บาปกรรมทักษิณ : ฝันร้ายทุนนิยมมหาภัย ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ คือนัดสำคัญวันระดมพลใหญ่ที่ท้องสนามหลวง โดยคณะกู้ชาติ ของ"พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย" ซึ่งมีเป้าหมายเรียกร้องให้นายกฯ ทักษิณลาออกแล้วปฏิรูปการเมืองครั้งที่สอง งานนี้ประกาศก้อง ประชาชนไม่ชนะ...ไม่เลิก! ประมาณนั้น ยุทธการแม่น้ำร้อยสาย ไหลมารวมพลังพร้อมพรั่งครั้งนี้ แน่นอนเป็นงานยากเหลือเข็ญสุดๆ กว่าจะล้มยักษ์ ศรีธนญชิญได้ ในเมื่อผู้นำของเรา เป็นคนไร้สัจจะ จนใครๆ ต่างหมดหวังจะพูดอะไรรู้เรื่องด้วย เช่นครั้งหนึ่ง เหมือนใจกว้างบอกว่า ถ้าประชาชนไม่เอาด้วย ก็ไม่หน้าด้านอยู่หร็อก... ฟังแล้วน่านับถือ ! ผ่านไปไม่กี่วัน พอโดนจี้ ทีท่าการลาออก หรือยุบสภา นายกฯยืนยันหัวชนฝาไว้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ... เหตุผลของท่าน ชอบถือดีอยู่เสมอว่า เพราะ ๑๙ ล้านเสียงเลือกให้มาทำงานถึง ๔ ปี ไม่ทันไร จู่ๆ จะมาใช้กฎหมู่ บีบให้ออก มันยอมไม่ได้ ไม่ถูกกติกาประชาธิปไตย เรามักได้ยินข้ออ้างซ้ำซากทำนองนี้ วิสัยทัศน์ของผู้นำพรรคไทยรักไทย อวดโม้ว่ากว้างไกล ไฉนช่างตื้นเขินเสียเหลือเกิน มิน่าเล่า ขึ้นต้นประชาธิปไตย เต็มใบ ทำไปทำมา กลายเป็นเผด็จการทักษิณาธิปไตยอะไรก็ไม่รู้ ทำไมเสียง ๑๙ ล้าน ที่เลือกไทยรักไทย แปลว่ารัฐบาลจะยำประเทศยังไงก็ได้ระหว่างนี้ ดีชั่ว ๔ ปีค่อยมาเลือกกันใหม่ ตำราไหน เขาสอนด็อกเตอร์พรรค์นี้ พิลึกจัง หรือว่าทั้งพรรคไทยรักไทย เข้าใจโง่เง่าเหมือนหัวหน้าหมดเลย อเนจอนาถขนาดไหนเนี่ย... ลองฟังทัศนะอาจารย์รัฐศาสตร์จุฬาฯ : "การอ้างว่า ๑๙ ล้านเสียงเป็นความชอบธรรม ในการบริหารประเทศจนครบ ๔ ปีนั้น เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะหาก เป็นเช่นนั้น เมื่อเลือกตั้งเสร็จ ก็ไม่ต้องมีอำนาจบริหารตุลาการ ไม่ต้องมีขบวนการยุติธรรม ไม่ต้องมี ประชาธิปไตย เพราะ ๑๙ ล้านเสียง ได้มอบให้ผู้นำทำทุกอย่าง ได้แบบเบ็ดเสร็จ หลังจากนั้น จึงเลือกตั้งใหม่ ใช่หรือไม่?" "การขายหุ้นชินคอร์ปสะท้อนให้เห็นว่า ทั้งระบบและตัวผู้นำมีปัญหาความชอบธรรมอย่างรุนแรง ซึ่งวันนี้ ไม่ควรตั้ง คำถามว่า ถ้าไม่เอาผู้นำคนนี้ แล้วจะเอาใคร แต่ต้องตั้งคำถามว่า วันนี้ จะมีจุดยืนอย่างไร ถ้ามีผู้นำไม่ดี เราจะปล่อย ไว้ทำไม?" (วีระ สมบูรณ์ ไทยโพสต์ ๑๙ ก.