สิบห้านาทีกับพ่อท่าน โดย ทีม สมอ. ตอน...
เหนือฟ้า นาฝัน
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 150 เดือนสิงหาคม 2534
ฉบับ "เหนือฟ้า - นาฝัน"

พ่อท่านโพธิรักษ์ชี้บอกเสมอว่า ชาวนาชาวไร่ชาวสวน เป็นผู้มีพระคุณอย่างมากมายต่อชาวโลก เพราะเป็นผู้ป้อนอาหารให้มวลมนุษย์ยังชีพอยู่ได้ เกษตรกรรมเป็นอาชีพสำคัญ อย่าไปดูถูกหมิ่นหยามว่า เป็นอาชีพต่ำเป็นอันขาด ที่แท้เป็นอาชีพสูงควรยกย่องเชิดชู และช่วงนี้พ่อท่านได้เน้นเรื่อง"นาธรรมชาติ" ซึ่งความลึกซึ้งของวิธีการในการทำนาธรรมชาติ และจะส่งผลถึงสังคมในวงกว้าง อย่างไรนั้น เราตามไปฟังพ่อท่านพูดกันดีกว่า

: พ่อท่านคะ การทำนาธรรมชาตินี่จะต้องมีเทคนิค มีเคล็ดลับอย่างไรไหมคะ

: นาธรรมชาตินี่นะ อาตมาขอบอกให้ฟัง อาตมาจับเคล็ดได้ ๒ อย่าง คือ

หนึ่ง ดิน ดินนี่นะจะต้องสร้างให้ดินเป็นชีวิต เป็นดินเป็น ดินเป็นชีวิต ไม่ต้องไปไถ เพราะไถมันก็ไปพังบ้านเรือนของสัตว์ ไปทำร้าย"ชีวิต"ของดิน ดินที่ไม่ต้องได้ไถเลยนี่เป็นดินมีชีวิต แล้วมันก็จะสะสม โดยเรารู้ว่าเราจะต้องทำยังไง เราจะต้องปลูกพืชลงไปหมุนเวียนคลุมดินให้อยู่ได้ตลอด

ถ้าดินดี พืชอะไรก็อยากขึ้นโดยเฉพาะหญ้า หรือวัชพืชที่ไม่เป็นประโยชน์คุณค่าอะไร มันก็อยากขึ้น แล้วมันก็มีเมล็ด มีเชื้อนะในดินนี่ มันมีอยู่ ยังไม่ฝ่อ มันจะมีอยู่ในพื้นที่ที่เราเพิ่งทำใหม่ๆ มีเชื้อ มีเมล็ด มีพืชวัชพืชอยู่ สารพัด ซึ่งพอมันได้อาหาร ได้น้ำ อุณหภูมิพอเหมาะ มันก็จะเกิดทั้งนั้นน่ะ

: แล้วเราจะต้องจัดการกับวัชพืชหรือเปล่าคะ

: เราจะใช้วิธีคือ หาพืชที่จะต้องเกิดดักหน้ามันมาปลูกหมุนเวียนก่อน ตอนแรกๆนี่มันยาก มันหนักตรงนี้

ตอนแรกๆต้องเอาใจใส่จนกว่าดินจะดี จนกว่าเชื้อ หรือเมล็ดของวัชพืชต่างๆเหล่านั้น จะหมดท่าไป อาตมายังไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ ให้มันสัก ๑๐ ปีดีไหม ที่เชื้อและเมล็ดของวัชพืชเหล่านั้น จะตายเกลี้ยงไม่เหลือ เมื่อไม่มีเชื้อ มันก็ไม่ขึ้น นอกจากมันจะปลิวมาตามอากาศเท่านั้น มันอาจจะลอยมาเป็นละออง เป็นเมล็ด เป็นสปอร์ ที่มันเบาปลิวมาได้ แต่มันก็จะน้อยกว่า มันจะมาเหมือนกัน มาเกิดเอง แต่ถ้าเรามีเชื้อของพืชที่เราปลูกหมุนเวียนนี่แหละ เหลือเชื้ออยู่จนกระทั่งมันหมุนเวียนเองเลย แทนที่วัชพืช เราจะมีเชื้อใหม่ของพืช ที่เราต้องการให้เกิดในดินของเรา จะกี่อย่างก็ตาม เชื้อเหล่านั้นหมักหมมสะสมอยู่ ถึงวาระฤดูกาล มันก็จะหมุนเวียน เป็นข้าวหรือพืชอื่นๆมาทดแทน

