เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๘ มีนาคม ๒๕๔๙ หน้า ๑๑ บ้านป่า นาดอย อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลาคม ตามที่ ฯพณฯนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า การห้ามโฆษณา เบียร์-เหล้าให้เดินสายกลางนั้น เรื่องการโฆษณาเบียร์-เหล้านี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมปรึกษาหารือ ติดต่อกันมา เป็นเวลานาน พิจารณาทุกแง่มุม หามาตรการที่เหมาะสมที่สุดได้แล้ว ซึ่งจะก่อให้เกิดผลดี ต่อประเทศชาติ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยถือเอาเรื่องการห้ามโฆษณาบุหรี่ เป็นบทเรียน เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ที่ผ่านมา ฯพณฯรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศผ่าน สื่อมวลชน ว่า เบียร์-เหล้า ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมเพิ่มขึ้น อย่างมากมาย จะห้ามโฆษณา ๒๔ ชั่วโมง และได้ไป ยืนยันในที่ชุมนุม หน้าสำนักงาน ก.ล.ต. คณะผู้ร่วมชุมนุม ซึ่งชุมนุมติดต่อกันมา ๙ วัน ๘ คืน ได้ยุติ การชุมนุม เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม เพื่อรอให้ก.ล.ต. ปฏิบัติตามกฎหมายปี ๒๕๓๕ และ ๒๕๔๓ (ไม่นำธุรกิจ เบียร์-เหล้า เข้าตลาดหลักทรัพย์) และรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกมาตรการ ห้ามโฆษณา เบียร์-เหล้า ๒๔ ชั่วโมง (ซึ่งใช้เวลาออกมาตรการ ไม่เกิน ๔๕ วัน) ผู้แทนศาสนิกชน ๖๗ องค์กรและเครือข่ายงดเหล้า ๑๗๒ องค์กร ได้ประชุมที่อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลาคม วันนี้เวลา ๑๔.๐๐ น. (เป็นการประชุมภายใน ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟัง) ที่ประชุมเห็นสมควร เรียน เสนอแนะ ฯพณฯแจ้งหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องว่า แม้เบียร์-เหล้า จะมีพิษภัย มากกว่าบุหรี่ หลายเท่านัก ก็ตาม การควบคุม การโฆษณา เบียร์-เหล้า ให้เดินสายกลาง คือทำตามแนวทาง การควบคุม การโฆษณา บุหรี่ก็พอ ซึ่งรัฐบาลได้ทำสำเร็จ เป็นอย่างดีมาแล้ว ผมขออนุญาต ส่งสำเนาจดหมายฉบับนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบด้วย ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง พลตรี........................... อยู่บ้านป่า ก็เหมือนอยู่ในกรุง มีเครื่องใช้ไม้สอยในการพิมพ์ในการติดต่อครบครัน ขณะที่กำลังบรรยาย หลักสูตร "ผู้นำ" บางทีสมาธิดี พูดไป คิดไป คิดว่าจะไปนัดพบใคร จะต้องให้พิมพ์เอกสารอะไรบ้าง เพราะงาน ที่ไปยุ่งๆ ในกรุงมีเรื่องจะต้องทำต่อ ทราบจากวิทยุ และหนังสือพิมพ์ เรื่องที่ท่านนายกฯ พูดว่าการจะห้ามโฆษณาเบียร์เหล้า ต้องเดินสายกลาง