คนบ้านนอกบอกกล่าว

         เราเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นระบอบ ประชาธิปไตยมา ตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ นับถึงวันนี้ ก็กว่า ๘๑ ปีเข้าไปแล้ว ด้วยความหวังว่า จะพัฒนาประเทศ ให้เจริญก้าวหน้า แต่ผล กลับตรงกันข้าม
                  แปดสิบเอ็ดศกแล้ว     เลยมา
         ไทยเสื่อมกว่าอตีตา              ต่ำร้าย
         หวังปฏิวัติพัฒนา                  สู่ศิ-วิไลซ์แฮ
         แต่ตลกกลับกลายคล้าย        นรกใต้เผด็จการ

         ขณะนี้คนไทยรู้กันทั่วว่า รัฐบาลบริหารประเทศ ล้มเหลวสิ้นดี จนประชาชน ต้องรวมตัวกันออกมาคัดค้าน อย่างมืดฟ้ามัวดิน รัฐบาลและตำรวจ ซึ่งรับใช้รัฐบาล สนับสนุนบริวาร ใช้ความรุนแรง ทำร้ายทำลายประชาชน เพียงแค่สิ้นเดือน มกราคมที่ผ่านมา ฝ่ายเราถูกฆ่าตายไปแล้ว ๑๐ คน และบาดเจ็บ อีกหลายสิบ

         กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ “กปปส” ทำถูกแล้ว ยืนยัน ชุมนุมขับไล่รัฐบาล อย่าง สงบ สันติ ปราศจากอาวุธ

         ย้อนไปในอดีต ตอนที่พวกเรา “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ชุมนุมอยู่ใน ทำเนียบรัฐบาล ผู้ร่วมชุมนุมคนหนึ่ง ถูกอันธพาล บริวารของรัฐบาล ในขณะนั้น ใช้อาวุธสงคราม ยิงตายคาที่ข้างเวที การ์ด (เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย) รวมตัวกัน ยื่นหนังสือถึงผมทันที ในฐานะ ผมเป็นผู้ดูแล การรักษาความปลอดภัย ตลอดการชุมนุม แจ้งว่า จะขอลาออกทั้งหมด เพื่อจับอาวุธสู้

         ผมต้องขึ้นพูดบนเวที ชี้แจงเป็นการใหญ่ว่า จะสู้โดยใช้อาวุธนั้นไม่ยาก เราประกาศให้ประชาชนทราบ จะได้รับการบริจาคอาวุธกระสุน มากมายหายห่วง แต่การต่อสู้ จะล้มเหลว

         เพื่อให้เห็นเด่นชัด ผมยกตัวอย่าง ท่านมหาตมะ คานธี ผู้นำการต่อสู้แบบ สันติอหิงสา ถ้าท่านจะให้ ชาวอินเดีย จับปืนไล่ยิง ทหารอังกฤษ ก็สามารถทำได้ แต่จะตายเป็นเบือ ทั้งสองฝ่าย และ เอกราชที่อินเดีย เรียกร้องก็จะไม่ได้

         การ์ดทั้งหมดจึงเปลี่ยนใจ ยืนหยัดสู้แบบสันติ เหมือนเดิม การต่อสู้ อย่างปราศจากอาวุธ ทำให้เราสามารถขับไล่ นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่งติด ๆ กันถึง ๓ คน คือทักษิณ, สมัคร และสมชาย

         “เผด็จศึกการเมืองอันธพาล ด้วยสันติปฏิวัติ เป็นปาฏิหาริย์”

+++++++++++++

บ้านป่านาดอย

         ปัจจุบันผู้คนในบ้านเมืองเรา สนใจเรื่องสุขภาพเพิ่มขึ้น หนังสือที่เกี่ยวกับ การเสริมสร้างสุขภาพ จึงพิมพ์ออกมาเผยแพร่ เดือนละ หลายต่อหลายเล่ม มีอยู่เล่มหนึ่ง ที่ไม่เหมือนเล่มอื่น ๆ ระบุไว้แน่ชัดว่า ถ้าอยากจะมีสุขภาพดี นอกจากต้อง ปฏิบัติตาม ข้อกำหนดต่าง ๆ แล้ว ต้องทำอีกอย่างหนึ่งด้วยคือ การปิดโทรทัศน์เสียบ้าง อย่าดูโทรทัศน์ ติดต่อกัน เป็นชั่วโมง ๆ