พ. ๔๙) เพราะฉะนั้น เมื่อเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว.เข้าสภาไปแล้ว สภาต้องทำหน้าที่นิติบัญญัติคุมตรวจสอบฝ่ายบริหาร อย่าให้โกง ก็ยังไม่พอ มันต้องเสียสละ กล้าหาญทางจริยธรรมด้วย มาถึงวันนี้ สภากลายเป็นไม้ประดับ หรือตรายาง เป็นเครื่องมือของเผด็จการทักษิณทำลายองค์กรอิสระให้เดี้ยงไปตามๆ กัน สภาตัวแทนใช้งานอะไรได้บ้าง ในเมื่อมติพรรคปิดปาก ส.ส. ให้หมดสิทธิ์มีหัวคิดแตกต่าง เท่ากับกฎหมู่ ของวิป ไม่กี่คนครอบงำ เสียงส่วนใหญ่ การผูกขาด อำนาจในพรรค และในสภา มันทำให้ การเมืองนิ่ง ดังที่นายกฯ ต้องการ สมใจ จนกระทั่ง การเมืองเน่า ด้วยฝีมือใคร... ในเมื่อสภา ส.ส. ส.ว. กลายเป็นสภาเป็ดง่อย หรือสภาโคกระบือ คือมีปากกินได้แต่พูดไม่ได้ แล้วจะให้ทำยังไง ชอบพูด กันดีนัก มีปัญหาอะไร ให้พูดในพรรคในสภา อย่าไปเล่นนอกสภา นอกกติกา ประชาธิปไตย ว่าไปโน่น ยิ่งรัฐบาลทำงานนอกสั่ง ไม่ฟังเสียงประชาชนเจ้าของอำนาจ เหมือนประธานชินคอร์ปเกิดคดโกง ผู้ถือหุ้นชินคอร์ป ก็ต้องตาม ไปเช็คบิลได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ประชาชนย่อมมีสิทธิ์ต่อต้านรัฐบาลโดยสันติวิธีนอกสภาได้ทุกเมื่อ ดังนั้น การที่ประชาชนหลากหลายแสดงประชามติที่สภาท้องสนามหลวงเป็นแสนคน ถ้าไม่ให้ชุมนุมนอกรัฐสภา แล้วจะให้ ไปประชุมได้ที่ไหนอีกไม่ทราบ ตัวแทน ส.ป. (สภาประชาชน) เหล่านี้เป็นผู้แทน โดยธรรม ตามธรรมชาติ ของสังคมเมือง ไม่ต้องจ้าง ไม่ต้องเสียเงินเลือกตั้ง แต่สามารถแสดง มติมหาชนออกไป เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ ของประเทศ ขานรับสอดคล้อง มันก็เป็นเสียงสวรรค์ ของประชาชนแท้ๆ นั่นคือ เสียงชนส่วนน้อยอันเคยโดนสบประมาท จึงอาจผงาดกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ขึ้นมาอย่างสง่างาม สัจจะ ความชอบธรรม ย่อมเป็นดุลย์ถ่วง ให้เกิดอนิจจัง พลิกผันดังกล่าวได้เสมอ เมื่อยึดถือ เสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก ถึงต้อง เคารพ เสียงส่วนน้อยไว้ด้วย (MAJORITY RULES -MINORITY RIGHTS) เหตุนี้แม้มหาชนไม่เอาตามหมู่ชุมนุมด้วย เสียงของหมู่ย่อยก็เป็นเรื่องที่ต้องเคารพ กระแสเสียงประกาศก้องฟ้าของหมู่ชนเป็นหมื่นเป็นแสนเหล่านี้ ประกอบด้วยคนมีสติปัญญารู้ทันทักษิณ มีสำนึกดี มีน้ำใจเสียสละ เป็นสัตบุรุษ สุจริตชน ถือศีลปฏิบัติธรรม มีฐานะเป็นคณาจารย์ครูผู้นำหมู่หลายวิชาชีพ ไม่ใช่คน ไกลปืนเที่ยง อย่างที่ ไปหลอก ซื้อเสียงมาได้ล้นหลาม นายกฯทักษิณ จะดูถูก มติหมู่มหาชน ผู้มีวุฒิภาวะปานนี้ เหมือนหมู่ แก๊งกุ๊ย ปากซอยได้หรือ...! เฉพาะอย่างยิ่ง ประชาธิปไตยจะนับหัวพวกมากเท่านั้นมันง่ายเกินไป เพราะเสียงราษฎรอาวุโสสาธุชน ๑ คน ย่อมมี น้ำหนัก เหนือกว่าพาลชน ขี้เหล้าเมายาแม้นับสิบ นับร้อยคน หรือเสียงของ ประธานพรรค มักจะหนักแน่นกว่า ลูกพรรค ปลายแถว ดังนี้เป็นต้น ประชาธิปไตย จึงต้องรู้จักถ่วงดุล ชั่งน้ำหนักน้ำเนื้อ ให้รู้ประมาณว่า ไผเป็นไผ ประชาธิปไตย จึงต้องมีธรรม กำกับคือ ธรรมาธิปไตยเป็นหลักนำสูงสุด... ไม่ต้องอะไรดอกเมื่อมีผู้รู้สำคัญอย่าง ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช บอกลาประธาน กฟผ. ร่วมต้านทักษิณ หรือ ทันทีที่ มหาจำลอง ออกโรง แรงต้านพุ่งขึ้นเท่าไหร่... อนึ่ง แม้กระทั่ง ๑๙ ล้านเสียงที่เคยได้ ถึงวันนี้เหลือไม่ถึง ๑๐ ล้านเสียงตามโพลล์ล่าสุด อนิจจังดังว่านี้ นายกฯของเรา จะมัวเมา มืดบอดอวิชชา ไปถึงไหนเอ่ย... โดยเฉพาะเสียงต้านเพิ่มขึ้น มากกว่าเสียงหนุนไปแล้วด้วย ประเด็นประชาธิปไตย มันไม่ใช่ของเล่นในพรรคในสภาเท่านั้น พรรคไหนก็ดีสภาไหนก็ตาม มันต้องอยู่ในสายตา ของประชาชน คือ ฐานะตัวการ ต้องมีสิทธิ์ติดตาม สอดส่องตัวแทน ผู้รับมอบอำนาจ ได้ตลอดกาล ประชาธิปไตย นอกสภา จึงขาดหายไม่ได้ และมองข้าม หยามเหยียดไม่ได้เลย ตรรกะง่ายๆ ตรงไปตรงมา แค่นี้ ไม่แปลกดอก ที่เผด็จการ ทักษิณ จะมิจฉาทิฐิอวิชชา แต่มันประหลาดมาก ที่พลพรรคในไทยรักไทย ไฉนจึงปล่อยให้นายกฯ ขายขี้เท่อ ไม่เสร็จ สักที ยิ่งนึกถึงคน ๑๔ ตุลาในไทยรักไทย ชื่อ สุธรรม แสงประทุม หรือใครต่อใครอีกหลายคน ไยพิลึกที่เพี้ยนไป เป็นทาส เผด็จการ เต็มเท้า ไม่ใช่เพราะ พลังประชาธิปไตย กลางถนน นอกสภา ครั้ง ๑๔ ตุลาดอกหรือ ประชาธิปไตย ถึงแจ้งเกิด จนเบ่งบาน เต็มใบ เป็นไทจากคนถือปืน กระทั่ง ไทยรักไทย ก่อเกิดขึ้นมาได้ ! แต่อนิจจา มาถึงวันนี้ มันเกิดลัทธิทักษิณาธิปไตยขึ้นมากดขี่ กอบโกย โคตรโกงจนทนไม่ไหว... อย่างไรก็ดี แม้จะเกิดวิกฤติการเมืองถึงขนาด เรียกร้องให้นายกฯทักษิณลาออก เมืองไทยยังพอมีหวังไม่น้อย ตรงจุด สำคัญคือ มองเห็น ประเด็นความชอบธรรม