หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

 

กติกาเมือง
อั้งยี่

หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร
ฉบับที่ 130 เดือน พฤษภาคม 2544

กติกาเมือง ประคอง เตกฉัตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำกระทรวง ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษา หัวหน้าศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช

อั้งยี่ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้ความหมายของคำว่าอั้งยี่ว่า หมายถึงสมาคมลับของจีน

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๙ บัญญัติว่าผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคล ซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการ และมีความ มุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิด ฐานเป็นอั้งยี่ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท

ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า ผู้จัดการหรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในคณะบุคคลนั้น ผู้นั้นต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

มาตรา ๒๑๑ บัญญัติว่า ผู้ใดประชุมในที่ประชุมอั้งยี่หรือซ่องโจร ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ หรือซ่องโจร เว้นแต่ผู้นั้นจะแสดงได้ว่า ได้ประชุมโดยไม่รู้ว่า เป็นการประชุมของอั้งยี่หรือซ่องโจร

มาตรา ๒๑๒ บัญญัติว่า ผู้ใด (๑) จัดหาที่ประชุมหรือที่พำนักให้อั้งยี่หรือซ่องโจร (๒) ชักชวนบุคคล ให้เข้าเป็นสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจร (๓) อุปการะอั้งยี่หรือซ่องโจร โดยให้ทรัพย์หรือโดยประการอื่น หรือ (๔) ช่วยจำหน่ายทรัพย์ที่อั้งยี่ หรือซ่องโจรได้มาโดยกระทำความผิด ต้องระวางโทษ เช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดเป็นอั้งยี่ หรือซ่องโจร แล้วแต่กรณี

มาตรา ๒๑๓ บัญญัติว่า ถ้าสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจร คนหนึ่งคนใด ได้กระทำความผิด ตามความมุ่งหมายของ อั้งยี่หรือซ่องโจรนั้น สมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจร ที่อยู่ด้วยในขณะกระทำความผิด หรืออยู่ด้วยในที่ประชุม แต่ไม่ได้คัดค้านใน การตกลงให้กระทำความผิดนั้น และบรรดาหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในอั้งยี่ หรือซ่องโจรนั้น ต้องระวางโทษตามที่ บัญญัติไว้ สำหรับความผิดนั้นทุกคน

เดิมคนจีนได้อพยพเข้ามา ในประเทศสยามจำนวนมาก โดยเฉพาะการมาขายแรงงาน หรือที่เรียกว่าจับกัง เพราะเป็นยุคที่ฝรั่ง เริ่มเข้ามาบุกเบิกด้านเหมืองแร่ ป่าไม้ ขนส่ง และค้าขายของป่า ตลอดจนระบบการเงิน การธนาคาร ต่อมาเมื่อคนจีนเริ่มมีเงินมีทอง ก็ตั้งรกรากค้าขายในประเทศไทย สืบเชื้อสายจนมีฐานะมั่นคง เป็นตระกูลใหญ่ในประเทศไทยจำนวนมาก

อั้งยี่ไม่ใช่ปัญหาของสังคมไทย ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่เป็นสิ่งที่มีคู่กับสังคมไทยมาช้านาน การที่บุคคลจะมารวมกันได้นั้น ต้องมีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ถ้าผลประโยชน์ร่วมกัน โดยถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไม่มีความผิดอั้งยี่ ความผิดฐานอั้งยี่จะ เกิดขึ้นต่อเมื่อ มีการรวมกัน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งกฎหมายใช้คำว่ามีความมุ่งหมายเพื่อการอัน มิชอบด้วยกฎหมาย

