สิบห้านาที กับพ่อท่าน โดย ทีม สมอ. ตอน...
หิ
นฟ้า

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 146 เดือนพฤศจิกายน 2533
ฉบับ "หินฟ้า"

สารอโศกฉบับนี้ ชื่อฉบับ "หินฟ้า" ดังได้ปรากฏบนหน้าปกแล้ว แต่เชื่อว่าหลายๆ คน (รวมทั้ง คนสัมภาษณ์) อาจจะยังไม่เข้าใจความหมาย และ ความเป็นมา ของคำคำนี้ชัด จึงขอถือโอกาสคุย กับพ่อท่านในประเด็นนี้ค่ะ

: "หินฟ้า" คืออะไรคะพ่อท่าน ?

: "หินฟ้า" ก็คือเสาหิน ที่ตั้งเป็นอนุสาวรีย์ เป็นลักษณะ ของหินใหญ่ที่เป็นเอก เป็นเด่น แล้วก็มีหินอื่นเป็นองค์ประกอบรวม แต่ดูแล้วเป็นเอกภาพ และ มีความหมาย

มีความมุ่งหมายให้ดูเป็นหมู่กลุ่ม เป็นหมู่กลุ่มหิน เป็นสิ่งที่มั่นคงถาวร เราใช้แทนความหมายว่า เป็นสิ่งที่มั่นคงราว กับหิน

สำหรับปฐมอโศก เราก็ใช้เป็นสิ่งแทนหมู่กลุ่ม ของบุคคล ที่เกาะกันแน่นเป็นเอกภาพหนึ่ง เป็นเอกภาพที่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และ มั่นคงอย่าง กับหิน ภาษาอังกฤษก็เรียกว่า Monolith ถ้าเป็นคุณศัพท์ก็ Monolithic ลักษณะหินแบบนี้น่ะเรียกว่า Monolith

: ทำไมพ่อท่านตั้งชื่อว่า "หินฟ้า" ล่ะคะ ?

: มันก็เป็นความเกิดก่อตามเหตุปัจจัย คือ มีคนขนหินมาให้ หินก็มากองๆ ๆ กันเข้า ก็มีก้อนหนึ่ง โอ้โฮ ! มันใหญ่ และ มีลักษณะโดดเด่น สูง ยาว พอที่จะเอาไปตั้งให้เป็นหลักหินที่เด่นชัดได้ แล้วก็มีหน้าตัดที่กว้างพอที่จะสลักข้อความ ที่เป็นเป้าหมายและนโยบายหลัก ของเรา ลงไปได้เหมาะทีเดียว

อาตมาเห็นอย่างนั้น ก็เลยให้ช่างเขามาแกะสลัก เป้าหมายหลัก อันคือ

อิสรเสรีภาพ
ภราดรภาพ
สันติภาพ
สมรรถภาพบูรณภาพ

ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เราจะสร้าง และ ทำให้เป็นจริงให้ได้ นอกจากนี้ถ้าเป็นนโยบายหลัก คือ

เน้น เนื้อ ให้เหนือกว่า มาก
เน้น ลาก แม้ยากกว่า แล่น
เน้น จริง ให้ยิ่งกว่า แค่น
เน้น แก่น ให้แน่นกว่า กว้าง

อาตมาก็ดูว่า มันควรจะสลักลงไปตรงตำแหน่งไหน ก็หาที่ให้เขา แล้วก็ให้จัดตั้งขึ้น ในที่ที่คิดว่าเหมาะสม

ก็เท่า กับว่ามันเป็นสัญลักษณ์ เป็นอนุสาวรีย์ที่จะใช้เป็นสื่อนำความคิดความสำนึก ทำอะไรต่ออะไรที่จะก่อเกิดสัญลักษณ์ ของพวกเรา ก็เห็นว่า มันน่าจะชื่อ "หินฟ้า"

ก็คือหินนั่นแหละ แต่หินแท่งนี้มันควรจะมีความหมายสูงส่ง ก็เอาคำว่า "ฟ้า" มาใส่เข้าไป ก็แปลรวมว่า "หินที่มีสัญลักษณ์อันสูงส่ง"

: แล้วคำภาษาอังกฤษว่า Monolith เขาหมายความตามนี้ด้วย หรือ คะ ?

: เท่าที่อาตมาเข้าใจ มันก็เป็นความหมายอย่างที่อาตมาบอก คือเป็นหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่มีความเป็นเอกภาพเด่นชัด เราก็เอามาหมายถึงกลุ่มคน ที่มีการเกาะกลุ่มกันมั่นคงแข็งแรงประดุจดัง กับหิน ซึ่งมันเหมาะ กับกลุ่มชน ของเรามากทีเดียว

: สรุปคือ "หินฟ้า" โดยรูปธรรมก็คือแท่งหิน แต่นามธรรมก็อย่างที่พ่อท่านให้ความหมายมาทั้งหมด

: ใช่ !

