คนไทยพ.ศ.๒๕๓๒ใครไม่รู้เรื่องกรณีสันติอโศกเลย
ก็ต้องว่าเชยอะไรขนาดนั้น ข่าวสารข้อมูลที่เผยแพร่ออกมาทั้งทางวิทยุ
โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์รายวัน ตลอดจนวารสารสิ่งพิมพ์รูปแบบต่างๆ มากมาย
ฟัง ดู อ่าน ตามที่เขาว่าแล้ว ลองมาฟังพ่อท่านผู้ประสบกับเหตุการณ์จริงดูบ้างว่า
ท่านคิดอย่างไรกับข้อกล่าวหาหรือความคิด และการกระทำของผู้อื่น ที่ส่งผลกระทบต่อท่านไม่น้อยอยู่ในขณะนี้
การที่พ่อท่านทำงานศาสนาตลอดมาจนตั้งหมู่กลุ่มขึ้นนั้น
พ่อท่านอยากใหญ่หรือ
การที่มีหมู่กลุ่มขึ้นนั้น อาตมาไม่ได้จัดตั้ง
อาตมาไม่ได้เจตนาให้เป็นหมู่เป็นกลุ่ม อาตมาทำงานแล้วหมู่กลุ่มเกิดเองโดยธรรมชาติ
เมื่อเกิดหมู่เกิดกลุ่ม โดยความรู้สามัญสำนึกก็เห็นว่าอาตมาเป็นผู้นำ
เป็นผู้ใหญ่ในหมู่กุล่ม อาตมาก็ทำหน้าที่ที่จะรับผิดชอบเท่าที่จะมีปัญญา
อาตมาทำงานกับคน เขาก็มาศรัทธาเลื่อมใส เพราะเขาได้ประโยชน์ เขาเอาอย่างตามกายกรรม
วจีกรรม มโนกรรม หรือพฤติกรรมชีวิตที่น่าจะเป็นตัวอย่าง แล้วมีคนนับถืออาตมาเพิ่มเติมขึ้น
ยอมรับว่าอาตมาเป็นผู้นำ ถ้าจะว่าเป็นใหญ่ก็ใหญ่ตามธรรม โดยไม่ได้อยาก
นี่เป็นความจริงจากใจ แต่จริงๆ มันไม่ได้ใหญ่หรอก ในโลกเขาใหญ่เพราะมีลาภมาก
มียศสูง มีสรรเสริญเยินยอยิ่งใหญ่ เสพโลกียสุขมากๆ มีอำนาจทำให้คนอื่นอยู่ใต้อำนาจตนอย่างนั้นอาตมาคิดว่าอาตมาไม่มี
ถ้าใครมาทำตามที่อาตมาบอกเขาก็ทำตามโดยไม่ได้ถูกบังคับ แต่เขาเชื่อถือว่า
เขาทำตามสิ่งที่ดีเขาทำตามแล้วจะเจริญ พ้นทุกข์ เป็นอยู่สุขสบาย เป็นคนดีคนประเสริฐ
ไม่ใช่ทำตามเพราะกลัวอำนาจ หรือเพราะหวังอะไรจากอาตมา อาตมาไม่มีลาภ
ยศ สรรเสริญให้ ไม่มีอำนาจกดขี่บังคับใครอย่างนี้เรียกว่าใหญ่หรือเปล่าล่ะ
คนที่เขาไม่เข้าใจพ่อท่าน
เขาเห็นชาวอโศกเป็นหมู่กลุ่มขึ้นมา แล้วก็เผยแพร่ออกไป มันอาจจะกว้างขวางขึ้น
เขาจึงกลัวไปถึงขนาดว่าพ่อท่านอยากเป็นสังฆราช
คำนี้ไม่ควรใช้กับอาตมาเลยนะ อาตมาไม่อาจเอื้อม
ไม่เคยคิด แม้แต่เศษเสี้ยว นิดหนึ่งว่า จะต้องไปเป็น สังฆราช อาตมา ทำงานนี้
คนเคารพนับถือยกย่องก็มี คนข่มอยู่ก็มาก มากกว่าคนยกให้ด้วยซ้ำ คนข่มคนดูถูก
พยายามจะทำลายลงมามากมาย ก็ไม่มีปัญหา อาตมาไม่ได้เสียใจ ไม่เดือดร้อนอะไร
ก็เห็นใจเขา เข้าใจว่าเขาเข้าใจเราไม่ได้ แล้วก็ตรวจความจริงของเราว่า
เรามีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เรามีชีวิตอยู่อย่างไม่ทำลายใคร นอกจากทำลายความไม่ดีของคน