ผมจึงรีบนัดแนะผู้แทน คณะผู้คัดค้าน เบียร์เหล้า พบเป็นการภายใน ที่ตึกอนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลาคม พอลงจาก รถประจำทาง กาญจน์-กรุงเทพฯ ผมก็มีจดหมายเตรียมไว้พร้อม ใครๆ เห็นก็งง นึกว่า ผมมี สำนักงานในกรุงเทพฯ เมื่อที่ประชุมตกลงกันว่า ผมต้องเขียนจดหมายรักถึงท่านนายกฯ ออกจากห้องประชุม ผมก็ให้คณะผม ไปส่งจดหมายได้ทันที นอกจากมีจดหมาย ถึงท่านนายกฯแล้ว ผมยังส่งสำเนา ถึงรัฐมนตรีสาธารณสุข ประธาน ก.ล.ต. ประธานคณะกรรมการ ที่เกี่ยวกับการควบคุมการโฆษณา และอีกหลายท่าน ที่เกี่ยวข้อง ผมเขียนจดหมาย ในนามตำแหน่งเดิม คือ ผู้ประสานงานศาสนิกชนและเครือข่ายงดเหล้า ในจดหมายนี้ ผมอยากจะเตือนท่านนายกฯว่า เวลาพูดถึง "ทางสายกลาง" ต้องระวังให้ดี และต้องรู้ด้วยว่า "ทางสายกลาง" มาจากไหน หมายความว่าอะไร ใครที่เคยดูวิดีโอเรื่อง "ฝรั่งแปลกประหลาด" จะได้ยินคำคม ขันๆ จากปากของชาวอังกฤษ ที่ชื่อ"มาร์ติน" ซึ่งเรียกตัวเองว่า "ฝรั่งขี้นก" คุณมาร์ติน พูดถึงการเรียนของลูกว่า "เดินสายกลาง" เพราะลูกแกสอบได้ที่ ๑๙ ในจำนวนนักเรียน ทั้งหมด ในชั้น ๓๙ คน แท้ที่จริงมาร์ตินรู้ว่า ทางสายกลางจริงๆ คืออะไร แต่ต้องการพูดตลก ล้อเลียนคนไทย ที่ชอบอ้าง "ทางสายกลาง" ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ถือศีลข้อ ๕ ถือแบบเดินสายกลาง แทนที่จะกินเหล้าวันละ ๒ ขวดแบนๆ ก็กินวันละ ๑ แบน อย่างนั้นหรือ "อย่าทำความดีให้เคร่งไป" ต้องทำแบบ ดีบวกชั่ว แล้วหารด้วยสอง (ก็ยัง"ชั่ว"อยู่ดี)อย่างนั้นหรือ ที่เรียกว่า ทางสายกลาง ชาวพุทธทราบดีว่า ทางสายกลางนั้นอยู่ระหว่างการสุดโต่งไปทางการทรมานสังขารตัวเอง (อัตตกิลม ถานุโยค) กับการปล่อยตัวให้เสพสุขแบบโลกีย์อย่างโลกๆ (กามสุขัลลิกานุโยค) ขืนเอาเรื่องนี้ ใส่เข้าไปในจดหมาย ก็จะยืดยาวเกินไป จนคนอ่านไม่อยากอ่าน ซึ่งผมทราบว่า คนอ่านคือ ท่านนายกฯ ท่านเบื่อผม หาว่าผมเป็นคนช่างสอน ผมได้นำ "จดหมายเปิดผนึก" ถึงท่านนายกฯ มาลงใน "เราคิดอะไร" ฉบับที่แล้ว ผมคิดว่า เขียนจดหมาย ท้วงติง ท่านนายกฯไปแล้ว คงจะหมดหน้าที่เพียงแค่นั้น เอาเข้าจริง ไม่หมดครับ คนนั้น ก็ต่อว่า คนนี้ก็ต่อว่า คนต่อว่ามีหลายคน มีทั้งประชาชนพลเรือน และนายทหารผู้ใหญ่ ทั้งทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ราวกับมีการประชุม นัดแนะกันไว้ ข้อความทำนองเดียวกันทั้งสิ้น ให้ผมออกมา ทำอะไรเพิ่มเติม แสดง ความรับผิดชอบ ในฐานะเป็นตัวการ ที่ไปเชื้อเชิญท่านนายกฯ มาเป็นนักการเมือง (เป็นรัฐมนตรี ต่างประเทศ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และเป็นนายกรัฐมนตรี) และมีฐานะเป็นลูกน้องป๋า ซึ่งนายพลเอก หลายคน ที่ออกมา ท้วงติง