: ขอความกรุณาพ่อท่าน ช่วยอธิบายรายละเอียด ของนโยบายหลักชัดๆ อีกครั้งค่ะ

: "เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก" ก็คือ เราจะต้องรู้เนื้อหา ของมัน เนื้อไม่ได้หมายความว่าแก่น แต่หมายความถึงองค์รวม ตั้งแต่แก่นจนถึงเปลือก นี่องค์รวม มีระดับขั้น

เพราะฉะนั้น เนื้อมันคืออะไรกันแน่ กระพี้มันคืออะไรกันแน่ เปลือกคืออะไรกันแน่ เราต้องรู้และมีทั้งเปลือกทั้งกระพี้ มีทั้งเนื้อนอกเนื้อใน เนื้อเองก็มีหลายระดับ

เรา จึงมีแม้แต่ร้องเพลง แม้การแสดงต่างๆ ตามวาระ เราก็ประสมประสานมันให้เป็นสัดส่วนที่พอเหมาะอย่างชัดเจน อย่าไปหลงใหลได้ปลื้มแต่ว่า ขอให้ฉันโต ขอให้ฉันใหญ่ ขอให้ฉันมากอย่างไม่รู้สัดส่วนอันพอเหมาะพอดี คนหลงใหลอย่างนี้ มิติตื้นๆ มิติเดียวอย่างนี้มาก ต้องเข้าใจคำว่าเนื้อให้ชัด ซึ่งจะมีสัดส่วนทั้งปริมาณและคุณภาพอันพอเหมาะ จึงจะพาเจริญยิ่งๆ ขึ้น เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามากให้เด่นชัด ให้แยบคาย

"เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น" นี่ก็เข้าใจยากหน่อย คือลากนี่หมายความว่าต้องลำบาก ต้องถูลู่ถูกัง ต้องอดทน ต้องสู้ฝืน แม้มันจะช้า "ลาก"นี่หมายความว่าจะช้านานหน่อยก็เอา ก็ทนเอา "แล่น" คือใจเร็วด่วนได้ รีบๆ ลวกๆ อะไรอย่างนี้ ก็ไม่เอา เราไม่ต้องไปรีบเร่ง ใจร้อน แม้จะช้าก็พยายามฝ่าฟัน สู้ทนแม้จะยากลำบากกว่ากัน นี่ความหมายเน้นลากแม้ยากกว่าแล่น

"เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น" นี่เข้าใจง่ายกว่าเพื่อน เน้นจริงนะ อย่ามาทำเหลาะแหละ ไอ้ที่แค่นๆ ทำ เสแสร้งทำ มีอะไรปนๆ แฝงๆ ระวังให้ดีทีเดียว เราเอาความจริง จริงนอก จริงใน จริงที่จะหาสาระสัจจะ จริงลึกจริงซึ้งขึ้นไปให้มากๆ จริงเพื่อจะเข้าไปหาจริงให้ยิ่งๆ ขึ้น

จนกระทั่งไปถึง "เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง" ไม่สนใจว่า จะเป็นแนวระนาบ จะเป็นแนวลึกก็ตาม

ระนาบก็ให้เข้าใจ ระนาบที่มีแก่นแท้ ของความเป็นเส้นตรง ต้องเรียบ ต้องเกลี้ยง ต้องมีมาตรฐาน ของแก่น ต้องเน้นเป้าหมายหลัก ซึ่งจะเล็กจะยอด จะปลาย จะสูง จะลึก จะซ่อนซ้อน จะน้อย น้อยจริงๆ น้อยกว่าเนื้ออีก อันนี้เป็นเป้าหลักสุดท้าย

เพราะฉะนั้น เราจะต้องรู้ อย่าให้มันมีแต่เรื่องเพ้อๆ ไปโดยที่เรียกว่า ไม่รู้รายละเอียดที่ถูกต้อง

มีความรู้สึกว่าค่อนข้างจะเข้าใจยาก เพราะขณะที่"เน้นเนื้อฯ" แต่ก็มีเหตุปัจจัยที่ต้องอนุโลม ต้องประสาน กับสังคมมากขึ้น เช่นมีการบันเทิงเริงรมย์ จนถึงจัดคอนเสิร์ต แม้จะเป็นการกุศลก็ตาม เป็นได้ คนที่เข้าใจยังไม่รอบถ้วน ก็อาจจะคิดอย่างนั้น แต่โดยความจริงแล้วก็คือ เราอยู่ กับสังคม เราก็ต้องประสาน กับสังคมให้มากที่สุด เราจะรู้ว่าระดับที่เราอยู่ด้วยได้นั้นแค่ไหนขีดไหน

