|
||||
สิบห้านาทีกับพ่อท่าน
โดย ทีม สมอ. ตอน... สวนฟ้า นาบุญ |
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 148 เดือนเมษายน 2534 ฉบับ "พุทธาภิเษก'34 (สวนฟ้า นาบุญ)" |
|||
|
||||
ถ้าผ่านสายตามาถึงหน้านี้ โดยที่คุณไม่ได้ไปร่วมงานพุทธาภิเษกฯ๓๔ ต่อไปนี้ คุณก็จะได้รับทราบบรรยากาศและข้อสรุปงานจากการสรุปของพ่อท่าน แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ได้ไปร่วมงานพุทธาฯ ก็ขอแสดงความยินดีด้วยที่เอาชีวิตรอดมาได้ พร้อมกับได้ความแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับหนึ่ง....
แม้จะดูเผินๆ ตามปริมาณของตัวบุคคลจะทรงอยู่ในสถิติเดิมราวๆสองพัน ประมาณนั้นมาหลายครั้งแล้ว ไม่ปรูดปราดขึ้นกว่านั้นก็ตาม แต่ก็ดูรู้สึกว่าแน่นเนียนใน มีความมั่นคง เป็นสถิติซ้อนในสภาพที่อยู่ได้นานวันขึ้น อยู่ครบ ๗ วัน หรือ ๖ วัน มากขึ้น อยู่วันสองวันน้อยลงๆ ไม่เหมือนก่อนนี้ ที่คนมาวันสองวันมาก คนอยู่ ๗ วัน ๖ วันน้อย อะไรอย่างนี้เป็นต้น พวกนี้มันเป็นที่สังเกตได้เหมือนกัน มันมีความลงตัวมากขึ้น มีความเข้าใจว่าเราจะรับอะไรจะทำอะไร จะร่วมกันพร้อมกันลงในครั้งคราวที่ควรจะลง แม้จัดระบบเป็น ROUTINE ต่างๆ ก็รู้สึกว่าเบาดี คนใหม่มาได้เห็นรูปแบบที่พรักพร้อม ไม่ต้องวุ่นวายไม่ต้องสับสน ทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยราบรื่น เข้ารูปเข้ารอยดี มันก็เป็นสภาพที่ดี ปริมาณก็ไม่เสื่อมลง คุณภาพก็ไม่ได้ลดลง แถมมีดีในดีเนียน ดังที่กล่าวแล้ว ก็เจริญดีแล้วทำต่อไปได้ อยู่อย่างนี้ไปอีก ๑๐ ครั้ง ๒๐ ครั้ง ๑๐๐ ครั้งก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
ไม่ถึงตายหรอกน่า อากาศร้อนขนาดนี้ ทรมานก็หัดปล่อยวาง อดทนดูได้เพื่อเราจะต้องไปเกิดอยู่กลางทะเลทราย
มันไม่สมดุลในตัวมันเอง กลายเป็นเราต้องไปช่วยมันมากไป เพราะฉะนั้น เราก็เลยจะย้อนกลับมาหาเกษตรธรรมชาติ ที่จะให้ทุกอย่างมันสมดุล-สมบูรณ์ ดินก็ดี น้ำก็ดี อากาศก็ดี ต้นไม้ก็ปรับคืนมาสู่สภาพสมบูรณ์ด้วยดี แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันสูง หรือมีวัฏฏะของมัน มีธรรมชาติของมัน อย่าว่าแต่พืชช่วยเหลือพืช สัตว์ก็ช่วยเหลือพืชได้อีก พืชก็ช่วยเหลือสัตว์ เกื้อกูลกัน เป็นปฏิสัมพันธ์ ซับซ้อนกันไปมากขึ้น นี่หมายถึงเกษตรธรรมชาติที่เราจะศึกษา พยายามพิสูจน์และกระทำ เราก็ตั้งชื่อ"สวนฟ้า" คือ สวนที่มันเป็นสวนธรรมชาตินี่แหละ เป็นสวนที่ดี"นาบุญ" ก็เป็นนาที่ดี นอกจากเป็นนาที่ปลูกข้าว ปลูกผัก ปลูกพืชแล้ว การเกษตรเราก็จะเป็นเกษตรบุญ เป็นการเกษตรที่จะเป็นคุณค่าประโยชน์ มีการเสียสละ สร้างสรร ไม่ใช่เป็นไปเพื่อการรีดนาทาเร้น เอาเปรียบเอารัด อย่างระบบโลกที่มันกระเบียดกระเสียน แก่งแย่ง ขูดรีด ทุกข์ร้อนอยู่ ![]()