: คัญตรง"ดิน"นะคะ เคล็ดอันแรก

: ใช่ คำว่า "ดินเป็น" หรือ "ดินดี" นี่ก็คือ เราจะต้องทำดินให้มันมีโครงสร้างของดิน โครงสร้างของดินมันมีนะ มีสัตว์ต่างๆ มันมีบ้านมีเรือน หมุนเวียน ทับถม มีที่ขี้ที่ถ่าย มีกินมีซากอะไรต่างๆ กลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติ กลายเป็นอาหารธรรมชาติมาแต่โบราณกาล มันจะเป็นของมันอย่างนั้นอุดมสมบูรณ์

อย่างป่านี่ ไม่มีใครไปขุดดินพรวนดินดายหญ้าให้มันหรอก มันไม่มีตายเลย มีแต่จะแน่นหนาอุดมสมบูรณ์ ถูกสัตว์ป่าทำลายบ้าง แต่พืชมันเก่งกว่า สัตว์ทำลายป่าไม่ทัน ไม่เหมือนคน มันก็ขึ้นดกหนาทึบ ขึ้นไวกว่า โตเร็วกว่า แล้วมันก็มีเมล็ดพันธุ์นับไม่ถ้วน สัตว์มันขยายพันธุ์ไม่ทันพืชหรอก

: สรุปว่าไม่ต้องขุดไม่ต้องพรวนดินนะคะ

: ดินไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลย ปล่อยให้มันทับถม สะสมขึ้นไป แล้วมันก็จะสังเคราะห์เปลี่ยนที่ของมันเอง สัตว์บางประเภท อันไหนมันพอจะอยู่อาศัย มันก็อยู่อันไหนไม่น่าอยู่ มันไม่อยู่หรอก ตามเรื่องของมัน ส่วนโครงสร้างของดินมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ละปีก็จะสะสม

นี่เราจะต้องมาสร้าง"ดินเป็น" ดินมี"ชีวิต"

: เมื่อกี้พ่อท่านว่ามีเคล็ดลับ ๒ อย่าง....

: หนึ่ง เรื่องดินนะ ดินต้องดี ดินต้องงาม

สอง สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมนี่จะต้องมีสิ่งที่กันสัตว์ข้างบน พวกสัตว์ข้างล่างที่เราสร้าง ก็จะเป็นเนื้อดิน แต่สัตว์ที่อยู่ข้างบน จะเป็นแมลง หรือจะเป็นโน่นเป็นนี่ เราจะต้องกันมันด้วยสิ่งแวดล้อม ด้วยต้นไม้ใดๆ อาจต้องทำคูทำคันกันสัตว์บางอย่าง บางอย่างต้องทำคูน้ำกั้น บางอย่างก็จะต้องมีต้นไม้มาให้มันอาศัย มันจะได้ไม่ไปรบกวนไม้อันนี้อะไรอย่างนี้ บางอย่างจะต้องอาศัยร่มเงาบ้าง แดดเปรี้ยงเกินไปก็ไม่เจริญนัก หรือแม้แต่ต้นอะไรเกื้อกูลต้นอะไร รายละเอียดพวกนี้ เราจะค่อยๆเรียนรู้ไป อีก ๕๐ ปี ๑๐๐ ปี มันจะรู้หมดหรือเปล่ายังไม่รู้เลย แต่ช่างเถอะ เราเรียนไปแต่ละปีๆตามภูมิปัญญา

แต่เราจะไม่ทำแบบโลภมาก แบบอุตสาหกรรม ซึ่งปราบไปเลย พันไร่ หมื่นไร่ อยากปลูกอะไรปลูกมันอย่างเดียว พอปาตังก้ามาทั้งฝูง ข้าวโพดนี่หมดพรึบทั้งพันทั้งหมื่นไร่ ร้องไห้เลย

: เกษตรกรรมแบบอุตสาหกรรมเวลาเสียหาย มันเสียหมดเลยนะคะ

: ใช่ คนในโลกนี้ เขาคิดผิดไปหมดแล้วเป็นเกษตรอุตสาหกรรม เป็นเกษตรแบบแน็ค (Newly Agriculturized Country) คือเกษตรเขาทำให้มีจำนวนมาก ปริมาณมาก เพื่อที่จะไปขายเอาเงินมากๆ