แทนป๋านั้น รุ่นน้องผมทั้งนั้น และจริงๆแล้ว รับใช้ใกล้ชิดป๋า น้อยกว่าผมเสียอีก ถ้าใครตกในที่นั่งอย่างผม หากไม่ดูดาย ไม่เฉยเมยต่อความเสียหายของบ้านเมือง ก็ต้องทำอย่างผม ไม่มีทางเลือก ผมบอกผู้สื่อข่าว ในระยะเวลากระชั้นชิด บอกล่วงหน้านาน ประเดี๋ยวรัฐบาลส่งคนรู้จักมักคุ้น มาประกบ ตัวผม ก็เสียงานเสียการ ห้องแถลงข่าว ติดต่อจองไม่ได้ เพราะอยู่ในช่วงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ กะว่า ใช้สถานที่ หน้าอนุสรณ์สถานก็ได้ พอไปถึงอาคาร ๑๔ ตุลา มีคนไปจัดไว้ให้เรียบร้อย เปิดห้องประชุม จัดโต๊ะ เก้าอี้ นักข่าวอยู่พร้อมหน้า พร้อมตา ต่างคนต่างไปก่อนเวลา ทั้งนักข่าวทั้งผม ปกติผมจะไม่เริ่มก่อนเวลา (เรื่องไปสายผมไม่ทำอยู่แล้ว) เมื่อนั่ง มองหน้ากันนานพอดู ผมก็ถามความเห็น ของบรรดานักข่าว ทุกคนลงความเห็นว่า เริ่มก่อนเวลา ได้แล้ว พอแถลงข่าวเสร็จ ผู้ที่รู้จักมักคุ้นผมคนหนึ่ง วิ่งออกไปพูดโทรศัพท์ แล้วกลับมาถามผมว่า "เมื่อกี๊แถลงข่าว กี่โมงครับ" ผมตอบว่า ๑๐ นาฬิกา ๑๐ นาที คนถามร้องไชโยบอกว่า โหรใหญ่ดูดวงไว้แล้ว ถ้าเริ่มแถลงก่อน ๑๐ โมง ๑๕ นาที การชุมนุมประท้วงประสบผลสำเร็จแน่นอน ผมเลยเล่าเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ พิ่มเติมด้วย เจตนาของการออกหนังสือ "เราคิดอะไร" ประการหนึ่งก็เพื่อบันทึกไว้เป็นหลักฐาน จึงขอนำมาเสนอดังนี้ ข้อเสนอของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง การขายหุ้นบริษัท ชินคอปอเรชัน จำกัด ของครอบครัว นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นกิจการ ที่ได้สัมปทาน จากประเทศไทย ขายให้ต่างชาติ โดยเฉพาะกรณีที่จงใจ แก้กฎหมาย ประกอบกิจการ โทรคมนาคม (แก้จาก"ให้ต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน ๒๕ % เป็น ๔๙ %" หลัง จากแก้กฎหมายได้เพียง ๒ วัน ครอบครัว ท่านนายกรัฐมนตรี ก็เทขายหุ้นให้ต่างชาติได้หมด ตามที่จงใจแก้กฎหมายไว้) ได้ก่อให้เกิด ปฏิกิริยา อย่างรุนแรงในหมู่ประชาชน ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด คณาจารย์ มหาวิทยาลัยต่างๆ ได้รวมพลังกันเป็นปึกแผ่น ชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เสริมด้วยพลัง นิสิต นักศึกษา หลายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ซึ่งมีความเห็นเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขาดความชอบธรรม ได้พร้อมใจกันเรียกร้อง ให้ท่านนายกรัฐมนตรี ลาออก สถานการณ์ ตึงเครียดยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อผู้จัดรายการโทรทัศน์และวิทยุ (สถานีของราชการ) ซึ่งเคยเป็น ปากเสียง ของท่านนายกรัฐมนตรีมาโดยตลอด ได้ออกมาจาบจ้วง