เขาว่าข้อมูลที่ดีคือข้อมูลทั้ง
๒ ข้าง คือจากฝ่ายที่ได้ประโยชน์ และฝ่ายที่เสียประโยชน์
คนอยู่เมืองเคยแต่สุขสบาย
และเป็นผู้รับประโยชน์โดยตรง ก็ยากที่ได้ข้อมูลจากคนที่อยู่ในพื้นที่
"กรณีเขื่อนลำน้ำมูล"
มติชนสุดสัปดาห์ คอลัมน์ "รายงานพิเศษ" ได้แคะคุ้ยเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องลงในฉบับที่
๑๐๔๑ ปีที่ ๒๐ วันจันทร์ที่ ๓๑ ก.ค.๒๕๔๓ ตั้งหัวข้อเรื่องชวนน้ำตาไหล
"โศกนาฏกรรมหมู่บ้าน"
ทีมนักข่าวเบอร์สาม
ขอตั้งหัวข้อเรื่องซ้อนอีกที "เบื้องหลังแห่งความสุขของเรา
คือ เบื้องหลังแห่งความทุกข์ของเขา!"
มูนมัง
คือ "มรดกอันบรรพบุรุษอีสานตกทอดไว้แก่ลูกหลาน"
เหมือนดังธรรมชาตินาม"ลุ่มน้ำมูล"
! พร้อมๆกับสถาปนาชื่อใหม่ว่า
"แม่น้ำมูล" เมื่อเขื่อนเข้ามา เทศกาลทวงคืน"มูนมัง"ของพวกเขาชาวลุ่มน้ำมูลก็เริ่มขึ้นในนามของ"ม็อบ"
ทั้งที่สันเขื่อนและข้างทำเนียบ
ฝนโปรยโรยแดดอ่อนย่ำเย็น
ควันโขมงโชยจากชายคาเต็นท็ผ้าใบ เรียงรายริมทางเท้าถนนข้างทำเนียบรัฐบาล
หลายชีวิตเวียนว่าย กินอยู่หลับนอนตรงนี้มาหลายวัน และหลายคนคุ้นชินกับสถานที่นี้
หลายครั้งหลายครา กับการเรียกร้องให้ปัญหาพวกเขา ได้รับ การใส่ใจแก้ไขจริงจังสักที
"สมเกียรติ พ้นภัย"
ชายรุ่นใหญ่ใบหน้าคลุมหนวดเครา เป็นอีกหนึ่งลมหายใจในม็อบคนจน
!
จากจับปลาบนลำน้ำมูลครั้งกระโน้น
วันนี้ต้องมาจับไมค์บนเวทีที่ข้างทำเนียบ เป็น "โฆษกจำเป็น"
"ก็ขอขอบคุ้นทางเจ้าหน่าทีที่ให้น่ำให้ใน
ครับพี่น่อง ผมสิอ่านสารสันติ๊เกี่ยวข่องกับพี่น่องนั่งอ๊ดเข่าอ๊ดน่ำ
ก็ให้พี่น่องทำหน่าที่ไปตาม ป๊กกะติ๊น่ะครับ เฮ็ดหยังอยู่หยังกิน
ก็ฟังไปนำบ่ให้ซีเรียส
"
โฆษกจำเป็น เริ่มปฏิบัติภารกิจของเขาในม็อบในวันที่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนปากมูลและโครงการรัฐอื่นๆ
เริ่มต้นยุทธวิธี นั่งอดข้าวประท้วงรัฐบาล
จาก"บ้านกุดเรือคำ"
ต.หนองแสงใหญ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ถึง "กรุงเทพมหานคร"
ชายรุ่นใหญ่วัย
๔๖ กับนางประชิต ภรรยา มีที่พำนักใหม่ใต้ต้นมะขามใหญ่ เป็นบาทวิถีข้างโรงเรียนพาณิชยการพระนครฝั่งทำเนียบ
"กุดเรือคำ หมายความว่า
มันเป็นแม่น้ำใหญ่ที่คดโค้งเวลาน้ำหลากมามันจะลัดตรงโค้ง พอน้ำเซาะมันจะเป็นหนองเป็นบึงใหญ่
แล้วหนองนั่นน้ำจะไม่ขาด มีอารักษ์อยู่ คนโบราณเขาว่าแต่ก่อน มันจะมีเรือเป็นทองคำมาพายเวลาวันพระ"
อดีตนักธรรมเอก
เริ่มเท้าความถึงความผูกพันชีวิตกับลำน้ำ
เป็นเกือบทั้งชีวิตของชาวบ้านปากมูนทั้งหมดที่ข้างทำเนียบ
"พื้นที่ ๓ อำเภอ
คือ โขงเจียม สิรินธร พิบูลมังสาหาร นี่จะมีการทำนาน้อยที่สุด เพราะเป็นภูเขา
เป็นหิน เป็นกรวดเป็นทราย เขาจึงยึด อาชีพประมง คือจับปลาตามปกติธรรมชาติของปากน้ำนี่
มันจะมีความอุดมสมบูรณ์มาก ฉะนั้นปลาถึงเยอะอยู่ในปากมูน การจับปลานี่
เป็นการสนุกสนาน และเป็นเศรษฐกิจที่อุดมสมบูรณ์ เพราะมันจะแปรรูปเป็นอาหารได้หลายอย่าง
ขายเป็นปลาสด ปลาแห้ง ปลาเค็ม ปลาร้าปลาป่น ได้ทุกทาง ตัวที่มันเน่าเสียก็เป็นอาหารให้เป็ดไก่
การจับปลาถึงเป็นอาชีพหลักของคน ๓ อำเภอ
"
ความรุ่มรวยด้วยลุ่มน้ำบันดาลสารพันปัจจัย
๔ รวมวิถีทางวัฒนธรรมและความผูกพันทางใจ เป็นอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
เป็นแหล่งอาชีพ ประมงน้ำอาบน้ำกินเส้นทางคมนาคม ทั้งยังเกาะแก่งแหล่งธรรมชาติที่พักผ่อน
และทุนรอนส่งเสียลูกหลานเข้าโรงเรียน
"วันๆ ตื่นมาก็ลงเรือพายไปดักข่ายใส่เบ็ดทอดแหแต่เช้ามืด
สายๆเอาขึ้นมาขาย แล้วหาอีก ถ้าไม่ขยันก็ลงตอน ๒-๓ ทุ่มแล้ว กลับมาพักผ่อน
พอสายก็ไปเอาขึ้นขาย ใครขยันก็ได้มาก เฉลี่ยก็วันละ ๕๐๐ บาท เพราะน้อยสุดก็
๕๐บาท มากสุดบางทีวันละ ๔-๕ พันก็มี ถ้าไม่ขยัน อย่างน้อยก็ไม่อด
อย่างขี้เกียจก็ไม่ต่ำกว่าวันละ ๒-๓ ร้อยบาท
แม่น้ำมูลยังให้ผักไม่รู้กี่ร้อยชนิด
ที่พ่อแม่เราพาเก็บกินตลอด เป็นของธรรมชาติที่ไม่ต้องรดน้ำไม่ต้องให้ปุ๋ย
ไม่ต้องเสียเงิน แลกเปลี่ยน กันกินได้
"
"ช่วงเทศกาลต่างๆ
อย่างสงกรานต์ พี่น้องจะนัดหมู่บ้านใกล้เคียงมาเนา (ชุมนุม) กันที่แก่ง
มีการรดน้ำ ถวายอาหาร ฟังพระธรรม ก่อเจดีย์ทรายให้สังคมหมู่บ้านข้างเคียงอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
"
จากปลาเนื้ออ่อน
ปลาเศรษฐกิจ ราคาดีกิโลละเป็น ๑๐๐บาท ขึ้นสารพัดปลา อาทิ ปลาเริม
ปลาเคิง ปลาคูน ปลากระมัน ปลาพร้าว ปลาสะงั่วปลาโจก กระทั่งขนาดล่ำอย่างปลากะพง
๒๐๐-๓๐๐ กิโล หรือขนาดใหญ่เป็น ๑,๐๐๐กิโล อย่างปลาบึก กลายเป็นปลาจิ๊บจ๊อย
ดารดาษที่กรมประมงเอามาปล่อยอย่างนิล ไน อีสก สวาย กิโลกรัมละ ๑๐
บาท ๒๐ บาท ที่มาพร้อมกับบันไดปลาโจน สำหรับปลาโอลิมปิก ของกฟผ.