อั้งยี่ในเมืองไทยนั้นเริ่มมีความรุนแรงขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ มูลเหตุที่เกิดอั้งยี่นั้น เนื่องมาจากประเทศอังกฤษ นำฝิ่นจากอินเดีย เข้าไปขายในประเทศจีน คนจีนจึงติดฝิ่นกันเป็นจำนวนมาก เมื่อเข้ามาทำมาหากิน ในประเทศไทย ก็นำฝิ่นเข้ามาในประเทศไทย ทำให้คนไทยสูบฝิ่นตามคนจีน ที่อพยพเข้ามาด้วย การซื้อขายฝิ่น จึงมีขึ้นแพร่หลาย ทั้งที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ดำรัสให้ตรวจจับฝิ่นตามกฎหมาย ทั้งคนไทยคนจีนที่สูบฝิ่นจำนวนมาก เป็นเหตุให้มีผู้ลัก ลอบค้าขายฝิ่น และสามารถทำกำไรได้จำนวนมาก พวกคนจีนที่เข้ามาค้าขายฝิ่น ก็ตั้งกลุ่มอั้งยี่ขึ้น นำฝิ่นเข้ามาทางเรือสำเภา ตามหัวเมืองริมทะเลจำนวนมาก บางครั้งก็ปลอมปนมากับสินค้าอื่น บางครั้งพวกคนจีนที่ค้าขายฝิ่น มีจำนวนมาก ได้รวมตัวกันรบพุ่ง ต่อสู้กับเจ้าพนักงานของรัฐ

เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ เกิดอั้งยี่ที่แขวงจังหวัดนครชัยศรี และจังหวัดสมุทรสาคร แต่ทางราชการสามารถส่งกำลัง ไปปราบ ปรามได้

พ.ศ. ๒๓๘๗ พวกอั้งยี่ที่ตั้งซ่องขายฝิ่นที่ปากแสมริมชายทะเล ตำบลแสมดำ ในระหว่างปากน้ำบางปะกง กับแขวงจังหวัดสมุทรปราการ ต่อสู้กับเจ้าพนักงานจับฝิ่น ต้องให้กรมทหารปากน้ำไปปราบ พวกอั้งยี่ถูกยิงตายหลายคน

พ.ศ. ๒๓๙๐ พวกอั้งยี่ตั้งซ่องขายฝิ่นอยู่ที่ตำบลลัดกรุด เมืองสมุทรสาคร ครั้งนี้พวกอั้งยี่ มีพรรคพวกมากกว่าแต่ก่อน พระยามหาเทพ (ปาน) ซึ่งเป็นหัวหน้าพนักงานจับฝิ่น ออกไปจับเอง ถูกพวกอั้งยี่ยิงด้วยอาวุธปืนถึงแก่ความตาย จึงโปรดให้สมเด็จเจ้า พระบรมมหาประยูรวงศ์ เมื่อยังเป็นเจ้าพระยาพระคลัง คุมกำลังไปปราบ พวกอั้งยี่ถึงแก่ความตาย ประมาณ ๔๐๐ คน

พ.ศ. ๒๓๙๑ พวกอั้งยี่ก็กำเริบขึ้นที่เมืองฉะเชิงเทรา คราวนี้เป็นกบฏ ฆ่าพระยาวิเศษลือชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาย และพวกอั้งยี่เข้ายึด เอาป้อมเมืองฉะเชิงเทราไว้เป็นที่มั่น โปรดให้สมเด็จพระยามหาประยูรวงศ์ ยกพลจากเมืองสมุทรสาคร ไปปราบพวกอั้งยี่ ที่เมืองฉะเชิงเทรา ต่อสู้พ่ายแพ้ พวกอั้งยี่ถูกฆ่าตายกว่า ๓,๐๐๐ คน อั้งยี่เมืองฉะเชิงเทราจึงสงบ

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงเปลี่ยนนโยบาย เป็นการตั้งภาษีฝิ่นผูกขาด คือ เฉพาะรัฐบาลเท่านั้น จะซื้อฝิ่นเข้ามาต้มขาย เอากำไร แล้วให้ซื้อฝิ่นสูบได้ตามใจชอบ ให้เลือกหาคนจีนที่ตั้งตัวเป็นหลักแหล่งแล้ว และเป็นคนซื่อตรง มีคนนับถือมาก ตั้งเป็นตำแหน่งปลัดจีนขึ้น กรมการตามหัวเมืองที่มีจีนมาก สำหรับใช้อุปการะ และรับทุกข์ร้อนของพวกจีน ขึ้นเสนอต่อรัฐบาล เมื่อทรงแก้ไขด้วยอุบายดังกล่าวแล้ว เหตุการณ์อั้งยี่จึงสงบไปหลายปี