อย่างอบายมุขต่างๆ นี่เราตัดขาด เราไม่อนุโลมลงไป แต่ระดับศีลห้า ร้องรำทำเพลงได้ เราก็อนุโลมไปถึงระดับที่จะทำให้วงจรมันสมบูรณ์

โลกุตระมีตั้งแต่โสดาบันไปจนถึงอรหันต์

เราก็รับตั้งแต่โสดาบัน คือศีลห้าบริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วก็ศึกษามีพฤติกรรมจริง มีบทบาทจริง มีการเป็นไปได้จริง แม้จะต้องศึกษาถึงขั้นร้องรำทำเพลง ก็ต้องรู้เนื้อหาสาระ รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ว่าทำอะไรโดยไม่เข้าใจ ว่ามันมอมเมา ฉุดรั้งลงไปที่ต่ำที่เสื่อม หรือ เลอะเทอะฟุ้งเฟ้อ ไม่เข้าท่าเข้าทาง

สรุปคือแม้จะอนุโลม ก็ต้องไม่ต่ำกว่าเกรด ไม่ออกนอกเกรดที่พระพุทธเจ้าวางไว้ ผู้สูงก็จะได้พิสูจน์ตัวเองด้วยว่า คุณอยู่เหนือมันได้ หรือ เปล่า โลกุตระคืออยู่เหนือไม่ใช่หนี ในขณะที่คุณห่างมันมาตั้งนาน ตอนนี้สัมผัสแล้วมันเป็นยังไง คุณจะอยู่ กับเขาได้ไหม คุณจะสอนเขาได้ไหม คุณจะมีพละอินทรีย์แก่กล้าพอที่จะอยู่เหนือโลกียะไหม

"เหนือ" ก็คืออยู่ กับเขา แต่ไม่ถูกดูดถูกซึม ไม่ถูกครอบงำ สิ่งนี้เป็นการศึกษาซ้อน เป็นโจทย์ เป็นแบบฝึกหัดฐานสูงอีกด้วยซ้ำ

: แต่จากกิจกรรม หรือ ประเพณีหลายๆ อย่างที่เห็นมา ส่วนใหญ่ก็เริ่มจากเจตนาดี มีหลักการ แต่ก็มักจะ"บานปลาย"ทีหลัง พ่อท่านคำนึงถึงจุดนี้ด้วย หรือ เปล่า ?

: จริง! ถ้าไม่ระมัดระวัง ก็เหมือน กับจารีตประเพณีหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ใหม่ๆ แรกๆ ก็ดี อุดมการณ์ก็ดี แต่ก็มีการปรุงแต่ง มีองค์ประกอบที่เบี้ยวๆ ไป ชักจะออกนอกลู่นอกทาง เอากิเลสเข้ามาลากจูงไป หนักเข้าก็เละเทะ เราก็ต้องสังวรระวังกันให้ดี ถึงเราจะใช้เป็นแล้ว ก็ต้องไม่เผลอไผล ไม่ให้มันมาเป็นสิ่งที่ทำร้ายทำลายเราทีหลัง ต้องช่วยกันดูแลว่าจุดไหนจะทำให้เกิดความเสียหาย ขนาดไหนที่เป็นฐานอาศัยได้ ให้อยู่ในขอบเขต ไม่มากไปไม่น้อยไป มันก็จะได้ประโยชน์อย่างจริงจัง

: ค่ะ ที่ถามๆ มาอาจจะเป็นการเน้นเนื้อรอบเปลือกมากไปหน่อย ทีนี้ขอให้พ่อท่านอธิบายเน้นเนื้อรอบแก่นบ้าง

: เน้นเนื้อรอบแก่น ของมันจริงๆ มันอิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ

อย่าว่าแต่อิสระหลุดพ้นแค่ดนตรีการบันเทิงเลย เราจะอิสระหลุดพ้นออกจากกาม โลกธรรม โลกียธรรมที่เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หลุดพ้นจากอัตตา มานะ กิเลส ที่เป็นอุปกิเลสลึกซึ้งมากมาย สละกิเลสตัณหาอุปาทานที่แท้

กลุ่มคนที่ปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนี้แหละ ลักษณะที่อาตมาจะต้องทำให้แข็งแรง ให้แน่นหนามั่นคงเหมือนหิน และ ลักษณะสูงส่งที่เรียกว่าฟ้า