![]()
ต้องรู้เป้าหมายหลักของเราสิ การเกษตรธรรมชาติมันดี เราก็เอา สิ่งไหนมันถูกต้อง เราจะทำอันนั้น อะไรจะทำให้เกิดความขัดแย้ง ถ้าหลีกเลี่ยงได้เราก็หลีกแล้วทำให้เกิดความสมานสามัคคี ให้อยู่กันเป็นสุข เราต้องมุ่งมั่นอย่างนี้
ใครอยากกีดกัน ไม่ให้เราได้ก็ไม่เป็นไร เราไม่ถือสา เพราะมันเป็นธรรมชาติ คนเขาหวงแหนเขาก็หวง เหมือนอะไรที่ราคาแพง เราซื้อได้ก็ซื้อ ซึ้อไม่ได้ก็พยายามหาเอา ค่อยเก็บตกเก็บหล่นไปตามประสาน่ะสิ เราไม่ได้ไปประชดประชัน ไม่น้อยใจอะไรด้วย มันเป็นธรรมดาโลกที่มีทั้งคนกีดกัน และคนเอื้อเฟื้อ อยากช่วยเหลือ เรามีบุญเท่านี้ เราก็พบคนเสียสละเกื้อกูลเท่านี้ แต่ถ้าเรามีวิบากไปพบคนกีดกัน หวงแหน หรือมีความรู้สึกไปในทางลบไปในทางที่ไม่ส่งเสริมกัน เราก็อุตสาหะเข้าก็แล้วกัน เพิ่มความอุตสาหะให้เป็นความเจริญของเราอย่างหนึ่ง จะไปท้อแท้หรือน้อยใจทำไม
ใครเขาเตือนมา เราก็ตรวจตราของเรา ถ้าจริงก็แก้ไข ถ้าไม่จริง ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราก็ไม่รู้จะไปแก้ตรงไหน สองหน้าเราก็ไม่เป็นก็มีหน้าเดียว หลอกลวงใครก็ไม่ได้หลอกไม่ได้ลวง สำคัญว่าต้องตรวจให้จริงให้ตรง ถ้ามันโง่เง่าไม่เห็นตัวเองผิด ไม่เห็นว่าตัวเองเสียหายตามที่เขาว่าจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ ก็เรามันโง่นักหนาตาบอดตามืด หลอกตัวเองอยู่พรางตัวเองอยู่ จนกระทั่งตัวเองชั่วก็ไม่รู้ว่าชั่ว โง่ก็ไม่รู้ว่าโง่ เหลวไหลอยู่ก็ไม่รู้ไม่เห็น มันก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว มันก็โง่ดักดานอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าไม่โง่แก้ไขจริงๆ ตรวจให้เจอ นอกจากตรวจแล้วไม่มีไม่จริง แล้วจะไปแก้อะไร ![]()
มารยาทสังคมของเขา แม้ว่าเขายินดี เขาก็ทำทีเป็นว่าไม่ยินดี หรือเขาไม่ยินดีเขาก็ทำทีเป็นว่ายินดีอย่างนั้นนะ เราก็ไม่ค่อยเป็นอย่างเขา มันก็เลยไปปะทะกันเข้า เราก็รู้ซะว่า เออ! เรามันก็เด๋อๆ อย่างนี้นะ อาตมาว่า สิ่งที่จริงใจ แม้ว่ามันจะเด๋อๆ ไม่มีตัวกลบเกลื่อน อาตมาถือว่าดีกว่ามารยา ดีกว่ามีมารยาทที่เป็นมารยา
เขาเองเขาต้องแก้ของเขา เขาเองเขาก็ต้องรู้จักตัวเขา ไม่รู้จักอัตตามานะไม่แก้ไข เขาก็บำเรอตัวเองอยู่อย่างผิดๆ จะให้เรายินดีในความไม่ดีอันนั้น ก็เท่ากับเป็นการลงโทษเขา เท่ากับเราใจดำ เราไม่ทำ เราควรช่วยเขา คือ"ไม่ทำ"ตามใจเขานั่นถือว่าเราปรารถนาดีหรือช่วยเขาจริงๆ เราจะอนุโลมในสิ่งที่พอจะอนุโลมได้ เช่นว่า แต่งตัวให้มันเหมือนเขาบ้าง ถ้าไม่ถึงขนาดลำบากลำบนอะไรนักหรือไม่มากไม่มาย เราก็ยอมได้ อนุโลมได้บ้างบางครั้งบางคราว แต่จะให้ทำเหมือนที่เขาทำ เขาเป็น หรืออย่างที่โลกอย่างที่สังคมโลกีย์เขานิยมทำ เขาเป็นกัน ถ้าเราเห็นว่าไม่ควรอนุโลม ไม่ควรทำ ไม่ควรเป็น เราก็จะไม่ทำอย่างที่เขาทำเขาเป็น เราก็คงทำอย่างที่เราทำเราเป็น แม้ใครจะว่าเราเด๋อ เราเซ่อก็ได้ ![]()
