏิบัติ การเรียนรู้ไม่ใช่การฟังบรรยายในห้อง แต่ต้องให้เกษตรกรได้ฝึกทำจริงด้วย ให้เกิดทักษะ ในการรู้จัก ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส

๓. เน้นเอาที่ดินที่รกร้างว่างเปล่ามาใช้ประโยชน์ เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ให้เกษตรกรยากจน

๔. เน้นส่งเสริมให้เกษตรกรร่วมกลุ่มเป็นสหกรณ์ เป็นวิสาหกิจชุมชนหรือเป็นกลุ่มเกษตรกร เพื่อช่วยเหลือพึ่งพาในเรื่องของ การผลิต

ภายใต้หลักการ ๔ ประการนี้ ได้ผลักดัน ๒ โครงการใหญ่ คือ นิคมเศรษฐกิจพอเพียง กับศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง

นิคมเศรษฐกิจพอเพียงจะเน้นเอาที่ดินจัดเป็นที่ทำกินถาวรให้แก่เกษตรกรเช่น ที่ สปก. เป็นต้น แต่เราจัดโดยทำแบบวงจร เพราะ องค์ประกอบ ของการผลิตต้องอาศัยแรงงาน ที่ดิน ทุน และการจัดการ เกษตรกรมีแรงงาน เมื่อบางคนไม่มีที่ดินทำกิน รัฐก็หาที่ดินทำกินให้ เขามีแรงงาน มีที่ดิน แต่ไม่มีทุน รัฐก็หาแหล่งเงิน หรือแหล่งเงินกู้ ดอกเบี้ยต่ำให้ จากกองทุน สปก.บ้าง กองทุนส่งเสริมสหกรณ์บ้าง จาก ธกส. บ้าง เมื่อเขามีแรงงาน มีที่ดิน มีทุน เราก็คิดว่า พอแล้ว จบแค่นั้น แต่สุดท้าย ชาวบ้าน ก็เอาตัวไม่รอด เพราะมีปัญหา เรื่องการจัดการ ฉะนั้น โครงการ จัดที่ทำกินของ สปก. ในอดีตที่ผ่านมา หลายโครงการ เมื่อเรา หาที่ทำกินให้เสร็จ หาแหล่งเงินกู้เสร็จ วางโครงการ พื้นฐาน ขุดบ่อน้ำให้ ปรับถนนให้เสร็จแล้วก็ปล่อยมือ ชาวบ้านก็ทำเป็น แค่ปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด พอขายไม่ได้ราคา ก็กลายเป็นหนี้สิน ไม่มีปัญญา จ่ายเงินคืน ธกส. สุดท้าย ก็ทิ้งที่สปก. ขายที่ดิน ให้นายทุนบ้าง ให้คนอื่นบ้าง ตัวเองก็ออกมาเป็นแรงงานรับจ้าง แนวคิดเรื่อง นิคมเศรษฐกิจพอเพียง คือ ต้องการช่วยแบบ ครบวงจร โดยถ้ามี ที่ว่างเปล่าของ สปก. ที่จะจัดสรรที่ให้คนยากจน ก็จะไม่ให้เป็นเอกสารสิทธิแบบเดิม แต่เราจะเน้น ให้ชาวบ้าน รวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ แล้วใช้สหกรณ์ มารับเอกสารสิทธิ จาก สปก. เพราะฉะนั้น สมาชิกที่ถือหุ้นของสหกรณ์ ก็เท่ากับเป็นเจ้าของที่ดินทั้งแปลงใหญ่ร่วมกัน แต่ใครจะเอาที่ของ สปก. ขายหรือไปให้คนอื่นเช่า ไม่ได้ เพราะโดยนิตินัย เป็นของ สหกรณ์ ก็ทำให้สามารถครอบครองที่ดินทั้งผืนใหญ่ โดยสามารถจัดรูปการใช้ที่ดิน ส่วนไหนเป็นเขตที่พัก ส่วนไหน เป็นเขตที่ทำกินรวม ส่วนไหน จะเป็นที่สาธารณูปโภคส่วนกลาง ก็สามารถจัดรูปการใช้ ให้เกิดประโยชน์สูงได้ เราเรียก โครงการ แบบนี้ว่า เศรษฐกิจพอเพียง โดยจะทดลอง นำร่อง ๑๐ แห่ง ทั่วประเทศ ขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ เปิดไปแล้ว ๒ แห่ง และจะขยายต่อไปอีก ถ้าทำแล้วได้ผล หลักการนี้ สามารถนำไปใช้ได้ แม้กระทั่ง ในที่ดิน ที่มีเอกสารสิทธิ ชาวบ้าน ก็สามารถ รวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์ แล้วก็ใช้สหกรณ์ทำสัญญา เช่าที่ดินแปลงย่อย จากสมาชิก เพื่อรวมเป็นที่แปลงใหญ่ แล้วจัดรูป การใช้ที่ดิน ร่วมกันใหม่