ความสูงส่ง ของมนุษย์ ความประเสริฐ ของมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่เป็นอิสระ (Independent) เป็นภราดรภาพ (Fraternity) อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง เอื้อเฟื้ออุดมสมบูรณ์ สงบสุข สันติภาพดี มีสมรรถภาพดี มีความเป็นภราดรภาพดี เพราะเราเองปฏิบัติถูก

อิสรเสรีภาพลึกซึ้งเท่าใด บูรณภาพก็จะเจริญยิ่งๆ ขึ้น (Integrate) มีภราดรภาพที่เกื้อกูลอย่างดีจริงๆ และ มีสมรรถภาพ (Efficient) ขยันขันแข็ง สร้างสรรเสียสละ อดทน ไม่ดูดาย และ ก็มีสิ่งสร้างสรรแจกจ่ายเจือจานกัน เกื้อกูลกัน ไม่เห็นแก่ตัว มันก็จะเกิดสันติภาพที่สมบูรณ์ จะมากจะน้อยก็เกิดจากคนที่ทำได้

หินฟ้า จึงเป็นลักษณะประกาศ เป็นอนุสาวรีย์ที่จะบ่งบอกถึงคุณลักษณะเป้าหมายหลัก ๕ หลัก และ นโยบายอีก ๔ หลักดังกล่าว

: มีคนท้วงว่ารูปทรงคล้ายศิวลึงค์ เรามีเจตนาให้เป็นเช่นนั้น หรือ เปล่าคะ ?

: ดี มองอย่างนั้นก็ดี มีคนว่าเหมือนศิวลึงค์ เหมือนองค์กำเนิด ของผู้ชาย โดยที่เราไม่เจตนา หินมันนอนอยู่อย่างนั้น ยกขึ้นมามันก็เป็นอย่างนี้ คนมองเป็นอย่างนี้ก็เป็นไปได้เหมือนกัน ตามมโนคติตามจิต ของมนุษย์ที่จะนึกคิดเอา

อาตมาก็ว่าก็เป็นความคิดที่ดี ถ้าสิ่งนี้จะเป็นต้นกำเนิด ของ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ มันก็เป็นตัวต้นกำเนิดที่ดี

ส่วนใครจะคิดไปในเรื่องลามก สกปรก เลอะเทอะ มันก็เป็นเรื่องลามกส่วนตัว ของผู้คิดนั้นๆ เราไม่มีปัญหาอะไรนี่ เราไม่ได้มองในแง่เลวร้าย แม้จะมองเป็นศิวลึงค์ บางศาสนาเขาก็เคารพ ในฐานะเป็นต้นกำเนิด ของทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แม้พระศิวะ พระพรหม เขาก็ถือเป็นต้นกำเนิด

มันก็เป็นไปโดยธรรมนะ เราไม่ได้เจตนา เราไม่ได้เสาะหาเพื่อให้มีความเป็นอย่างนี้ มันก็เกิดอย่างนี้ขึ้นมา ดีสิ มันก็เลยประสาน กับทุกอย่างเลย แล้วก็ลงตัว ของมันเอง เป็นไปตามธรรม ก็ดีแล้ว

: แต่หากมันทำให้คนเข้าใจผิด ก็ควรแก้ไขไม่ใช่ หรือ คะ ?

: ไม่แก้ หรือ ก ไม่แก้เพราะมันไม่ใช่ผิด เป็นการพิสูจน์ดีด้วย พิสูจน์ว่าจิตใครจะทราม จิตใครทรามสิควรแก้ เอาไว้ช่วยแก้จิตทราม ของคนด้วย จิตใครประเสริฐก็ประเสริฐไป เราก็บอกไปตามความจริงอย่างนี้ เขาจะคิดอย่างไร จะไปบังคับกันได้ หรือ

: เราอาจจะสร้างองค์ประกอบใหม่ให้ดูไม่เหมือนได้ไหมคะ ?

: ก็ไม่ต้องเกรงกลัว หวั่นไหวอะไรมากมาย ไปทำให้เลอะๆ ไปทำไม ที่พูดมาก็ดี หรือ กแต่มันไม่ง่ายนี่ คุณลองไปเปลี่ยนแปลงก้อนเล็กๆ ข้างๆ ก่อนซี ที่จริงมันก็ไม่ได้เหมือนได้เหมินอะไรนักหนา หรือ ก ดูดีๆ ซี มันธรรมชาติ ของก้อนนี้มันก็มีรูปอย่างนี้เท่านั้น เป็นหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

Monolith แปลว่าหินใหญ่ก้อนหนึ่งสิ่งที่มั่นคงยิ่งใหญ่ เป็นเอกภาพเป็นหนึ่งเดียวด้วย มีความหมายกว้างขวางอย่างศาสนาพระพุทธเจ้านี่ไง นี่แหละกำลังสร้างสิ่งนี้ แต่ไม่ใช่ให้เป็นหินนะ

เราต้องรู้ว่า เป็นสิ่งแทน ของอะไร แล้วก็ไม่ได้สร้างให้เป็น ของขลัง ไม่ได้สร้างให้กราบ เอาธูปเทียนไปบูชา ไม่ใช่ !