         ผมโชคดีปฏิบัติตามนั้น มานานแล้ว เพราะไม่มีเวลา แต่ผมก็ไม่ได้ตกข่าว ผมใช้วิธี รวบรวมหนังสือพิมพ์รายวัน ที่ขอยืมจาก ชุมชนปฐมอโศก เกือบทุกสัปดาห์ สามารถติดตาม ข่าวได้หมด โดยเสียเวลา ไม่เท่าไรเลย

         เหตุการณ์บ้านเมือง ในรอบสองสามเดือน ที่ผ่านมานั้น หนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ ฉบับประจำ วันที่ ๑๙ มกราคม ได้สรุปไว้ครบถ้วน ในบทความชื่อ “ทำไมไม่ไป ตั้งแต่บัดนี้” เขียนโดย อาจารย์เสรี วงษ์มณฑา ซึ่งผมขอนำมา เผยแพร่ต่อ

 ทำไมไม่ไปตั้งแต่บัดนี้

         รัฐบาลรักษาการ อยู่ในสภาพเดี้ยง อย่างชัดเจน มีอาการมากมาย ที่สะท้อน ให้เห็นว่า รัฐบาลไม่มีทาง ที่จะชนะ มวลมหาประชาชน ที่ออกมาต่อสู้ เพื่อกำจัด วงจรอุบาทว์ ทางการเมือง เพื่อที่จะปฏิรูป ประเทศไทย ให้พ้นจาก เผด็จการ ทางรัฐสภา ที่เหล่าบรรดา ส.ส. ทำตัวเป็นขี้ข้า นายใหญ่ โดยไร้สำนึก ผิดชอบชั่วดี หวังเพียง ลาภยศ ตำแหน่ง และเงินตรา

         นับตั้งแต่ เข้ามาเป็นรัฐบาล ได้ทำสิ่งที่ไม่ถูก ไม่ควรมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การแต่งตั้ง คนที่ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ตลอดจน คนที่มีคดีติดตัว คนที่เผาบ้าน เผาเมือง ให้มาเป็นรัฐมนตรี เมื่อเข้ามา บริหารบ้านเมือง ก็แสดง ความขี้เท่อ ออกมา อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น การทำงาน การแสดงวิสัยทัศน์ ทำงานไม่เป็น คิดไม่เป็น ความรู้ไม่เพียงพอ ไร้ทักษะ ดีแต่พูด แต่เวลาที่พูด แต่ละครั้ง ก็ขาดตรรกะ ไม่ได้แสดง ให้เห็นว่า เป็นคนที่มีความคิด ความอ่านที่ดี อย่างใด

         การทำงานของคณะรัฐมนตรี ไม่ได้ใส่ใจ ห่วงใยประชาชน อย่างแท้จริง ที่สำคัญคือ ไม่สามารถทำตาม คำสัญญา ที่ให้ไว้ ในตอนหาเสียง บางสิ่งที่ทำได้ ก็กลายเป็น ประชานิยม ที่สร้างปัญหา ให้แก่ประเทศชาติ ไม่ว่าจะมีผู้รู้ จะท้วงติง อย่างไร รัฐบาลก็ไม่เคยฟัง หวังแต่เพียง จะใช้โครงการ ประชานิยม สร้างความนิยม ให้แก่พรรค และตัวบุคคล เป็นโครงการ ที่ออกมาอย่างไร้ ความรับผิดชอบ ไม่เคยสนใจว่า โครงการ ดังกล่าวนั้น จะส่งผลลบ ต่อประเทศชาติอย่างไร

         การทำงานส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ “วาระประชาชน” แต่กลับเป็น “วาระทักษิณ” นั่นคือ ทำทุกอย่างตามที่ทักษิณ ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น การแก้ไข รัฐธรรมนูญ และการออกกฎหมาย นิรโทษกรรม ที่เป็นการล้างมลทิน ให้คนผิด แบบเหมาเข่ง ไม่ว่าจะเป็น คนขี้โกง ฆาตกร คนที่ทำลาย ทรัพย์สิน ทั้งที่เป็น ของเอกชน และ ของทางราชการ