เป็นปัญหายิ่งใหญ่ โดยเฉพาะ ด้านการเมือง เมื่อนักการเมือง ใช้อำนาจ ไม่เป็นธรรม พร้อมๆ กับฉวยโอกาส ทำธุรกิจ ผูกขาดสัมปทาน มันกลายเป็นธุรกิจการเมือง ที่ยังไม่เคยมี นักธุรกิจ หรือ นักการเมืองใด สามารถเก่งกาจ รวบอำนาจทั้งสอง เป็นหนึ่งเดียว อย่างมโหฬาร เหมือนดังที่นายกฯทักษิณ ฉกฉวย ฉ้อฉล เป็นผลสำเร็จ เป็นมหาเศรษฐี ติดอันดับโลก เพียงไม่กี่ปีดีดัก ผู้คนสังคมกำลังเพ่งวิจัยวิจารณ์เจาะลึกกุศลอกุศล ดีชั่ว บุญบาป เป็นธรรมไม่เป็นธรรม ในธุรกิจชินคอร์ปของ นายกฯ ชื่อทักษิณ แม้วงการเมืองจะเละเทะ โกงกิน ฉ้อราษฎร์บังหลวงกันมานักต่อนักไม่ขาดสาย พอมาเกิดคดีชินคอร์ป รวยตูมเดียว ๗๓,๐๐๐ ล้าน ภาษีไม่ต้องเสีย สักบาท สรรพาโกง ก็ปล่อย ให้ลอยนวล มันไม่ยุติธรรมขนาดไหน ไม่ต้องบรรยาย...... แต่น่าขยายหน่อยว่า เอกชนรวยเงินสดๆ เจ็ดหมื่นล้าน รัฐไม่มีภาษีเก็บเลย แล้วจะไปรีดภาษีคนจนๆ แบบนี้ไม่บ้า ก็เมาแล้ว ภาษีมันเป็นเงินบังคับให้เสียสละ อย่างน้อยๆ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ผู้นำรวยล้นฟ้าขนาดนี้ ไม่ยอมคาย แม้กระทั่ง ภาษีส่วนบังคับ แล้วจะมีน้ำใจอะไรที่ไหน มาเสียสละ ฝันไปเถอะ ขืนปล่อยให้มีอำนาจ ครองเมืองต่อไป ท่านยิ่งรวย นำหน้า รัฐบาลไปเลย ขนาดรัฐบาล กำลังถังแตก นายกฯกลับรวยล้น จนนับเงินไม่ไหว หลายคน ที่อยากรวย พอเห็น คนกล้ารวย แบบนี้ คงหัวหดไป ไม่ใช่น้อยเชียว สังคมคงจะได้เห็นทุกข์ของคนรวยทันที ๗๓,๐๐๐ ล้าน มันเป็นทุกขลาภ เชื่อว่ากว่า ๓๐ ล้านคนคงเป็นงง ไก่ตาแตกว่า จะรวยเละปานนั้น ไปทำไมหนอ จะเอาไปใช้อะไร ยังไงไหว แต่คนขี้โลภ อย่างผู้นำ ไม่รู้จักพอ รวยไม่เสร็จ เขาคงไม่คิด อย่างเราๆ ท่านๆ เฉพาะอย่างยิ่ง มันหนีไม่พ้นคนสาธารณะอย่างนายกฯทักษิณ จะต้องถูกวิจารณ์ตั้งข้อรังเกียจ โดยพวกที่เพ่งโทษ โพนทะนา โทษฐานขี้โลภ เห็นแก่ตัวเกินไป แม้กระนั้น เมื่อมองด้วยใจ เป็นธรรม การข่มบุคคล ที่ควรข่ม การชม บุคคลที่ควรชม ("นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง") เป็นเรื่องจำเป็น และสมควรตามธรรม นับว่านายกฯ ของเราเป็นตัวอย่างที่ดี ของผลพวงทายาทจากทุนนิยม อันเป็นลัทธิอุบาทว์ตามสัญชาตญาณดิบ ของสัตว์ป่า ดยธรรมชาติสัตว์ใหญ่ กินสัตว์เล็ก หรือปลาใหญ่ กินปลาเล็ก สำหรับ คนผู้เจริญกว่าสัตว์ แน่นอน จะต้อง ไม่เบียดเบียน