เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๘ มีนาคม ๒๕๔๙ หน้า ๒๑ สกู๊ปข่าวจากสื่อหนังสือพิมพ์ วันนี้เสียงเรียกร้องหามาตรการ
จ.ม.รัฐศาสตร์'จุฬา' หมายเหตุ- คณาจารย์คณะรัฐศาสตร์ และคณะอื่นๆ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมทำจดหมายเปิดผนึกฉบับที่ ๑ เรื่อง"วิกฤตการณ์ "ในช่วงที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นถึงการขาดจริยธรรมในการบริการประเทศ ในระบอบประชาธิปไตย ในหลายเรื่อง อาทิ การทำลายการเป็นอิสระของสื่อมวลชน การไม่ให้ความสำคัญต่อกระบวนการนิติบัญญัติ การครอบงำบั่นทอน ความเข้มแข็ง และความน่าเชื่อถือ ขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การปล่อยให้เกิดการคอร์รัปชั่น เล่นพรรคเล่นพวกขึ้น ในระบบการบริหาร ราชการแผ่นดิน การใช้กุศโลบาย แจกเงิน เพื่อสร้างความนิยม ทางพรรคการเมือง ฯลฯ เป็นต้น และในกรณีล่าสุดคือ การขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปของครอบครัวนายกรัฐมนตรี เป็นเงินกว่า ๗ หมื่นล้านบาท โดยไม่ต้องจ่ายภาษี แม้จะดูเหมือน ชอบด้วยกฎหมาย แต่มีเงื่อนงำว่ากระบวนการที่ทำให้ถูกต้องตามกฎหมายนั้น กลับไม่ชอบด้วยคุณธรรม ไม่โปร่งใส ไม่ตรงไปตรงมา และมิได้ปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่างของผู้นำประเทศที่ดีตามหลักการธรรมาภิบาล ทั้งๆ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ประกาศต่อ สาธารณชนว่า จะใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศ การขาดจริยธรรมในการบริหารบ้านเมือง ของนายกรัฐมนตรี ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขาดความชอบธรรมในการเป็นผู้นำของประเทศ เป็นผู้ที่ไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำประเทศได้อีกต่อไป หาก พ.ต.ท.ทักษิณยังคงทำหน้าที่ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป จะยิ่งเป็นการทำลายศรัทธา และความเชื่อมั่นต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยของประชาชนพลเมือง และจะนำไปสู่วิกฤตการณ์อื่นๆ ตามมา ทางคณาจารย์คณะรัฐศาสตร์และคณะอื่นๆ แห่งจุฬาลงกงณ์มหาวิทยาลัย จึงขอยื่นข้อเสนอต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และสาธารณชนว่า ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงแสดงความรับผิดชอบ ทางจริยธรรม โดยการลาออกจากตำแหน่ง โดยทันที และสนับสนุน ให้สถาบันการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ องค์กรและกลุ่มของประชาชน ร่วมกันผลักดัน ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อวางหลักเกณฑ์ มาตรฐานทางการเมือง และ จริยธรรม ทางการเมืองใหม่ รวมทั้งมีส่วนร่วม ในการสรรหาผู้นำประเทศคนใหม่ ตามหลักการประชาธิปไตยโดยเร็ว