: ถ้ามันจะเกิดขึ้นในอนาคตล่ะคะ คือมีคนไปกราบไหว้บูชา ?

: ก็บ้าน่ะซี !

ความจริงก็ว่าจะจบไว้ตรงนี้ เพราะชัดเจนดีด้วย แต่เผอิญพ่อท่านได้ขยายเป้าหมายหลัก ๕ ประการไว้ในงานปีใหม่ ‘๓๔ จึงขอแถมท้ายต่ออีกนิด เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

อาตมาพยายามนึกถึงสภาพสัจธรรม ก็รวบรวมเป็นภาษาไทยได้ ๕ ความหมายนั้น เหมาะที่สุด กับสภาพที่มนุษย์พึงได้พึงเป็น

อิสรเสรีภาพ หมายถึง ความไม่เป็นทาสผู้อื่น ไม่เป็นทาสค่านิยม ของสังคม และ ไม่เป็นทาสกิเลส ของตนเองด้วย จะรับใช้ผู้อื่นก็รับใช้ด้วยความยินดีเอง รับใช้ในทางที่ดีและพาทำด้วย

อิสรเสรีภาพ ตรง กับภาษาอังกฤษคือ "Independence" หมายความว่าหลุดพ้นทุกอย่าง เป็นเอกราช ไม่ใช่ความหมายตื้นๆ แค่ " Free" ที่ยังเป็นทาสอัตตา

ภราดรภาพ Fraternity คือความเป็นพี่เป็นน้อง เป็นญาติ เป็นญาติทางธรรม มาร่วมมารวมเป็นกลุ่มเป็นหมู่ที่แข็งแรง เหนียวแน่นแข็งแกร่งเหมือนหิน

สมรรถภาพ Efficiency, Effectiveness หมายความว่า ความสามารถ สมรรถนะ คนที่มีความรู้สมรรถนะ ความสามารถที่ถูกลักษณะ ที่จำเป็น ที่สำคัญ สามารถสร้างงานให้วิจิตร

บูรณภาพ Integrate, Integrity เต็ม ทำให้เต็มทำให้เจริญมั่นคง ทำให้ได้สมบูรณ์ ทำทั้งปัจจัยสี่ และ สิ่งประกอบธรรมะทั้งปวง

สันติภาพ (Peace) เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เป็นผล ผล ของอิสรเสรีภาพ ของแต่ละบุคคล ผล ของสมรรถภาพ ของแต่ละบุคคล จึงเกิดภราดรภาพ ภราดรภาพเกิดขึ้นมาซ้อนเข้าไป ยิ่งเกิดอิสรภาพ ยิ่งเกิดสมรรถภาพ จึงเกิดบูรณภาพขึ้นมาเรื่อยๆ เกิดความเต็ม ความเจริญ เต็มแล้วโต ๆ ๆ ๆ

ค่ะ ก็สรุปความหมายทั้งรูปธรรม – นามธรรม ของ”หินฟ้า”ได้เท่านี้ ฝากย้ำอีกนิด ตรงที่พ่อท่านว่า ไม่ได้ให้เป็น ”หิน” คือไม่เอาอะไร ไม่สนใจใคร แข็งทื่ออยู่อย่างนั้น แต่เป็น “หินฟ้า” ที่มีเอกภาพ และ ศักยภาพที่พัฒนาเต็มตามความหมายที่ว่ามา

“สันติภาพ” จึงจะเกิดจริง เป็นสันติที่แท้ ไม่เหมือน กับที่พ่อค้าอาวุธ (ประเทศมหาอำนาจ) กำลังเล่นละครตบตาชาวโลก อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คือพยายามเจรจาให้ถอนทหาร ให้สงบศึก แต่ตัวเอง นั่งผลิต และ ค้าอาวุธสงคราม เป็นล่ำเป็นสัน… ตลกไหม ?

-ทีมสมอ.-

end of column
     

๑๕ นาที กับพ่อท่าน (สารอโศก อันดับ ๑๔๖ พ.ย. – ธ.ค. ๒๕๓๓ หินฟ้า)