ข่มเหงกัน อย่างสัตว์ร้าย ตรงข้าม คือผู้แข็งแรง ต้องอุ้มชูผู้อ่อนด้อย ปลาใหญ่ต้องเอ็นดู เอื้ออาทร ปลาเล็ก เป็นต้น ดังนั้น เจ้าของฉายา พ่อมดมนต์เสื่อม ช่างเป็นตัวอย่างที่ดีของทุนนิยมอันน่ารังเกียจ ถือเสียว่าเป็นตัวอย่างอุทาหรณ์ ราคาแพง ไร้เทียมทาน เอาไว้สอน ลูกหลาน หากไม่ขาดแคลน สัมมาทิฐิ ไม่หลงอวิชชา เกินไป ใครๆ ไม่น่าเอาอย่าง เพราะเอาอย่างก็ไม่ไหว หรือเอาอย่างไม่ได้เลย คิดดูเถิด ทักษิณ ชินวัตร รวยข้ามคืนทีเดียวเป็นหมื่นล้านแสนล้าน หากินยังไงรวยเละกว่า ๖๐ ล้านคน ที่ปากกัด ตีนถีบ ยังหนี้ ท่วมหัว เขาเป็นมนุษย์วิเศษร้ายกาจ แต่สังคม ไม่ได้อะไร แม้แต่เศษเงินภาษีสักบาท นักเศรษฐศาสตร์ ช่วยตอบหน่อย ได้ไหมว่า ทักษิณทำเงิน โดยทำงานเพิ่มมูลค่า เศรษฐทรัพย์เป็นเศรษฐกิจ แก่นสารอะไร ตรงไหน... ใครเลย จะดีใจ สาธุกับชินวัตร ขอให้รวยล้น อีกร้อยพันเท่า...? สังคมไทยยังมีภูมิปัญญาวิถีพุทธ ที่พอจะรู้เท่าทันบุญบาปเวรกรรมมีจริง จึงรับไม่ไหวกับผู้มีอำนาจ ที่ขาด ความชอบธรรม ดังที่เกิด กระแสต่อต้าน เรียกร้อง ให้เปลี่ยนแปลง ในขณะที่ พวกคนรักทักษิณ ยังมีอยู่ไม่ใช่น้อย อันนี้ น่าเห็นใจผู้คน ไม่รู้ทันทักษิณ ท่ามกลางเสียงไม่พอใจทักษิณขนาดหนัก ชอบถามกันว่าไม่เอาทักษิณแล้วจะเอาใคร? มันน่าสังเวชที่เมืองไทยแสนจะหมดท่า ถ้าไม่เอาไทยรักไทย ประชาธิปัตย์จะต้องผงาดขึ้นมาแทน อันที่จริง กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี คนดีสามารถเข้ามาสู่การเมืองได้เยอะ ถ้าเราทำการเมืองให้ต้นทุนต่ำ ตรงข้ามกับ วิถีไทยรักไทย คือไม่ต้อง ให้หาเสียง เป็นต้น แต่คนยัง เข้าใจยากว่า การหาเสียง ไม่ใช่ประชาธิปไตย มันเป็น ธนาธิปไตย แบบทุนนิยม อนึ่งกระแสต้านไม่เอาทักษิณ นับวันจะพุ่งแรงขึ้น อุปสรรคอยู่ที่อำนาจเผด็จการ น่าสลดใจ ในโลกยุคข่าวสาร ไร้พรมแดน สื่อทีวี วิทยุ กระทั่ง หนังสือพิมพ์ โดนปิดกั้นมาตลอด จนกระทั่ง เกิดระเบิด เช่น ปรากฏการณ์สนธิ - เมืองไทย รายสัปดาห์สัญจร ไม่ต้องอะไร สื่อยักษ์ใหญ่หัวเขียวยังไม่ยอมเสนอข่าวชุมนุมที่สวนลุมของกลุ่มสนธิ เช่นเดียวกับทีวี วิทยุแทบทั้งหมด ด้านหนังสือพิมพ์ ค่อยคลี่คลายหน่อย เมื่อ ๔ กุมภา ที่ลานพระรูป สื่อยักษ์หัวเขียว เกิดกลัวตกข่าวขึ้นมากระมัง ถึงเป็น จิ้งจกเปลี่ยนสี ตามกระแส พาดข่าวหัวเบ้ง ซึ่งไม่เคยเล่นมาก่อน