พร้อมๆ กับ "เขื่อนปากมูล"
"สิ่งที่เล่ามาทั้งหมดมันหายไปจากชีวิตเราแล้ว
อาชีพประมง วัฒนธรรมผักหญ้าสมุนไพรริมน้ำ ระบบนิเวศวิทยาเสียหาย
ชุมชนแตกแยก วัฒนธรรมเสื่อมสูญ จิตใจพี่น้องเรายังแตกสลาย แต่ก่อนพี่น้องเราเคยอยู่รวมกันเป็นครอบครัว
ตื่นเช้าขึ้นมา ๒-๓ โมง ลูกไปโรงเรียน ค่ำมาพบปะพ่อแม่ กินข้าวกินปลา
ช่วยบอกการบ้านลูกออกไปหาปูปลาในแม่น้ำ มีความสุข เมื่อมีเขื่อนขึ้นมา
ลูกหลานมาขายแรงงาน ในกรุงเทพฯ ในต่างจังหวัดกันหมด บางทีก็ไปติดยาเสพติด
บางทีก็ไปขายตัว
"
โฆษกม็อบ บอกว่าครอบครัวเขาเองนั้น
๘ ชีวิตพ่อแม่ลูก ก็แตกฉานซ่านเซ็นไม่เป็นสุข ไม่ได้พบหน้า ไม่เหมือนเดิม
"
ลูกสาวคนโต คนรอง
คนต่อมา ไปค้าแรงงานเป็นสาวโรงงานเมืองกรุง คนที่สามก็ตามรอย ออกโรงเรียนปีกลาย
ส่วนสองคนเล็กชาย-หญิง ทิ้งไว้ในหมู่บ้านฝาก วานเพื่อนๆ ช่วยดูแลให้ข้าวน้ำ
"เพราะไม่มีเงินส่ง
หาปลาก็ไม่ได้ ความรู้ผมก็แค่ป.๔ มาทำงานอย่างดีก็แค่กรรมกรก่อสร้าง
เราก็แก่แล้วไม่มีแรงที่จะไปทำ
ลูกก็ร้องไห้ ว่าทำไมไม่ให้หนูไปโรงเรียน
หนูจะอ่านหนังสือได้ไหม แล้วครูจะว่าไหม เราก็ร้องไห้เหมือนกัน บอกว่าทำอย่างไรลูก
ถ้าลูกไปโรงเรียน พ่อกับแม่ก็ไม่มีเงินให้ นี่เป็นเรื่องที่ทรมานใจมาก"
๑๕ เดือนที่หมู่บ้านสันเขื่อน
และ ๖ ปีกับผลกระทบเขื่อนปากมูล คือ บทเรียนที่ชื่อว่า "รู้จักรัฐบาลไทย"
!
"แต่ก่อนผมไม่คิดว่าเขื่อนจะทำลายเราขนาดนี้
ผมฟังวิทยุ ฟังข่าว ส่วนราชการ เขาให้ข้อมูลมาว่า ถ้ามีเขื่อนจะดีอย่างโน้น
จะดีอย่างนี้ จะมีไฟฟ้าใช้ จะมีถนน จะมีการช่วยเหลือชีวิตชุมชนให้ดีกว่าเดิม
พอมาเจอกับตัว ถึงรู้ว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง"
เขาบอกไม่คิดอยากจะรู้จักกรุงเทพฯ
ไม่คิดว่าที่พบหน้าค่าตาครอบครัว ครอบครัวคือเมื่อลูกสาวกรรมกรมาเยี่ยมที่ม็อบ
ยามหยุด เสาร์-อาทิตย์แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อมีเขื่อน
"เขื่อนปากมูล"
ที่เปลี่ยนชีวิตบน "ลำน้ำมูน"
ชายกลางคนมองผู้เฒ่า-แม่แก่
ที่จดจ่อสาละวนถัก-ซ่อม แห อวน อยู่กลางม็อบ พลางหวนอาลัยถึงแห มอง
อวนลาก เบ็ดราว เบ็ดตก ลอบ ไซจั่นสวิง หลากวิธีหาปลา และบรรดาเครื่องมือประมง
กว่าร้อยชนิด ที่เกิดจากปัญญาบรรพบุรุษแม่น้ำ ตกทอดมาเป็นมูนมังของพวกเขา
เขาหวังว่าจะได้กลับไปใช้มันอีก
!
|