         สิ่งที่พวกเขาทำนั้น มีทั้งผิดกฎหมาย มีทั้งขัดรัฐธรรมนูญ เมื่อศาลวินิจฉัย ความผิดแล้ว พวกเขาก็ยังทำเพิกเฉย ไม่ยอมรับ คำวินิจฉัย ซึ่งทำให้พวกเขา กลายเป็น รัฐบาลที่ ไม่มีความชอบธรรม ที่จะเป็นรัฐบาล อีกต่อไป แต่เนื่องจาก ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงศาล ที่วินิจฉัย ชี้ความผิด ไม่มีอำนาจ ในการจะลงโทษ ทางอาญา แต่อย่างใด จึงทำให้รัฐบาล ที่ไร้สำนึกจริยธรรม เพิกเฉย ไม่นำพาต่อ คำวินิจฉัย และยังคงหน้าด้าน เป็นรักษาการ หลังจาก การยุบสภาฯ

         ประชาชนที่รักความถูกต้องและยุติธรรม ได้พยายามกล้ำกลืน อดทนกับ ความเลวร้าย ของรัฐบาลนี้ ที่มีทั้ง ความไร้ประสิทธิภาพ การโกงกิน ความเป็น เผด็จการ แต่เมื่อพวกเขา ทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย สิ่งที่ไม่ถูกต้อง ย่ำยีคนไทย ผู้รักชาติ รักความยุติธรรม จนต้อง ออกมารวมตัว ขับไล่รัฐบาล ที่หมดความชอบธรรม ซึ่งจำนวนคน ที่ออกมานั้น ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ แต่รัฐบาลก็ไม่นำพา ยังคงมองว่า เป็นเสียงของ คนส่วนน้อย ไม่สนใจว่า ความผิด ที่ประชาชน มองเห็น และนำมา เป็นเหตุผล ในการออกมา ไล่รัฐบาลนั้น คืออะไร หรือ ถ้าหาก จะมองเห็น ก็ไม่ไยดี สนใจแต่การที่ จะกอดเก้าอี้ เพื่อให้ได้ ครองอำนาจ ในการบริหารประเทศ ภายใต้ ระบอบเผด็จการ ที่ไร้การตรวจสอบ อีกต่อไป ทั้งที่ในเวลานี้ ได้เพลี่ยงพล้ำ ต่อการต่อสู้กับ มวลมหาประชาชน ไปหลายยกแล้ว

         บอกว่าจะไม่ถอนร่างกฎหมาย ออกมาจากสภาฯ แต่ในที่สุด ก็ต้องถอน มวลมหาประชาชน ต้องการให้มีการปฏิรูป ก็ออกมาเสนอ ให้มีการปฏิรูป บอกไม่ให้ ราชการ ออกมาร่วมกัน ขับไล่รัฐบาล แต่พวกเขา ก็ออกมาแล้ว ต้องการจะใช้กฎหมาย ในภาวะฉุกเฉิน เพื่อให้ทหาร ออกมา ปราบประชาชน ทหารก็ไม่ยอม        
                              
         ที่สำคัญ ทหารก็ออกมาพูด ชัดเจนว่า ถ้าประชาชน บาดเจ็บล้มตาย รัฐบาลต้อง รับผิดชอบ เดินหน้า ให้มีการแต่งตั้ง ก็สมัครได้ ไม่ครบทุกเขต จะหาทางเอาเงิน มาใช้หนี้ ให้ชาวนา ในโครงการจำนำข้าว ก็ไม่ได้ สหภาพแรงงาน รัฐวิสาหกิจ ก็อยู่ข้าง มวลมหาประชาชน ที่ประชุมอธิการบดี ก็เคียงข้าง มวลมหาประชาชน เรื่องให้มีปฏิรูป ก่อนเลือกตั้ง

         องค์กรทางด้านเอกชน ก็ชัดเจนว่า ต้องการให้มีการปฏิรูป ก่อนเลือกตั้ง บุคคล ในแวดวงอาชีพ สาธารณสุข ทุกแขนง สนับสนุน มวลมหาประชาชน

               กกต.ก็เสนอ ให้มีการเลื่อน การเลือกตั้ง เพราะมองว่า การเลือกตั้ง จะนำไปสู่ ความขัดแย้ง ประชาชนจำนวนมาก เข้าร่วมการต่อสู้ กับรัฐบาล ในครั้งนี้ อย่างชัดเจน

         แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ ที่บอกว่า จะไม่ลาออกนั้น จะหนีพ้น ได้อย่างไร หนทางชนะ ของ รัฐบาลรักษาการ แทบจะไม่มีเลย แล้วจะยื้อไปเพื่ออะไร ประชาชน ที่ออกมา ต่อต้านรัฐบาลนั้น เขาทนไม่ได้แล้ว กับความเลวร้าย ของรัฐบาลนี้ และ เขาต่อสู้ มายาวนาน ขนาดนี้แล้ว เขาลงทุนลงแรง ทุ่มเทกัน ขนาดนี้แล้ว เขาไม่ถอย แน่ ๆ ไม่ว่ารัฐบาล จะขู่ด้วยกฎหมาย จะมีการให้มือที่สาม ก่อกวนหรือทำร้าย ผู้ชุมนุม อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเขาไม่ถอยแน่ ๆ แต่จะมีการยกระดับ ของการเคลื่อนไหว ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ รัฐบาลรักษาการ จะต้องลาออกไป เพื่อเปิดโอกาส ให้มีการปฏิรูป

         การออกมาชุมนุม ไม่มีความสะดวกสบาย แต่อย่างใด ทำไมเขาจึงออกมา กันมาก ขนาดนี้
         การออกมาชุมนุม ต้องใช้ทรัพยากรมากมาย แต่ทำไมพวกเขา จึงพร้อม ที่จะเสียสละ 
         การออกมาชุมนุม อาจจะมีอันตราย ทั้งบาดเจ็บ และล้มตาย ทำไมประชาชน จึงไม่กลัว            
         เพราะพวกเขา ทนไม่ได้แล้ว กับรัฐบาลเผด็จการ ที่ไร้ความสามารถ และฉ้อฉล หลายเรื่อง
         เพราะพวกเขา ยอมรับไม่ได้ กับนายกรัฐมนตรี ที่อับปัญญา ในการทำหน้าที่              
         เพราะพวกเขา รับไม่ได้กับ การสอพลอตอแหล ของเหล่าบรรดาขี้ข้า ที่พายเรือ ให้โจรนั่ง
         เพราะเขามองว่า รัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลที่โมฆะ หมดความชอบธรรม ที่จะบริหาร ประเทศ
         ที่พวกเขา ออกมาไล่รัฐบาล กันล้นหลาม ขนาดนี้ เพราะเขาต้องการ ที่จะปฏิรูปประเทศไทย
         พอกันทีกับวงจรอุบาทว์ทางการเมือง ที่เต็มไปด้วย ความฉ้อฉล ประชาชน ออกมาไล่ ขนาดนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องไป และจะยื้ออยู่ทำไม รีบ ๆ ไปเถอะ เพื่อให้โอกาส ประเทศ ได้เดินหน้าต่อไป

...........

         ส่วนเรื่องการออก พระราชกำหนด ฉุกเฉินนั้น หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เช่นกัน วิเคราะห์ไว้ เยี่ยมที่สุด ในชื่อบทความหวือหวา “ไพ่ใบสุดท้าย หรือ สวดอภิธรรมศพ” โดยคุณเกียรติชัย พงษ์พานิช

ไพ่ใบสุดท้าย หรือสวดอภิธรรมศพ

         จากถอยรูดตูดขาด ของรัฐบาล ที่ผมเขียนผมพูด มาแต่ต้น วันนี้แล้ว เราก็ได้เห็น การทิ้งไพ่ใบสุดท้าย ของรัฐบาล ด้วยประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขึ้นมาใช้ ตั้งแต่วันที่ ๒๒ มกราคม ต่อไปอีกถึง ๖๐ วัน พร้อมกับ จัดองค์ประกอบใหม่ ในแนวทางที่ เห็นการปราบปราม ผู้เดินขบวน อย่างขึงขังจริงจัง ด้วยการนำเอา เฉลิม อยู่บำรุง มาเป็นหัวหน้า ศรส. กับเอาตำรวจ มาเป็นกำลังหนุนเต็มที่

