สังคมล้มเหลว เพราะคนฉลาดล้มเหลว
สมฌะโพธิรักษ์
อาตมาได้วิจารณ์ไปแล้วว่า นักวิชาการหรือนักรู้ คือ พวกที่มีแต่ความคิดนึกที่วนอยู่ในจินตภาพ เป็นคนที่ไม่รู้จักของจริง ไม่รู้จักความเป็นจริงในความเป็นจริง โลกของความจริงแห่งความจริง คนพวกนี้ไม่ได้แตะ ไม่ได้รู้หนาวรู้ร้อนอะไรกับเขาหรอก จิตวิญญาณของพวกเขา อยู่ในภพของการคิดวนเท่านั้นเอง และคนเหล่านี้จะไม่มีการตัดสินใดๆ จะวนไปวนมา ความจริงพวกเขาก็มีในส่วนที่ดี เพราะมีข้อมูลมีน้ำหนัก ทั้งคุณภาพและปริมาณ มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่ดี ซื่งก็ตัดสินได้ว่า อันนี้ดีอันนี้ถูก และควรจะส่งเสริมอันนี้ อันนี้ควรจะเลิกไป ยิ่งไม่ดีหรือผิดหรือเสียหายจะต้องเลิก อันนี้ดีต้องส่งเสริม แล้วก็ตัดสินให้ได้ เพราะในโลกนี้แยกยาก ความดีความไม่ดีมันจะมีปนกันอยู่ตลอด จะให้มีแต่ดี ไม่มีชั่วเลยนี่หายาก จะมีแต่ชั่วเลย ไม่มีดีก็หายาก เพราะฉะนั้นจะตัดสินกันอย่างไร? ก็ต้องตัดสินเอาเปอร์เซ็นต์ของดีมากกว่าชั่ว มากกว่าได้มากเท่าไหร่ ก็นั่นแหละ เป็นคะแนนที่เราจะตัดสินให้ชนะ จึงจะยุติ แต่ผู้รู้เหล่านี้จะยุติไม่ลง จะถือหลักประนีประนอมครึ่งๆกลางๆ หารครึ่งหารสองอะไรอยู่นั่นแหละ อยู่อย่างนี้ตลอดกาลนาน และเขาก็จะลงเอยไม่เป็น ยุติไม่ได้ ยุติไม่จบ แล้วปล่อยให้คาราคาซังเอาไว้ โดยไม่ชัดเจนว่า อะไรดีที่สุด อะไรถูกที่สุด มีแต่จะมั่วๆกลาง ๆ แบบเอาสองหารแบ่งกัน ความจริงแล้วสัจจะในโลกนี้ มันมีดีกว่ากับไม่ดีเท่า สองสิ่งนี้จะต้องไม่เท่ากัน ในอะไรทุกอย่าง ปรมาณูสองตัวก็ไม่เท่ากัน ไม่มีอะไรเท่ากันเลยในโลก ในมหาจักรวาลนี้จะต้องไม่เท่ากัน จะต้องแตกต่างกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีกว่าต้องให้ชนะ ต้องมีปัญญาตัดสิน และต้องช่วยฝ่ายถูก แต่ผู้รู้เหล่านี้ ใช้ความคิดที่จะรู้อะไรดี อะไรไม่ดี แล้วก็จับจด แล้วก็ตัดสินไม่ได้ เพราะตัวเองไม่จริงไม่ชัดในความดีที่จริง เพราะไม่เข้าใจถึงสภาพจิตวิญญาณ แม้จิตวิญญาณตัวเอง ก็ยังไม่ได้ลงไปลุยไปสัมผัสไปอยู่ร่วม หรือไปรับรู้สึกรู้สา รู้เจ็บรู้ปวด รู้หนักรู้เบากับเขา คนเหล่านี้มีแต่จะอยู่บนหอคอยงาช้าง มีแต่วนอยู่ในความคิดเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปลุยจริง ไม่ได้เข้าไปสัมผัสจริง
ทุกวันนี้สังคมหลงคนเหล่านี้ หลงคนที่มีความคิดฉลาด หลงคนที่ศึกษารอบด้าน แต่ก็ได้แต่พูดๆๆๆ อยู่อย่างนี้ ดีดตัวเองออกมาลอยตัว เป็นคนลอยตัวอยู่พ้นปัญหา และสังคมยอมรับด้วยนะ เพราะฉะนั้น สังคมก็เลยแย่... แย่เพราะไปยอมรับสิ่งที่มันไม่จริงไม่สำเร็จ ส่วนความสำเร็จของสิ่งที่ถูกต้อง ที่จริงที่ดีจริง ตัดสินไม่ได้ ทำไม่ได้ ไม่ได้การยอมรับ เพราะงั้นสังคมมันล้มเหลว เพราะคนฉลาดล้มเหลว เพราะคนที่มีแต่ตรรกะล้มเหลว เพราะไม่รู้จักสัจจะโดยเฉพาะจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเป็นธาตุที่รับรู้ หรือแม้จะเป็นสมมุติสัจจะก็ตาม ซึ่งแต่ละฝ่ายแต่ละสี