อาจารย์ ๕๙ คนของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร รศ.ดร. สุทธิพันธ์ จิราธิวัฒน์ ได้ออกจดหมายเปิดผนึก ถึงนายกรัฐมนตรีและชาวไทยทุกคนว่า ตลอดระยะเวลา ๕ ปี ที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สร้างความเสียหาย และโกลาหล แก่สังคมไทย และ ยากที่จะเยียวยา ได้ด้วยเวลาอันสั้น ดังต่อไปนี้ (๑) การคอรัปชั่นแพร่ระบาดอย่างกว้างขวางทุกหนทุกแห่งในสังคม ต้นตอของความเสียหายทั้งหมด ดังที่กล่าวมาข้างต้นเกิดจากตัวผู้นำที่ขาดจิตสำนึก มิได้คำนึงถึง หลักจริยธรรม มาใช้กับ การบริหารประเทศแต่อย่างใด จึงขอเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออกจากตำแหน่ง โดยทันที ด้านคณาจารย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จำนวน ๒๒ คน ส่งจดหมายเปิดผนึก เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกเช่นกัน โดยระบุว่าหากยังแข็งขืนต่อไป จะยิ่งทำให้ประเทศชาติ เสียหายยิ่งขึ้น พร้อมกับเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมในวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ด้วยวิธีอหิงสา นอกจากนี้ คณาจารย์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มธ. ๒๘ คน มีแถลงการณ์เรียกร้องให้นายกฯ ลาออก เช่นกับคณาจารย์ จากมหาวิทยาลัยรังสิต -------------------- แถลงการณ์ฉบับที่ ๒ เป็นที่ปรากฏชัดเจนแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลและเป็นผู้นำสูงสุด ของประเทศ มีพฤติกรรมและการกระทำที่ขาดจริยธรรม ขัดต่อหลักศีลธรรมขั้นพื้นฐาน ในการบริหาร ประเทศ ตลอดระยะเวลา ๕ ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมและการกระทำให้รัฐเสียประโยชน์ ล่าสุดคือ การขายหุ้น ชินคอร์ป ๗๓,๓๐๐ ล้านบาท โดยหลีกเลี่ยงไม่ยอมเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว แม้อ้างว่า ถูกกฎหมาย แต่ก็ไร้ ซึ่งจริยธรรม คุณธรรม และยังมีการพยายามใช้อำนาจรัฐ อำนาจเงิน ครอบงำ กระบวนการ ตรวจสอบ รัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ ทั้งองค์กรอิสระ และสื่อมวลชน ในพฤติกรรมการทุจริต คอรัปชั่น และการบริหาร ประเทศ ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อตัวนายก ครอบครัว เครือญาติ และพวกพ้อง แม้พ.ต.ท.ทักษิณจะอ้างความชอบธรรม จากการมีผู้ลงคะแนนเลือกตั้ง ๑๙ ล้านเสียง แต่ความชอบธรรมนี้ ย่อมน้อย หมดลงไป เมื่อมีการกระทำ ที่ขาดจริยธรรม และขาดศีลธรรมของผู้นำ ปรากฏชัดแจ้ง ทั้งนี้ การมอบฉันทะ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาเป็นผู้นำรัฐบาลนั้น ผู้ลงคะแนนเลือกตั้ง มีเจตจำนงชัดเจนว่า ต้องเป็น ผู้นำที่ดี และประพฤติปฏิบัติตามกรอบจริยธรรม และศีลธรรม นำพาประเทศไปสู่ทิศทาง ที่ถูกต้อง หมายเหตุ : เป็นแถลงการณ์ของกลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในนามกลุ่มวิชาการเพื่อสังคม จังหวัด ขอนแก่น ซึ่งนำโดยนายสัมพันธ์ เตชะอธิก ---------------- นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ นายกฯทักษิณเป็นปัญหาของแผ่นดิน การคอร์รัปชั่นในสมัยรัฐบาลนี้แบ่งได้ ๕ วิธี คือ ๑. คอร์รัปชั่นทั้งระบบ คือ การเข้าสู่อำนาจโดยใช้ธนกิจการเมืองนำ ใช้อำนาจในทางมิชอบ ในการคอร์รัปชั่น แบบบูรณาการ ๒.