ท่านประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผู้เป็นที่เคารพรักของทหาร สามเหล่าทัพ และประชาชนทั่วไป การจาบจ้วงดังกล่าว ก็เพื่อปกป้อง นายกรัฐมนตรีโดยแท้ ประชาชนสงสัยว่ามีการรู้เห็นเป็นใจกันหรือเปล่า ระหว่างรัฐบาล กับผู้จัดรายการ โทรทัศน์ และวิทยุดังกล่าว ขณะนี้ได้เกิดการแตกแยก อย่างกว้างขวาง ทั้งในที่ทำงาน และในครอบครัว แบ่งกันเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งหนุน อีกฝ่ายหนึ่งต้านท่านนายกรัฐมนตรี นับวันการแตกแยกความสามัคคีจะทวีมากยิ่งขึ้น ทำความเสียหาย อย่างใหญ่หลวง แก่ประเทศชาติ ซึ่งเดิมเคยมีความสามัคคีกันอย่างดี ก็ยังช่วยกัน แก้ปัญหาของชาติ ได้ยากอยู่แล้ว ผมตกอยู่ในสองฐานะ ฐานะหนึ่งผมเป็นคนไปเชิญท่านนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาสู่ วงการเมือง อีกฐานะหนึ่ง ผมเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นเลขาธิการ ของท่านประธานองคมนตรี และ รัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผู้ที่รู้จักมักคุ้นกับผม รวมทั้งพี่ๆ น้องๆ นายทหารสามเหล่าทัพ หลายคน ได้สอบถามผมว่า นอกจากเขียนจดหมายเปิดผนึกท้วงติง ท่านนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ผมจะไม่คิด ไม่ทำอะไรอีกเลยหรือ ผมจึงตัดสินใจ ขอร้องให้ท่านนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลาออก เพื่อความสมัครสมานสามัคคี ของคนในชาติจะได้กลับคืนมา และเหตุการณ์ต่างๆ จะได้คลี่คลายลง โดยผมและมวลหมู่สมาชิก กองทัพธรรม มูลนิธิ จะไปร่วมชุมนุม ที่สนามหลวง ในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์นี้ พร้อมกับประชาชน จากจังหวัดต่างๆ ทั่วทุกภาค ของประเทศ พวกเราหลายๆ คนที่ห่วงใยบ้านเมือง คาดว่า หากมีประชาชนออกมาแสดงเจตจำนงกัน เป็นเรือนแสน ท่านนายกรัฐมนตรี คงลาออกแน่นอน พลตรี ............... ผมพูดกับผู้สื่อข่าวเสร็จ ก็ตอบคำถามทุกคำถาม แล้วผมเสริมอีก ๓ ข้อ คือ ๑. ถ้ามีทางออกอะไรที่ดีกว่าการชุมนุม ขอให้บอกพวกเราด้วย เราพร้อมจะทำทันที เพราะการชุมนุม ไม่ใช่เรื่อง น่ารื่นรมย์เลย เพิ่งซ้อมใหญ่มาหยกๆ ด้วยการไปกินไปนอน บนถนนวิทยุ ในช่องจราจร หน้าสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับ หน้าสถานทูตสหรัฐด้วย ใช้เวลาถึง ๙ วันกับ ๘ คืน ข้อ ๒ ผมไม่ได้ออกมาชิงการนำ ผมและคณะกองทัพธรรมมูลนิธิ จะไปชุมนุมวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์นี้ ในฐานะผู้ร่วมชุมนุม เจ้าภาพและผู้ควบคุมเวทีคือ คณะพันธมิตรประชาธิปไตย และข้อ ๓ ที่ผมกล่าวเสริมก็คือ จะมีลูกหาบ หลายคนออกมากล่าวหาผม โจมตีผมแทนเจ้านาย เพราะเป็น โอกาสดี ที่จะแสดงฝีมือให้เจ้านายเห็น