เราเจตนาจะยกค่าของธรรมชาติให้ยิ่งกว่าทอง เรามีทอง เราก็อุตส่าห์เสียสละแลกกับธรรมชาติ เรามีหัวใจ เราก็ผ่าหัวใจให้ธรรมชาติได้ แม้อะไรที่มันยิ่งใหญ่ เราก็สละได้ มันเป็นการแสดงน้ำใจ แสดงถึงความยกย่องธรรมชาติ
ก็เพราะคำนึงถึงจิตวิญญาณคนมากกว่าวัตถุน่ะสิ อาตมาถึงใช้วัตถุ แม้จะต้องสละวัตถุ เพื่อที่จะให้เขาเกิดน้ำใจ ให้เกิดละล้างทางจิตวิญญาณยังไง...ใช่ไหม? เขาติดวัตถุกันใช่ไหม มันใหญ่อะไรนักหนาเล่าวัตถุ ถ้ายอมเสียอย่างจิตวิญญาณก็เจริญขึ้น
เรามุ่งหมายอะไรจากการทำอย่างนี้ เราไม่ได้มุ่งหมายความสวยงาม ทุกคนเข้าใจที่อาตมาพาทำ ทุกคนเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องของความสวยงาม แต่มันคือเนื้อหาสาระ ที่จะก่อให้เกิดผลกระทบทางจิตวิญญาณขึ้นมา ไม่ใช่ให้ใครมาชมเชยชูเชิด แสง สี สวย รูป กลิ่น เสียงอะไรไม่ใช่
การติดหรือการยึดนี่ ถ้าเรา ยึดในสิ่งที่เป็นกุศล เป็นฐานในสิ่งที่เราจะใช้ฤทธิ์แรงของมันเพื่อสร้างสรร กอบกู้หรือรณรงค์ให้มันเป็นสิ่งอาศัย เป็นสิ่งรองรับ เป็นคุณค่าประโยชน์ที่เราจะได้อาศัยมัน เราก็ยึด แต่ในความลึกซึ้งที่ว่าไม่ยึดไม่ติดนี่ มันเป็นความปล่อยว่าง ที่เป็นปัญญาอันลึกซึ้ง ว่าอะไรๆ เราก็ติดยึดไม่ได้ อันนี้เป็นปรัชญาสูงสุดของศาสนาพุทธ เมื่อเรารู้แล้ว เราก็ต้องพยายามฝึกฝนจิต หรือว่าหัดจิตของเราให้ปล่อยวางจริงๆเลยไม่ติด ไม่ยึดจริงๆเลย แม้เราจะจับอยู่นี่ เราก็วาง เราไม่ได้หลงใหลเป็นเราเป็นของเรา นี่เป็นภาษาโวหารนะ วางที่ใจให้ได้ เมื่อเราวางที่ใจได้จริงนี่เป็นปรัชญาอันสูงสุด คนนั้นจะรู้เองเข้าใจเอง เห็นเองว่าวางได้เป็นอย่างนี้ มันไม่มีทุกข์ มันขาด มันสูญ มันปลอดโปร่ง มันไม่มีอะไรเกาะเกี่ยวอีกจริงๆ ภาษาเกาะเกี่ยวภาษาที่มันยังติด ยังยึดอยู่จริงๆ อะไรพวกนี้ มันจะเห็นนามธรรมของเราจริงๆ เลยว่า เป็นของเราคืออาการอย่างไร ไม่เป็นของเราคืออาการอย่างไร ซึ่งเป็นญาณปัญญาชั้นสูงสุดจริงๆเลย ที่จะรู้จะเห็นความเป็นได้จริงนั้นๆ ในจิตในเจตสิกของตนๆ เพราะฉะนั้นผู้นั้นขาดอันนั้นได้ เขาก็จะรู้ว่าเขาไม่ติด ไม่ยึดแล้วในสิ่งเหล่านั้น แต่ข้างนอกเขาจะจับอยู่ เขาจะนอกอดอยู่ เขาจะมีอยู่กับตัว แขนก็แขนของเรา ขาก็ขาของเราอยู่นี่ แล้วเราบอกว่า เราไม่ได้ติดยึดขันธ์ ๕ รูป ร่างกาย ตัวตน แม้แต่กรรมกิริยา เราไม่ได้ติดเป็นเรา