         ประกาศกับภาพของ องค์คณะผู้บริหาร ศรส. และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดูจะให้ ความชื่นมื่น กับฝ่ายรัฐบาล ซึ่งถูกรุก ถอยร่น เข้ามุมอับยิ่งขึ้น และแน่ละ ย่อมจะให้ ความรู้สึก โดยทั่วไปด้วยว่า มาตรการจัดการ กับภาวะฉุกเฉิน ของรัฐบาลนี่เอง ที่จะนำไปสู่ การใช้กำลังปะทะ การจับกุมแกนนำ ของผู้ชุมนุม มากกว่าที่จะเป็น มาตรการ ที่จะยุติ การขับไล่รัฐบาล ความไม่พอใจรัฐบาล อย่างสันติตกลงกันได้

         แม้กระนั้น เสียงที่ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ก. ฉุกเฉินนี้ ก็สะท้อนให้ได้ยินไปทั่ว แต่ต้นเริ่มแรก แต่มองไม่เห็น ความเป็นเหตุเป็นผล ดีพอหรือมากพอ กับการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ดังกล่าว ข้อโต้แย้งก็คือ สภาพของการชุมนุมนั้น ยังไม่มีเหตุถึงขั้น ฉุกเฉินจริง ๆ จุดนี้เราเห็น การเปรียบเทียบ เหตุการณ์ เผาบ้านเผาเมือง เมื่อปี ๒๕๕๓ กับการชุมนุม ขณะนี้ ต่างกันมาก ชี้ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินคราวนี้ ยังไม่มีเหตุผล เพียงพอเลย กับสถานการณ์ ปัจจุบัน

         เสียงที่สะท้อน ออกมาจากองค์กร ภาคธุรกิจ น่าฟังอยู่ไม่น้อยเลย ผู้นำทางธุรกิจ สะท้อนทัศนะของตน ออกมาโดยทันทีกับ การประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉินนี้ เพราะการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนี้เอง คือการบ่อนทำลาย ธุรกิจโดยรวม ให้เสียหายหนักขึ้น ในระยะยาว ลำพังแค่ ประกาศ เคอร์ฟิว ห้ามออกนอกบ้าน ก็เจ๊งแล้ว และนั่น เขายังมอง ไม่เห็นเลยว่า เป็นมาตรการ สยบการชุมนุมได้ แต่การค้าขายสิ กลับจะเสียหาย

         ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว จะเกิดขึ้นอย่างมหาศาล เพราะการที่ สนามบิน สุวรรณภูมิ หรือ ดอนเมือง จะต้องตกอยู่ภายใต้ การควบคุมของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนี้ด้วย นักท่องเที่ยว ก็ดูจะตื่นกลัวเสียแล้ว น่าขำ กับการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตรงจุดนี้ ก็คือว่า ตลอดเวลาของ การลุกขึ้นมาไล่ รัฐบาลเจว็ด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของระบอบ ทักษิณนั้น รัฐบาลตำหนิ อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่หรือว่า เสียหายต่อการท่องเที่ยวมาก

         ข้อวิพากษ์ของสมาคม การท่องเที่ยวนี้เอง หรือไม่เล่า ที่กำลังบอกว่า การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กับท่าที อันก้าวร้าวนี้ ส่งความเสียหาย กับการท่องเที่ยว ยิ่งขึ้นไปอีก พูดเอง แล้วก็ทำเอง เป็นไงเป็นงั้น ตามแบบของ รัฐบาลเจว็ด เยี่ยงนี้ ตลอดมา หรือนี่เป็นแบบ วิธีทำงาน แบบเจว็ด แม้แต่กระทรวง การท่องเที่ยว และการกีฬานั้น ก็ดูไม่ต่างกัน เงาบริหารของ คนบงการ อยู่เบื้องหลัง รัฐมนตรี ท่องเที่ยว เหมือนเจว็ด หรือไม่เล่า

         รองประธาน สภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย แสดงทัศนะ ที่น่าเป็นกังวล ให้เห็นว่า การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างนี้ รังแต่จะเพิ่ม ความรุนแรงยิ่งขึ้น คลื่นของ มวลมหาประชาชน ที่มีมากกว่า การเคลื่อนขบวนของ กลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อ ๒๕๕๓ ย่อมหมายความถึง การที่จะต้องใช้ กองกำลัง อย่างมหาศาล ในการสยบ มวลชนลง ภาพของ ความรุนแรง การใช้กำลังเกิดขึ้นได้ง่าย และเป็นไปได้สูงมาก