ส่วนอีกโครงการเราเรียกว่าโครงการศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน ซึ่งไม่ได้เป็นที่ทำกินถาวร อาจเป็นที่ดินสาธารณะบ้าง เป็นที่เอกชน ให้ใช้บ้าง เป็นที่ของ หน่วยราชการบ้าง ขนาดไม่จำเป็นต้องใหญ่ แค่ ๕ ไร่ ๑๐ ไร่ก็ดำเนินการได้ เป็นการต่อยอด ออกจากโครงการเดิม ที่กระทรวงเกษตรทำอยู่ ซึ่งเรียกว่า โครงการ ๑ ตำบล ๑ ฟาร์ม และ ๑ อำเภอ ๑ แปลง แต่ที่ผ่านมา โครงการเดิม เขาทำไม่ครบวงจร คือเอาชาวบ้านมาฝึกทำเกษตรเสร็จ ก็คิดว่าชาวบ้าน จะมีความรู้ แล้วไปทำกันเองได้ แต่จริงๆ แล้ว แค่นั้นยังไม่พอ เพราะเศรษฐกิจพอเพียง จะมีทั้งเรื่องของมิติความรู้ และคุณธรรม จริยธรรม เช่น การที่จะลด รายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส นอกจากด้านความรู้แล้ว ต้องมีคุณธรรม ในการลดรายจ่าย คุณธรรมในการเพิ่มรายได้ และคุณธรรมในการขยายโอกาสด้วย โดยถ้ารู้จักลดรายจ่าย แต่ยังรั่วไหลออกไป ให้อบายมุข สิ่งเสพติด ก็ไม่มีทางลด รายจ่ายได้ หรือมีความรู้ในการเพิ่มรายได้ แต่ถ้าคนนั้น ขี้เกียจ ไม่อดทน ก็เพิ่มรายได้ไม่ได้ ส่วนการขยายโอกาสนั้น ในระบบ ทุนนิยม เป็นระบบ ที่อยู่ได้ด้วย Credit ถ้า Credit ดี คนนั้นก็จะมีโอกาส Credit เกิดจากพื้นฐานของความซื่อสัตย์ เพราะฉะนั้น การจะขยายโอกาสได้ ในเศรษฐกิจแบบ ทุนนิยม เราต้องมี ความซื่อสัตย์อยู่ด้วย มิติของคุณธรรม จริยธรรม เหล่านี้ ที่ควรใส่เข้าไป เพื่อให้การเรียนรู้ครบวงจร และทำให้คน หายจนได้จริงๆ กระบวนการอบรมกล่อมเกลา ให้มีทั้งความรู้ และคุณธรรม เป็นศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ชุมชน และสมาชิก ที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้แล้ว โครงการเดิม ไม่ได้วาง ระบบรองรับไว้ แต่แนวคิดใหม่ เมื่ออบรมจบไปแล้ว ไม่ต้องไปไหน ให้พวกเขารวมตัวกัน เป็นสมาชิกของศูนย์เรียนรู้แต่ละแห่ง แล้วตั้งเป็นกลุ่ม วิสาหกิจชุมชน หรือเป็นสหกรณ์ หรือเป็นกลุ่มเกษตรกร เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ในด้านการผลิต และ การหาตลาด ให้ครบวงจร


# # # ความภาคภูมิใจในชีวิต
เมื่อมองย้อนกลับไปในวัยเด็ก ผมเคยสนใจศึกษาเรื่องศาสนา เรื่องของความดีงาม ความเป็นเหตุเป็นผล สิ่งเหล่านี้ถูก ปลูกฝัง อยู่ในตัวผม และกลายเป็นปราการ ที่แข็งแรง ป้องกันผม จากสิ่งยั่วยุต่างๆ ตำแหน่งที่ใหญ่โตขึ้น ก็เพียงทำให้ผม ตระหนักว่า ต้องทำงานในหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้น เหนื่อยเพิ่มขึ้น เสียสละ ความสุขตัวเองมากขึ้น พยายาม ใช้โอกาสที่มีอยู่ ช่วยเท่าที่กำลังความสามารถ จะช่วยได้ เมื่อเราไม่หลงมัวเมาในอำนาจ ก็ไม่มีอะไรจะยั่วยุให้เราต้องทำ ในเรื่องที่ผิดๆ ทำเรื่อง ทุจริต คอร์รัปชั่น ความภาคภูมิใจของผม อาจเป็นว่า เวลาที่ผ่านไป ผ่านหลายสิ่งหลายอย่าง ที่นับได้ว่า มีฤทธิ์แรง สามารถ ทำให้จุดยืน หรืออุดมการณ์ของคนเรา สั่นคลอน หรือเปลี่ยนแปลงได้ แต่ผมก็ยังเป็นคนเดิม ที่ยังซื่อสัตย์ต่อตนเอง