เป็นของเราเลยนี่นะ เรารู้ของเราคนเดียว โลกเขาจะเห็นว่า เราติดอยู่นี่ ดูซินี่ ไม่ติดยังไง เหมือนกับเราเสพอยู่ด้วยซ้ำไป เหมือนอย่างกับเราอาศัยอยู่อย่างจริงๆ จังๆ เหมือนกับเรากอดอยู่ อยู่กับตัวอยู่กับตนแท้ๆ เลย โดยรูปโดยนอก โดยอะไรที่คนอื่นเขาก็เห็นได้ แต่ใจเราตัวลึกซึ้งสูงสุดตัวนี้มันวางมันไม่ติดไม่เสพ เราเป็นจริงรู้เห็นความจริงนั้นๆ มันถึงเป็นเรื่องของสัจธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆ เราเรียนรู้ตั้งแต่ของหยาบไปจนถึงของละเอียด แล้วเราก็จะรู้อาการของความวาง หรือความติดยึดเหล่านี้ ว่าเราติดอยู่หรือวางได้อย่างแท้จริง
คนที่จะว่าอาตมาอย่างนั้น ต้องมีปัญญาเหนือกว่าอาตมา แต่ถ้ายังไม่มีปัญญาเหนือกว่า ก็ให้พิจารณาดีๆว่ามันถูกหรือผิด อาตมาบอกได้อย่างเดียวว่า อาตมาไม่มีเจตนามาทำลายอะไร มาสร้างสรรจริงๆ ลักษณะเปลี่ยนไป เปลี่ยนมานี่ เป็นลักษณะสภาพที่จริงตามจริง เป็นเรื่องของปฏินิคสัคคะ เป็นเรื่องที่สลัดคืน กลับคืน สภาพพวกนี้นี่มันเป็นเรื่องที่สูง ในภาวะทุกวันนี้นี่มันเร็วขึ้นมันมากขึ้น เพราะฉะนั้นกว่าจะมาถึงนี่กว่าจะเปลี่ยนไปอีกทีก็นาน ตอนนี้มันชักจะมากขึ้นแล้ว มันไวขึ้น แล้วมันก็จะมีอะไรเร็วขึ้นบ้าง รอบมันจัดขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีปัญญา จริงๆนะ ถึงบอกว่าตอบได้ตอนแรกเลยมันจะต้องประกอบไปด้วยปัญญาที่ลึกซึ้งจริงๆ และเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปได้ถึงสภาพนั้นจริงด้วย เพราะฉะนั้น ระวัง! ไม่มีภูมิสูงพอ แล้วจะมองคนสร้างสรรเป็นคนไม่สร้างสรรเราจะโกหก ตีกิน ตลบตะแลงอะไรก็ได้ แต่มันมีผล ถ้าผู้ทำนั้นไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่เป็นระบบ ไม่เป็นความเจริญแท้จริง ก็ไม่มีจุดยืน แต่ถ้ามันดี สังคมเจริญ ความเป็นอยู่เจริญ เศรษฐกิจเจริญ ความโลภ โกรธ หลง ลดลง มีสมรรถภาพดี สันติสุขดี ภราดรภาพดี มีอะไรดีอย่างที่ว่านี้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่มีจุดยืนมันจะก่อเกิดได้ง่ายๆ หรือ มันสร้างยากจะตายไป ค่ะ, แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคนนินทา มีจุดยืนมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ก็ว่ายึดมั่นถือมั่น ครั้นไม่ติดไม่ยึด เปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะควร เขาก็ว่า ไม่มีจุดยืน เอาเป็นว่า เรารู้ตัวเอง (และพร้อมจะแก้ไขตลอดเวลา) มีจุดยืนแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นก็แล้วกันนะ -ทีม สมอ.- |
||||
![]() |
||||
|
||||
๑๕ นาทีพ่อท่าน อันดับ ๑๔๘ สารอโศก เม.ย. พ.ค. ๒๕๓๔พุทธาภิเษก๓๔ (สวนฟ้า-นาบุญ) |
||||