|
||||
สิบห้านาทีกับพ่อท่าน
โดย ทีม สมอ. ตอน... ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน |
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 138 เดือนสิงหาคม 2532 "ขอทำดีเถิด" |
|||
|
||||
"ธรรมดาคนเขาอยากให้เราดี ก่อนอื่น ก็ต้องขอคารวะท่านผู้รจนาบทนี้ขึ้น ด้วยว่าท่านช่างเข้าใจกิเลสคนได้ลึกซึ้ง และสรุปประเด็นความขัดแย้งในแง่นี้ได้ชัดมาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยัง (แอบ) หวังว่า คนเราคงไม่เป็นอย่างที่ว่าเสียทั้งหมด คงมีบ้างหรอกที่ " ใจกว้าง" พอที่จะยอมรับคนอื่น หากเขาผู้นั้น "เด่น" เพราะ "ดี" จริง อย่างไรก็ตาม ความหวังนั้นดูจะเหมือนจะมืดมนเต็มที
ในยุคสมัยนี้ "พ่อท่านคะ ทำไมชาวอโศกยุคนี้ถึงกับต้องพูดว่า "ขอเราทำดีเถิด" ด้วย ในเมื่อความดีก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้อย่างอาจหาญไม่ใช่หรือ?
และอีกอย่าง การอ่อนน้อมถ่อมตนที่จะขอ มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย มันก็เป็นเรื่องดีงามที่จะ "ขอ" ทำความดี ให้เขาคิดดูบ้างว่าเราไม่ได้ทำเสียทำหายอะไร เราจะทำดี ก็คิดว่ามันน่าจะดีนะ
ฉะนั้น เมื่อเราแน่ใจว่าเราทำดีแล้ว ถูกต้อง ยังไงๆเราก็ "ขอทำดีเถอะ" เราจะไม่ไปมัวโทษสังคมหรอกว่า ท่านไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่เราจะทำต่อไปด้วยความจริงใจ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้จริง รู้ชัดจึงจะต้องเป็นผู้ที่ยอมหยุด หรือยอมที่จะปล่อยให้เขาว่า เขาด่า เขาเข้าใจผิดไปก่อน เพราะว่าไม่สามารถ บังคับความฉลาด ของคนได้ หรือไม่สามารถบังคับให้คนรู้ได้เมื่อเขาไม่รู้จริงๆ เราไม่มีความสามารถกว่านี้
แต่ก็ไม่พูดหรอกว่า เดินเกมถูกต้อง และดีเกินคาด-ไม่พูด พ่อท่านแน่ใจไหมว่า สิ่งที่ทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้เป็นความดี?
แล้วก็มาเสียสละกัน มาสร้างสรรกัน จนกระทั่งคนเข้าใจผิดว่าเรามีทุนหนุนหลัง เรามีความไม่ซื่อตรง มีอะไรแอบแฝงต่างๆนานาสารพัด ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาคาดคะเนไปเองทั้งนั้น เพราะมันไม่น่าเชื่อจนถึงขั้นมหัศจรรย์อยู่
แต่ของเรามันไม่ใช่อย่างนั้น มันเกินรอบนั้น สูงกว่าอันนั้น มันสอดคล้องกับความดีที่จริงขึ้น เพราะฉะนั้นมันเดาไม่ได้ คาดคะเนไม่ได้ ก็เห็นใจเขาอยู่นะที่เขาเข้าใจไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ได้แต่เตือนให้เขาศึกษา ให้พยายามฝึกฝนอบรมตน ยังไงก็ยับยั้งชั่งใจบ้าง ซึ่งก็คงยับยั้งไม่ได้หรอก เพราะเขาคิดว่าเขาจริงใจ และคิดว่าเราหลงตัวหลงตนด้วยซ้ำ ยิ่งกับบางคนที่เขายอมรับนับถือกัน ยกย่องกันว่าเป็นผู้รู้หลายๆท่านมารวมๆกัน คิดเห็นสอดคล้องกันลงมติกัน เขาก็คิดว่า อันนั้นมันเป็นความจริงกว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ตัดสินได้แล้ว เป็นข้อวินิจฉัยที่สมบูรณ์แล้ว
คนที่ถูกเขาว่าอะไรก็รู้สึกเสียหน้า เสียศักดิ์ศรี เสียเกียรติยศ นั่นแหละคนที่หลงติดอัตตามานะ ถ้าเราไม่ได้ผิดตามที่เขาว่า เราก็จบแล้วนี่ ไม่มีอะไรมาทำให้เราเสียได้ ไม่มีอะไรจะทำให้เราผิดได้ ถ้าเราไม่ผิด
แต่คนที่ไม่งมงาย ไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ คนมีปัญญาเขาก็จะศึกษา เขาก็จะเข้ามาตรวจสอบ เขามีปัญญาที่จะค้นคว้า พิสูจน์ แล้วเขาก็จะเข้ามาคบคุ้น