ผมจะไม่ออกไปชี้แจงอะไรเป็นอันขาด เสียเวลาเปล่าๆ ถ้าเจ้านาย ว่าอะไร นั่นแหละ ผมถึงจะหาโอกาสพูดทันที เป็นไปอย่างที่ผมคาดไว้ไม่ผิด ข้อกล่าวหาของลูกหาบมีหลายเรื่อง เช่น "ยังไม่จำอีกหรือ ที่เคยพาคน ไปตาย" ท่านผู้อ่าน ก็ทราบว่า เป็นการกล่าวเท็จแบบเดิมๆ เหตุการณ์เดือนพฤษภา ปี '๓๕ นักธุรกิจระดับกลาง เขาไปเอง ไม่มีใครพาไป เขาถือโทรศัพท์มือถือ ติดตัวไปพร้อมพรั่ง จนได้ชื่อว่า "ม็อบมือถือ" ผมต่างหาก ที่ออกมาทีหลังเขา ตามเขาไป ไม่ใช่พาเขาไป และที่ที่เราไปคือ หน้ารัฐสภา สนามหลวง ถนนราชดำเนิน ก็ไม่ใช่แดนสังหาร เป็นที่สาธารณะ ที่ผู้คน ผ่านไปมา วันละนับหมื่นๆ คน ประชาชนตาย เพราะถูกทหารตำรวจยิง มีหลายคณะ ที่ไปชุมนุม ในสถานที่ เหล่านั้นมาแล้ว ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตาย เพราะไม่มีทหารตำรวจออกมายิง และยิงกันตาย ตอนที่ผม ถูกจับ ไปติดตะรางแล้ว ผมไม่รู้เรื่องเลย ออกจากตะรางจึงทราบ ในการชุมนุมคราวนั้น ผมอยู่ข้างหน้า ตลอดเวลา ถ้าจะว่าพาคนไปตาย ผมก็พาตัวผมไปตายด้วย ซึ่งไม่มีใครโง่ ทำเช่นนั้น การพูดคำว่า "จำลอง พาคนไปตาย" พูดกล่าวหาซ้ำอีก เพื่อไม่ให้ไปชุมนุม ไม่ให้ใครเชื่อผม เพราะผม เป็นคนไม่ดี และอีกอย่างหนึ่ง เพื่อขู่ว่าจะเกิดอันตราย จะได้ไม่ไปกันมากๆ ใช้เล่ห์นี้ไม่สำเร็จ เพราะ ประชาชน ต่างรู้ว่า เป็นการพูดโกหก คนของรัฐบาลออกมาขู่แบบนี้ หารู้ไม่ว่า ถ้าอะไรเกิดขึ้น เป็นความผิดของรัฐบาลเต็มๆ ซึ่งรัฐมนตรีมหาดไทย รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ผู้บัญชาการตำรวจ แม่ทัพนายกอง ต่างก็ออกมายืนยัน ความปลอดภัย (ตำรวจ ทหาร จะไม่ทำผิดอีก ตำรวจจะไม่พกแม้กระบอง) การชุมนุมใหญ่ สองครั้งที่แล้ว ปล่อยข่าวขู่ถึงขนาดบอกว่า ผู้ก่อการร้ายจาก ๓ จังหวัด ชายแดนภาคใต้ จะขึ้นมาสวมรอย ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า โกหกทั้งเพ สำหรับพวกผม ชาวกองทัพธรรม ถือว่าการไปร่วมชุมนุมครั้งนี้ เป็นการไปร่วมงานบุญชื่อ "ปัญญาสมโภช" ปีนี้ ท่านสมณะโพธิรักษ์ ถือว่า เป็นปีแห่งปัญญา เราเคยจัดงานใหญ่มาแล้ว คือ "ศีลสมโภช" เมื่อ ๒ รอบคือ ๒๔ ปีที่แล้ว ๒๕๒๕ งาน"ศีลสมโภช" ที่สวนลุมพินี ท่านผู้อ่าน "เราคิดอะไร" ช่วยไปกันมากๆนะครับ ทิศทางที่เราขอร้อง ให้ท่านนายกฯลาออก นั้นถูกต้องแล้ว แต่ต้องมีปริมาณของ ผู้คนมากพอ จึงจะสำเร็จ ท่านจะได้สัมผัสการชุมนุมการกุศล แบบของ กองทัพธรรม มูลนิธิ ซึ่งท่านสมณะโพธิรักษ์ ท่านบอกว่า ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "โปรเตสท์" ไม่ใช่ "ม็อบ" พบกัน ๒๖ กุมภาที่ท้องสนามหลวง ไปร่วมชุมนุมการกุศล กินการกุศล และนอนการกุศล ซึ่งเกิดขึ้น ได้ยากมาก ถ้าไม่มีปัจจัย ครบพร้อมอย่างนี้
|