ไม่เคยทำลายตัวคน พยายามอธิบายให้เขาเห็นสิ่งไม่ดีไม่ควร จะได้แก้ไขหรือช่วยกันไม่ให้เขาทำสิ่งไม่ดีนั้นออกมา
ส่วนสิ่งที่ดีอยู่ในคนไหนก็แล้วแต่ แม้ในคนที่มีความไม่ดีเป็นส่วนมาก
แต่เขาก็มีดีส่วนหนึ่ง เราก็ไม่ได้คิดจะทำลายส่วนนั้นในตัวเขา อาตมาไม่เคยเกลียดคน
ไม่เคยคิดทำลาย แล้วก็ไม่เคยคิดตั้งตัวเป็นใหญ่เป็นโต เขาละเอียดลออพอที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า
อาตมาทำความดี ความดีนั้นจะกว้างไกลไป แพร่ไป มีคนยอมรับมากขึ้น มันก็ดีแล้วนี่
แต่ไม่ต้องกังวลว่าอาตมาจะตั้งตนเป็นใหญ่เป็นเจ้า อาตมาจริงใจที่จะไม่เบ่งข่มใคร
แต่ผู้ที่พยายามจะให้พ่อท่านสึก
อย่างเช่นพระเทพเวทีได้กล่าวว่า พ่อท่านไม่ซื่อสัตย์ ไม่จริงใจต่อศาสนา
พ่อท่านจะอธิบายความจริงใจต่อศาสนาอย่างไร
อาตมาก็บอกความจริงของอาตมาเท่านั้น
ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาไม่เดือดร้อน อาตมาได้รับประโยชน์จากศาสนา
และแน่ใจว่าเป็นศาสนาของพระพุทธเจ้า ที่มีทฤษฎีมรรคองค์ ๘ เป็นเอก อาตมาปฏิบัติตามแล้วเกิดความลดละ
วิมุติหลุดพ้นจากลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อาตมาไม่ได้ติดในโลกธรรม ไม่ใฝ่ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอะไร
อาตมาก็พูดความจริงใจของอาตมาว่า นี้คือเนื้อหาของศาสนา ส่วนท่านจะว่าเนื้อหาของศาสนาคือบาลี
ถ้าแปลบาลีผิดคือเนื้อหาของศาสนาผิด ที่ว่าผิดก็เป็นความคิดของท่าน ก็ไม่รู้ว่าผิดแค่ไหน
จะว่าผิดไวยากรณ์ อาตมาก็ยอมรับผิดไปแล้ว แต่เนื้อหาสาระที่อาตมาเอามาใช้กับพวกเรา
พวกเราก็ละลาภยศสรรเสริญโลกียสุขพ้นโลกีย์ออกมาได้อยู่ โดยค่าเฉลี่ยก็มีคุณภาพมีประสิทธิภาพดีอยู่
อาตมาว่าเนื้อหาของศาสนาอยู่ที่ ความรู้ว่าโลกียสุขคืออะไร ลาภ ยศ สรรเสริญคืออะไร
ไม่ได้ทุกข์เพราะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ แล้วที่ได้รับคำนินทาอยู่นี่ก็พิสูจน์อยู่แล้วว่า
อาตมาไม่ได้ทุกข์ ลาภยศ อาตมาก็ไม่ได้มากมาย อาตมายึดถือหลักเกณฑ์ว่าไม่ได้ผิดธรรมวินัย
แล้วก็ยืนหยัดตามธรรมวินัย นี่เป็นการแสดงความจริงใจของอาตมา เพียงแค่อาตมาแปลบาลีผิด
แล้วจะหาว่าอาตมาผิดร้ายแรงทำธรรมวินัยให้วิปริตนั้น ท่านน่าจะพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าท่านพยายามเอาเรื่องเล็กมาทำเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่
ท่านควรตรวจตนว่าใส่เรื่องมากไปหรือเปล่า ถ้ามากไปจะได้แก้ไข แต่ถ้าท่านว่าไม่
ท่านก็ทำต่อไปอย่างที่ทำอยู่
อัยการฟ้องพ่อท่านข้อหาอะไรคะ
เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๓๒
ฟ้องตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์มาตรา ๒๗ ว่าเป็นผู้ผิดธรรมวินัยเป็นอาจิณ
ได้ร้บคำสั่งจากมหาเถรสมาคมให้สึกภายใน ๗ วัน แล้วไม่สึก อาตมาคิดว่าอาตมาไม่ได้ผิดธรรมวินัยเป็นอาจิณอย่างที่ท่านกล่าวหา
ส่วนเรื่องสึก ถ้าจะว่าตามกฎหมายอาตมาก็ปฏิบัติตามไปแล้วอาตมาแบ่งแยกธรรมวินัยกับกฎหมายให้ชัดเจน
อาตมาว่าการกสงฆ์ของมหาเถรสมาคมควรพิจารณาคดีตามหลักธรรมวินัยตั้งแต่แรก
มีสัมมุขาวินัย พิจารณาเรื่องนานาสังวาสก็ไม่เอาตามธรรมวินัย จะทำตามกฎหมาย
เราก็ปฏิบัติตามกฎหมาย เปลี่ยนรูปเปลี่ยนแบบมาตามรูปที่จับต้องได้ ท่านก็ไม่ยอมกัน
จะให้สึกตามธรรมวินัยอีก โดยไม่ได้พิจารณาคดีตามธรรมวินัย อย่างนี้อาตมาก็ไม่ขอตอบใดๆ
ท่านจะทำอะไรแค่ไหนก็พิจารณากันในศาล
พ่อท่านรู้สึกอย่างไร
รู้สึกธรรมดาปกติ อาตมาเข้าใจเหตุผล
เข้าใจจิตวิญญาณเขา จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง
ที่พ่อท่านให้สัมภาษณ์ว่า
อริยะเตะคนได้นี่ พ่อท่านมีรายละเอียดอีกไหมคะ
นักข่าวเขามาสัมภาษณ์ว่าถ้าเหตุการณ์รุนแรงขึ้น
ท่านจะรักษาสถานการณ์ได้ไหม อาตมาก็บอกว่า อาตมารับรองไม่ได้หรอกว่าจะรักษาสถานการณ์ได้ทั้งหมด
เพราะว่าคนมีหลายระดับ ภูมิปัญญาอารมณ์ต่างๆกัน ผู้ปฏิบัติธรรมมาแล้วจะลดละความโลภ
โกรธ หลง ตามระดับ ผู้ปฏิบัติธรรมบางคนก็ยังมีความโกรธอยู่ อริยะโสดาบันก็มีความโลภ
ความโกรธตามขีดขอบของโสดาบัน ถ้าถูกยั่วยุมากมายรุนแรงจนถึงขีดสุดของความอดกลั้นก็อาจทำอะไรรุนแรงได้
พระอริยะชั้นต่ำอย่างโสดาบันก็อาจเตะคนได้ อาตมาไม่ได้ว่าอาตมาจะไปเตะคน
มติชนเขายังลงว่าอริยะชั้นต่ำก็อาจจะเตะคนได้ ส่วนคนที่ไม่รับผิดชอบในการเขียน
ไม่ระมัดระวัง เขียนแล้วอาตมาเสียหาย อาตมาก็ไม่ว่าอะไรหรอก
พวกเราจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
เราก็ทำดี ถ้าเราแน่ใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่ดีแล้ว
ถูกต้องแล้วก็พยายามพากเพียรฝึกฝนตนให้ดีขึ้นไป อย่างน้อยเราก็ได้ความดีนั้นให้แก่ตนเอง
เมื่อเราแต่ละคนสร้างคุณงามความดีแล้ว จะทำให้สังคมดีขึ้นด้วย
เราทำตัวเราเองนี่แหละ
แก้ไขตนเอง จะแก้ไขผู้อื่นนั้นยาก ผู้อื่นจะแก้ไขตามเรา
เราก็บอกเขาบ้าง เท่าที่เราพอบอกพอแนะนำได้ ถ้าเราไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปสอนไป
แนะนำใคร เราบอกไม่ได้ ก็ไม่ต้องบอก บอกได้ก็บอก เราต้องรักษาตัวเราเป็นสำคัญ
คนอื่นก็เป็นผลได้บ้าง