คนเลวจะพยายามทำเลวตลอดเวลานั้นจริ๊ง-จริง และเขาก็ทำเลวได้ร้ายกาจด้วย เมื่อเขาไม่ชอบใจ เมื่อเขาต้องการจะทำลาย จะโค่นล้ม จะฆ่าเข่นอะไร เขาก็ทำจริงด้วย ทีนี้ผู้ที่จะทำดีก็ต้องฉลาด มียุทธศาสตร์ที่จะทำงานได้ดีที่สุด ได้มากที่สุด โดยไม่พยายามให้เป็นตัวเหตุปัจจัย ที่จะก่อเกิดความเลวร้ายต่อสังคม รับผิดชอบสังคม และพยายามไม่ให้ใครๆเสียหายให้ได้ นอกจากจะหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆสุดวิสัยก็จำนน
มันก็เลยพูดกันไม่ได้เรื่องใหญ่ ก็ลำบากที่จะทำความเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ เพราะไม่ได้มีคนคนเดียว แต่ยังมีคนอีกมากมายที่รอความช่วยเหลือ คนรู้ย่อมมีไม่ใช่จะโง่ไปเสียทั้งหมด คนลึกซึ้งจริง ฉลาดแท้ก็จะได้เพิ่มขึ้นๆ อย่าท้อแท้สิมันเหมือนคนใจดำนะ และเราจะไม่ได้ทำดีต่อไปได้ไง? แม้จะต้อง "ขอ" เขาทำ ก็ต้องทำดีให้ยิ่งๆขึ้น ดีอยู่เท่าเก่าหรือลดดีลง พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงสอนไว้
ถ้าตรวจสอบแล้วสรุปผลได้ว่าเราถูกต้อง เราก็ควรจะวางใจได้แล้ว เราต้องรู้ที่จบ ผู้รู้ชัดแล้วก็วางใจมันก็จบ เขาจะว่าเรายังไง จะทำยังไง มันก็เรื่องของเขา เราก็ทำงานในส่วนของเราต่อไป ทุกวันนี้นี่ เขาว่าอะไรอาตมา อาตมาก็ยังทำงานได้อยู่ ยังพัฒนาสร้างสรรอะไรได้อยู่ แล้วอาตมาจะไปหาเรื่องรบรา หรือทะเลาะเบาะแว้งกับเขาทำไม ทุกวันนี้อาตมาก็ยังมีทางทำงาน ยังขยันไม่พอด้วยซ้ำป ยังเหนื่อยจนกระทั่งจะไม่ไหวอยู่แล้วด้วยซ้ำ แล้วจะไปจนทางอะไร
กียสุข เขาก็ต้อง"เอา" ส่วนเรานี่ เราไม่แย่งลาภ แย่งยศอะไรกับเขา ไม่แย่งแล้วยังสร้างยังขยันยัง"ให้"ด้วยซ้ำ แล้วมันจะขัดแย้งกันได้ยังไง มันยิ่งน่าจะอยู่ด้วยกันได้ มันสอดคล้องกันอยู่แล้ว แต่เขาเข้าใจไม่ได้ ซ้ำยังหาว่าเราจะไปขัดขวางเขา เปล่า-เราไม่ได้ขัดขวางเขา ก็เขาจะ"เอา"แล้วเรา BYE ออกมา มันจะขัดขวางกันยังไง ถ้าจะขัด ก็คือขัดใจเขา ที่คิดเห็นไม่ตรงกับเขา ไม่เหมือนเขา แต่พฤติกรรมและความเป็นอยู่ มันก็ไม่ได้ไปต้านอะไรกันนี่ คนหนึ่ง"เอา" อีกคนหนึ่ง"ให้" ลักษณะมันต่างกันจริง แต่มันรวมกันได้ จริง-มันดูเหมือนจะอยู่คนละฟากฝั่ง มันเหมือนเป็นคนละตระกูล อีกฝ่ายตระกูล "เอา" อีกฝ่ายตระกูล "ไม่เอา" หรือ "ให้" มันก็ไม่แย่งกันแล้ว แต่คิดตื้นๆมันแย้งกัน มันก็ดีแล้วนี่ จะไปทะเลาะกันทำไม มันยิ่งต้องอยู่กันได้ดีอย่างที่ว่า นี่-เขาไม่เข้าใจอย่างนี้ ไม่ฉลาดพอที่จะรู้อย่างนี้เท่านั้น หรือถึงรู้ก็ไม่ลึกซึ้งจึงเข้าใจไม่ได้
ส่วนการทำความดีหยุดไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้หยุดอยู่ในกุศลธรรมหรือ? ใครเขาจะทำไม่ดีมายังไง เราต้องพยายามทำให้มันดี ให้มันจบที่เรา เขาไม่จบเราก็ทำดีต่อไป ทำให้มันดีต่อไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้นี่ เราไม่มีสิทธิ์หยุดในการทำความดี หยุดไม่ได้เด็ดขาด จะมาขาดมาเด็ดยังไงก็ไม่มีวันหยุด
ค่ะ-ก็สรุปจบด้วยโศลกตั้งสามบท ใครอ่านมาถึงตรงนี้ แล้วยังท้อแท้สิ้นหวังอยู่ ก็ช่วยไม่ได้นะคะ ที่แน่ๆจบสัมภาษณ์คราวนี้ ประโยชน์ตนที่ได้ชัดๆคือ หายจากอาการมึนโดยสิ้นเชิง จะมีติดขัดอยู่อีกนิด ก็ตรงลืมถามพ่อท่านอีกคำว่า... การทำดีจนคนตาบอดเห็นได้ ก็ยังพอเห็นหนทางอยู่ แต่กับคน "ใจบอด" นี่สิ พ่อท่านจะให้ทำอย่างไร ??? |
||||
|
||||
๑๕ นาทีกับพ่อท่าน (สารอโศก อันดับ ๑๓๘ สิงหา กันยา ตุลา ๒๕๓๒ ขอทำดีเถิด) |
||||