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสวยราชย์ เมื่อยังทรงพระเยาว์ มีพระชนม์เพียง ๑๖ พรรษา สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อยังเป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมุหพระกลาโหม ได้เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่ ๕ ปี มีพวกอั้งยี่พวกหนึ่งขึ้น ในเขตกรุงเทพมหานคร ต่อสู้กับเจ้าภาษีฝิ่น ในโรงกงก๊วนที่ดิน วัดสัมพันธวงศ์ เกิดการต่อสู้รบกันในสำเพ็ง พอเปลี่ยนราชการ อั้งยี่พวกหนึ่ง คุมกันช่วยปล้นราษฎรในแขวงจังหวัดนครชัยศรี ในหัวเมืองอื่นๆ ใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร สมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ จึงได้ออกอุบายหลายอย่าง เพื่อระงับเหตุ การปราบปรามอั้งยี่ ที่นครชัยศรี ได้จับส่งเข้ามาในกรุงเทพฯ เอาตัวหัวหน้าประหารชีวิต และพวกอั้งยี่ทั้งหมดถูกจำคุก

ปัจจุบันนี้ ไม่มีปัญหาเรื่องคนจีนจำนวนมาก ที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรดังแต่ก่อน แต่กลับมีบุคคลสัญชาติจีน กัมพูชา ลาว และพม่า โดยเฉพาะชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า จีนและลาว เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นจำนวนมาก เพื่อทำการขายแรงงาน และขายบริการทางเพศ ทั้งที่ได้รับการผ่อนผัน ถูกต้องตามกฎหมายบ้าง ปัจจุบันนับได้หลายแสนคน และกำลังเป็นปัญหาใหม ่ของประเทศ โดยเฉพาะปัญหาการว่างงาน โรคติดต่อ อาชญากรรม ชุมชนแออัด และปัญหาที่แก้ไม่ตก ของประเทศ และเป็นปัญหาใหญ่ ที่ทำท่าจะแก้ไม่ไหวก็คือ ปัญหายาเสพย์ติด

ครั้งนั้น ฝิ่นเป็นเหตุให้เกิดอั้งยี่ขึ้น แต่ปัจจุบันนี้กลับมียาเสพย์ติดชนิดใหม่ เรียกว่า ยาบ้าขึ้นมาแทน การซื้อ ขายยาบ้านั้น ทำกำไรให้แก่ผู้ขายอย่างมหาศาล ทำให้คนไทยรวมตัวกับชนกลุ่มน้อยต่างๆ หรือคนต่างด้าว ที่เข้ามาในราชอาณาจักร ขนยาบ้าที่ผลิตนอกราชอาณาจักร เข้ามาขายในราชอาณาจักร อย่างเป็นล่ำเป็นสัน การที่มีกำไรจำนวนมาก ทำให้สามารถมีกำลังเงิน กำลังคนและกำลังอาวุธ ต่อสู้กับเจ้าพนักงานของรัฐ ถ้าปล่อยให้เนิ่นช้าไป อาจเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับอั้งยี่ของเมืองไทย ในอดีตที่ผ่านมาก็อาจเป็นได้ หวังว่าคงไม่ต้องยกกองทัพไปปราบ ดังเช่นในอดีตให้ต้องเสียกำลังคน และเกิดการล้มตายจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ รัฐบาลได้ประกาศสงครามกับยาเสพย์ติด และดำเนินการ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พยายามดูแล กฎหมาย เกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพย์ติดโดยเฉพาะ เสนอให้นำผู้ที่ติดยาเสพย์ติด ไปฝึกอบรม และผู้ที่ขายยาเสพย์ติด เพียงเล็กน้อยเป็นผู้ป่วย ไม่ใช่ผู้ขาย เพื่อจะแก้ปัญหายาเสพย์ติด จำนวนมาก และมุ่งปราบผู้ค้าขายรายใหญ่

ไม่ทราบ ว่าวิธีการดังกล่าวนี้ จะสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ ขอให้ศึกษาติดตามเรื่องนี้กันต่อไป และหวังว่า จะเป็นประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จะสามารถเป็นแบบเรียน ที่เป็นประโยชน์ ในการดำเนินการ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในอนาคต

กติกาเมือง ประคอง เตกฉัตร ( เราคิดอะไร ฉบับ ๑๓๐ พ.ค. ๔๔ หน้า ๗๗ - ๗๙ )