         น่าสนใจ ข้อวิพากษ์ทิ้งท้าย ของรองประธาน อุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย ที่พูดว่า “ในแง่ของความเชื่อมั่นนั้น เลิกพูดกันได้แล้ว เพราะมันไม่มี ความเชื่อมั่นอะไร เหลืออยู่แล้ว” เขายังกล่าวเพิ่มว่า “ประเทศไทย เป็นรัฐล้มเหลว และอยู่ในภาวะ อนาธิปไตย ในสายตาของ ชาวต่างชาติ” ซึ่งนัยหนึ่ง ก็สะท้อน ให้เห็นว่า นี่ไง ที่มันต้อง ปฏิรูปยกเข่ง กระชากน้ำ กันเสียที

         มีความเห็นของนักกฎหมาย และนักการเมือง บางท่าน มองว่า การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เช่นนี้เอง อาจบ่งชี้ ให้เห็นได้ถึง ทิศทางของรัฐบาล ที่จะไม่มีการเลือกตั้ง ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์นี้ โดยปริยาย จะเห็นว่า ข้อยืนยัน นั่งยัน ของนายกฯ รักษาการ ที่ไม่ยอม ลาออก ด้วยความรับผิดชอบ ข้อหนึ่ง ในการรักษา ระบอบประชาธิปไตยนั้น มันไม่มีประชาธิปไตยจริง ๆ ของประเทศไหนหรอก ที่เขาเลือกตั้ง ภายใต้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน อย่างนี้

         แม้กระนั้นก็ตาม หลายนักกฎหมาย ตั้งข้อสังเกตว่า คำสั่งลงนาม ประกาศใช้  พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ฉบับนี้ ลงนาม นายกรัฐมนตรีว่าการ ทั้งที่เป็นนายก ฯ รักษาการ กลายเป็นคำถาม ขึ้นมาว่า คำสั่งนี้ จะเป็นปัญหา และไม่ชอบด้วย การใช้อำนาจหรือไม่ กอปรกับ ขณะที่ ยืนยันให้เลือกตั้ง แต่รัฐบาลก็ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นี้เสียเอง ห้ามมิให้ มีการชุมนุมกัน เกิน ๕ คน ดูมันลักลั่น ชอบกลยังไง ๆ อยู่

         น่าสนุกไปกว่านั้นก็คือ คนที่ช่างสังเกตสังกา ช่างคิดทะลุบ้อง ช่างมอง ทะลุหน้า ก็คือ ข้อสังเกตที่ว่า แถลงประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำไมนั่งกัน ๔ คน ทั้งที่กำหนด ให้ตำรวจ ทหาร ทุกเหล่าทัพ เป็นกรรมการ แต่ไม่เห็นทหาร เข้าร่วมแถลง แม้แต่คนเดียว จึงเหลือแค่ ๔ คน นี่บอกลางร้าย อะไรหรือเปล่า เพราะมันเหมือน การสวด พระอภิธรรมศพ ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น ก็เห็นชัดถึง ไพ่ใบสุดท้าย นี้เอง

         ถ้อยประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างเอาจริงเอาจัง ดังลั่นสนั่นฟ้า แบบนี้ แน่นอน ผงาดเสียง ย่อมสะเทือนเลื่อนลั่น ทั่วแผ่นดิน ถึงชั้นฟ้า ภาพของภาคแผ่นดิน เป็นภาพ ที่มองเห็น ความยุ่งยาก รุนแรง เป็นข้อวิตกวิจารณ์ กันไปทั่ว ถึงความสงบ สันติ  เสียงสนั่น ถึงชั้นฟ้านั้น เป็นเสียงอันชวน ยินดีปรีดาหรือยัง จะมีอัศจรรย์ไหนบ้าง เรียกฝน ดับไฟ ของแผ่นดิน ยามนี้ ยังจะปล่อยไฟ ที่ลุกโชนไหม้ ดั่งเพลิงแดง ทั่วแผ่นดินหรือ? 

เราคิดอะไร ฉบับ ๒๘๓ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