เขาเจ็บจริงเขาปวดจริงเขาหนักจริง เขาโกรธจริงเขารักจริง มีทั้งยึดมาก มีทั้งไม่ยึด มีทุกอย่าง แต่คนพวกนี้ไม่ได้ยึดอะไร ร่องแร่งๆๆ เพราะยึดอะไรไม่ลง เพราะมันตัดสินไม่ได้ เพราะคนพวกนี้วิจิกิจฉาเยอะ เรียกว่า พวก วิตรรกะ ได้แต่คิดหาเหตุผลอันร่องแร่งไปเรื่อยๆ โดยสัจจะ ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี คนที่จะเป็นกลางนี่ จะต้องมีคุณสมบัติที่สมบูรณ์ ๒ ประการ คือ ๑.ความรู้ มีปัญญารู้ว่าส่วนไหนถูกส่วนไหนผิด ไม่เช่นนั้นคนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาบอกว่า ตนเองเป็นกลาง ก็ในเมื่อไม่รู้ว่า อะไรดำอะไรขาว อะไรถูกอะไรผิด แล้วจะมาบอกเป็นกลางได้อย่างไร คนนี้คือคนไม่รู้เรื่อง ไม่มีปัญญา คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ๒.ต้องไม่มีอคติ (ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ) ไม่มีความลำเอียงในจิตใจ ทีนี้ความเป็นกลาง ไม่ใช่มีแต่ความรู้ ต้องทำงาน ต้องปฏิบัติ ต้องพูด ต้องลงมือเป็นตัวตน ให้ครบทั้ง มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรมเลย จึงจะเรียกว่าเป็นกลาง ๑.มีมโนกรรม คือปัญญา เรียกว่า ปัญญาปาสาทะ คือเหมือนอยู่ปราสาท มองจากที่สูงดูเห็นหมดรอบถ้วนเลย จนสามารถแยกแยะออกได้ ๒.กล้าตำหนิคนผิด ข่มคนผิด กล้ากำราบคนผิด ว่ากล่าวคนผิด ชมคนถูก ยกคนถูก เชิดชูความถูกต้อง ตามพุทธพจน์ที่ระบุว่า นิคคันเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ให้ตำหนิคนผิด แล้วก็ชมเชยยกย่องคนถูก เป็นวาจากรรม ๓. ปฏิบัติเต็มรูปเลย อเสวนา จ พาลานัง บัณฑิตานัญจะ เสวนา ต้องมาอยู่กับบัณฑิต อย่าไปคบกับคนพาล ต้องเลิกยุ่งกับพาล นี่คือภาคปฏิบัติ เป็นกายกรรม พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า ไม่ให้ว่าใคร ไม่ให้บอกใคร มิฉะนั้นจะไม่เป็นกลาง นั่นไม่ใช่ลูกพระพุทธเจ้า อาตมาก็พยายามที่จะอธิบายยืนยันว่า พระพุทธเจ้าท่านพาทำเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น คนที่มีศีล ยังไม่มาก็จงมา นั่นก็คือ คนที่ดีมาเข้ากับหมู่ ก็ต้องมาอยู่ร่วมกันรวมกัน เป็นมิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี คนไม่ดีเราก็อย่าไปคลุกคลีเกี่ยวข้องนัก แต่สอนเขาตำหนิเขาช่วยเหลือเขา ด้วยเมตตาเกื้อกูล เท่าไหร่ก็เท่านั้น ถ้าช่วยไม่ได้ ไปว่าเขา เขาเกิดโกรธ แตะไม่ได้ เราก็ละเว้น คนนิสัยเลวๆ อย่างนั้นก็มีเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นในประเด็นการเป็นกลาง ก็ขออธิบายยาวหน่อย เพราะทุกวันนี้นักคิดนักรู้นักวิชาการ พวกริบบิ้นสีขาว โธ่เอ๋ย... ก็ชอบที่จะแสดงภูมิอยู่อย่างนั้น บนหอคอยงาช้าง แต่แล้วจริงๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรนักหนาเลย คอยเป็นตาอยู่ กินกลางโดยไม่ได้ลงทุนอะไร ได้แต่อาศัยวิธีการอย่างนี้ อาตมาเห็นแล้ว ใครจะเชื่อถือ และ ปฏิบัติอย่างนั้นก็ว่าไป แต่อาตมาไม่เชื่อถือ อาตมาไม่ปฏิบัติอย่างนั้น.
|