การคอร์รัปชั่นเข้าสู่อำนาจ โดยการทำให้มีประชาชนเลือก ๑๙ ล้านเสียง มีเผด็จการทหาร ทุนนิยม ผูกขาด ระบบประชาธิปไตย ผูกขาดอำนาจ โดยมีการเผด็จการรัฐสภา แล้วให้นายกรัฐมนตรีเป็นศูนย์กลาง วุฒิสภา ได้ตายไปแล้วในปัจจุบัน เกิดการแทรกแซงควบคุมองค์กรอิสระ และฮุบสื่อ ๓.คอร์รัปชั่นการใช้อำนาจ มีเป็นระบบการจัดซื้อแบบผูกขาด โดยโกงแบบถูกกฎหมาย ผูกขาดอำนาจรัฐ ทุจริตเชิงนโยบาย และมีผลประโยชน์ทับซ้อนกัน ดังนั้นพลังตรวจสอบจะต้องเกิดขึ้นจากพลังทางสังคม พลังทางสื่อมวลชน ศาล นักวิชาการ วุฒิสภาและองค์กรอิสระ "๔. คอร์รัปชั่นโดยมีนายทุนข้ามชาติเข้ามา เป็นการโกงอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล ทำให้ขาดการตรวจสอบ ยึดทรัพย์ไม่ได้ ทำให้เกิดปัญหาในปัจจุบัน เช่น ความยากจน ทุนนิยมและบริโภคนิยม มีการชิงดีชิงเด่น ขาดคุณธรรม และจริยธรรม ใช้ความรุนแรงในสังคม และ ๕. การคอร์รัปชั่นที่เกิดจากการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๐๙" ------------------ สุทธิชัย หยุ่น ([email protected]) เดี๋ยวนี้อ้างว่า "ไม่ผิดกฎหมาย"อย่างเดียว ก็สามารถจะทำอะไรได้เพื่อผลประโยชน์ของตนและพรรคพวก แม้ว่า สังคมส่วนใหญ่ จะมองด้วยความรังเกียจ เดียดฉันท์ เพราะตนเองอยู่ในฐานะที่จะกำหนดนโยบาย และแนวทาง ของประเทศชาติได้อยู่แล้วก็ตาม สังคมไทยเคยยึดถือ จริยธรรมเป็นหลัก เคยถือเอา "ความเป็นธรรมของสังคม" ตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด ไม่ใช่อ้าง แต่เพียงความถูกต้องของกฎหมายเท่านั้น แต่เมื่ออำนาจกับเงิน กลายเป็นเป้าหมายสูงสุด ของผู้คน ที่อยู่ในรัฐบาลเสียแล้ว ความถูกต้องชอบธรรมก็เหือดหาย กลายเป็นว่าใครมีอำนาจ ใครมี ความสามารถ ในการสร้างอิทธิพลให้เหล่าบรรดาข้าราชการประจำต้องเกรงกลัว ก็สามารถหลบเลี่ยง กฎหมายได้ คนรวยและมีอำนาจ สามารถอ้างกฎหมาย ไม่ต้องเสียภาษีเลย ขณะที่คนหาเช้ากินค่ำ ถูกบอกกล่าวให้เป็น "พลเมืองดี" ด้วยการเสียภาษีทุกบาททุกสตางค์อย่างนี้ สังคม จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร? ยังน่าสงสัย เพราะไม่ว่า จะอ้างกฎกติกาอย่างไร หากความไม่เป็นธรรม ระหว่าง คนรวยกับคนจน ช่องว่างระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองกว้างใหญ่ไพศาลขึ้นทุกวันแล้วไซร้ ก็เชื่อได้ว่า สังคมจะถึงจุดระเบิดนั้นได้ ในไม่ช้านัก ใครนึกว่าตัวเอง "ฉลาด" แล้ว ทำอะไรเพื่อตัวเองจะได้ประโยชน์ก็ได้นั้น ต้องอ่านที่ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยเขียน เอาไว้ ว่าด้วย "ความฉลาดที่เป็นพิษ" ช่างตรงกับเหตุการณ์วันนี้ในเมืองไทยอย่างเหลือเชื่อ ความฉลาดที่เป็นพิษ! |