นับว่าสื่อไม่เป็นกลาง แต่เป็นกลัวกับอำนาจรัฐ หรือ มีนัยซ่อนเร้น เป็นแน่... นี่แสดงว่า เรากำลังอยู่ในยุคมืดขนาดไหน ไทยรักไทยและนายกฯทักษิณช่างอวิชชากับประชาธิปไตย เป็นผู้บ่อน ทำลาย ประชาธิปไตย มาตั้งแต่ต้น แม้กระทั่ง ทุนนิยมเสรี อย่างอเมริกา คงไม่สามารถ ปิดหูปิดตาประชาชน เหมือนดังที่ รัฐบาล ไทยรักไทย กระทำ อย่างน่าอดสูใจ... แม้กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญ ผู้กำอำนาจกฎหมายสูงสุดยังไม่ยอมรับฟังคดีร้องทุกข์กล่าวโทษความไม่ชอบธรรม ของพณฯ นายกรัฐมนตรี เพียงด้วยเหตุผล ตรรกะว่า คำร้อง ไม่ชัดเจน ประมาณนั้น ประชาชนจำใจจำนนต้องเคารพมติเสียงข้างมาก ๘ ต่อ ๖ ของศาลสูงสุด ด้วยความกังขา และเศร้าใจขนาดไหน มันหมด ทางไปแล้ว ท่านที่เคารพ ทั้งหลาย ! เมื่อหันไปทางไหนๆ ดูตันทางไปหมด ทางสว่างคงเหลืออยู่ที่กลางสนามหลวง ให้พอหวังสุดท้ายว่า ดอกไม้จะบาน สะพรั่ง ด้วยวิถี คารโว นิวาโต อหิงสา อโหสิ...... การเมืองวิกฤติมาถึงจุดแตกหัก จนต้องเลือกข้างไหนดี-ชั่ว สังคมไทยจะสามารถใช้ภูมิปัญญาไทยวิถีพุทธ แก้ปัญหา ผ่านพ้น อย่างไรดี... สำคัญที่รวมพลัง แล้วแต่หมู่คุณธรรม ธรรมะย่อมชนะอธรรม..... เฉพาะอย่างยิ่ง เมืองไทยฐานะถือว่าเป็นเมืองพุทธ บัดนี้ถึงเวลาต้องพิสูจน์ให้เกิดเป็นปาฏิหาริย์ขึ้นมาว่า กองทัพธรรม จะพึงสามารถ นำสัจธรรม สร้างสรร สันติวิถีพุทธ เพื่อหยุดยั้ง พรรคมาร แห่งโลกทุนนิยม โดยสงบเย็น ราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม ได้อย่างไรดี.....ถ้าล้มเหลว คงขายขี้หน้าชาวโลก ถ้าทำได้ดี จะเป็นตัวอย่าง แก่ประชาคมโลก คงปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า ประเทศไทยกำลังเกิดศึกกลางเมือง เป็นสงครามการเมือง ระหว่างคณะพันธมิตรกู้ชาติ กับพรรค รัฐบาลไทยรักไทย ต่างฝ่าย ต่างมีพลพรรค ประชาชน เป็นมวลพลัง หนุนหน้าหนุนหลัง จริงจัง และจริงใจ ไม่ใช่น้อย ประชาชนนัดเปิดเวทีสภาประชาชน กลางท้องทุ่งสนามหลวง ขณะที่ผู้นำรัฐบาล ฉายา คนปากกล้าขาสั่น รีบสั่ง ประชุม รัฐสภา ในเร็ววัน ธรรมาธรรมะสงคราม ครั้งนี้ มีคำตอบสุดท้าย ที่การพิสูจน์ ความชอบธรรม เพราะ ประชาธรรม ย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ! - เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๘ มีนาคม ๒๕๔๙ - |
---|