# # # งานขีดๆ เขียนๆ
ผมชอบเขียนในเชิงวิเคราะห์ มีผู้วิจารณ์หนังสือที่ผมเขียนว่าค่อนข้างอ่านยาก แต่คนอ่านที่เข้าใจก็มีเหมือนกัน บางคนบอกว่า เป็นหนังสือ เหมาะสำหรับอนาคต หลายสิบปีข้างหน้า แต่ไม่ใช่ในขณะนี้ ผมก็รับฟัง และก็เขียนต่อไปเรื่อยๆ เรื่องที่ตีพิมพ์ เป็นเล่มแล้ว ก็มี เช่น เรื่องแรก ที่ผมเขียนชื่อ วิภาษชาวอโศก ซึ่งเขียนเมื่อรู้จัก ชาวอโศก ได้ไม่นาน ก็มีเสียงฮือฮา ตอบรับ พอสมควร เรื่องอื่นๆ มาก็ "บนเส้นทางที่สับสน" เล่มนี้ผมว่าเหมาะสำหรับหนุ่มสาว ที่กำลังแสวงหา "การเมืองบุญนิยม" พูดถึงปรัชญา การเมืองแนวพุทธ "กระบวนการวิเคราะห์ และปฏิบัติตามพระบรมราโชวาท คุณธรรม ๔ ประการ ฯลฯ พูดถึง แนวการประพฤติปฏิบัติ ที่เป็น ๗ ขั้นตอน ตามพระบรมราโชวาท เรื่องคุณธรรม ๔


# # # ทราบว่าเป็นผู้มีบทบาทอยู่เบื้องหลังการผลักดันนโยบายสำคัญของรัฐบาลนี้หลายเรื่อง เช่น นโยบายเรื่องวาระ แห่งชาติ เมืองไทยแข็งแรง การรณรงค์งดเหล้า และการตั้ง ศูนย์พัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม ทำไมชอบทำงาน อยู่ข้างหลัง ไม่ทำตัว ให้คนรู้จัก

นโยบายแต่ละเรื่องมีคนช่วยกันคิด ช่วยกันทำ และช่วยกันผลักดันหลายคน จึงสามารถปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ ไม่ใช่เรา ทำคนเดียว จึงไม่ควรอ้างว่า เป็นผลงาน ของเรา

ปกติธรรมชาติของคนเราแต่ละคนที่ยังมีกิเลสตัณหาอุปาทานนั้น ก็มักจะติดอะไรคนละแบบ สำหรับคนที่ติดลาภ ติด ความสุข ทางวัตถุ ก็จะมุ่งหาเงินมากๆ เพื่อมาซื้อหา ความสุขทางวัตถุ คนที่ติดยศ ติดสรรเสริญก็จะมุ่งแสวงหาชื่อเสียง เกียรติยศ อยากให้คนรู้จัก ส่วนผมจัดอยู่ในประเภทติดภพของความสุขสงบ เป็นพวกฤาษีเมือง การมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก ของคนอื่นมากๆ นั้น จะทำให้เราต้องมีภาระ การงานมากขึ้น ต้องติดต่อกับ ผู้คนมากขึ้น เลยชอบทำงาน เป็นกองหลัง ไม่ชอบเป็น กองหน้า แต่ก็รู้ตัวว่า นี่เป็นกิเลส ตัณหาอุปาทาน แบบหนึ่ง เพียงแต่ยังเลิกละไม่ได้


 

ประวัติ
๑. ส่วนตัว
ชื่อ นายสุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง
เกิด กทม. พ.ศ. ๒๕๐๐
สถานภาพ โสด

๒. การศึกษา
- ประถม-ม.ศ. ๓ ร.ร.เปรมฤดีศึกษา
- มัธยมปลาย ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา
- เภสัชศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย
- อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาปรัชญา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหารรัฐกิจ(หลักสูตรนักบริหาร) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

๓. การทำงาน
- ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพ-มหานคร (ทำหน้าที่เลขานุการรองผู้ว่าราชการกรุงเทพ-มหานคร ฝ่ายการสาธารณสุข) พ.ศ. ๒๕๒๘-๒๕๓๒
- เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พล.ต.จำลอง ศรีเมือง) พ.ศ. ๒๕๓๓-๒๕๓๕
- เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ศ.ร.อ.กฤษฎา อรุณวงศ์ ณ อยุธยา) พ.ศ. ๒๕๓๖-๒๕๓๙
- ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๔๘
- อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๖ มกราคม ๒๕๔๙ -