นา นี่ก็เหมือนกัน กลายเป็นนาที่ทำกันมาก ให้มันมากจนกระทั่งได้ปริมาณเพื่อที่จะเอามาขายเกินกิน เพราะฉะนั้นคนที่ทำมากๆนี่ก็ขายได้ เพราะคนไม่ทำเยอะ คนทำได้มากๆก็ขาย เสร็จแล้ว อาตมาเคยพูดแล้วว่า มีความจำเป็นในโลก ถ้าขืนข้าวราคาแพง คนมันก็ตาย คนจนนั่นแหละตาย

ยิ่งจำเป็นจึงต้องยิ่งราคาถูก ถ้าใครเข้าใจทฤษฎีกำไร-ขาดทุน ของอารยชนแท้แล้ว จะไม่มีปัญหา เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธที่อาตมาพูดนี่ มันลึกซึ้งมาก แล้วเขาก็ไม่รู้ตัว บอกว่าสงสารชาวนา จะให้ขึ้นราคาข้าวมาก ก็รู้เหมือนกันว่าตาย สังคมประเทศชาติจะต้องตาย ก็ต้องกดราคาข้าวไว้

: มองดูเหมือนรัฐบาลทารุณชาวนา...

: อ้าว...รัฐบาลเขาก็ทำถูกนะ คิดอย่างเผินๆก็ว่า ทำไมต้องทารุณชาวนา ไม่ใช่ทารุณหรอก โดยสัจจะมันไม่ได้น่ะ ให้ราคาข้าวแพงนี่ตายเลยนะ คนจนนั่นแหละตาย คนร่ำรวยจะตายอะไรเล่า เขามีเงินซื้อกินได้ใช่ไหม ผู้บริหารปกครองดูแลจึงต้องจัดการอันนี้ จะมาเอาใจชาวนาก็ทำเป็นเล่ห์เหลี่ยมขึ้นราคาให้ ที่รู้เท่าทันก็บอกไม่ได้ เศรษฐกิจฉิบหายนะ

: ชาวนาเขาถูกกดราคาข้าว เขาก็ขาดทุนเยอะแยะ ก็ไม่อยากทำนาซิคะ

: นั่นแหละ เพราะไม่เข้าใจว่า นานี่คือตัวงานบุญ นานี่คือกิจการสำคัญของมนุษย์ ไม่มีอะไรทำก็ควรมาเป็นชาวนาเถอะ ทำนานี่แหละเป็นหลัก แล้วก็มีข้าวกิน มีพืชผักกิน เราทำนาทำสวนอย่างธรรมชาติ เราก็มีพืชผักหมุนเวียนด้วย ให้เป็น"สวนฟ้า-นาบุญ" พอนาเสร็จแล้ว เราจะลงอะไรเล่า หมุนเวียนซิ เราปลูกสิ่งแวดล้อม มีผักพืชธรรมชาติ มีต้นกระโดน ต้นติ้ว ต้นสะเดา ผักบุ้ง ผักขม ผักหวาน ผักธรรมชาตินานา...กินกันทั้งปีเลย เป็นชีวิตที่อุดมสมบูรณ์

: สวนฟ้า-นาบุญ นี่จะถือว่าเป็นวิธีแก้ไขปัญหาทั้งโดยส่วนตนและสังคมส่วนรวมได้หรือเปล่าคะ

: นี่แหละวิธีแก้ปัญหาอย่างสุดยอด เมืองไทยนี่โซนกลางโซนร้อน ปลูกพืชผักได้เรียกว่าทั้งปีเลย ต่างกับทางตะวันตกหลายประเทศ ที่มีแต่หิมะ มีความหนาวมาก การเกษตรไม่ดีเท่าเรา แล้วเรื่องอะไรเราจะไม่เอาสิ่งนี้ เราจะไปดันทุรังทำไอ้ประเภทอุตสาหกรรม มันเป็นประเภทดิ้นรน ซีกโลกโน้น เขาต้องทำอุตสาหกรรม เพราะเขาไม่มีแดดดี ดินดี อากาศดี ฝนดี เหมือนอย่างเรา เขาต้องทำอย่างนี้ ก็แบ่งหน้าที่กัน จะไปแย่งกันทำไม เอ็งเก่งอุตสาหกรรม เอ็งเก่ง ไม่เป็นไร เอ็งคิดให้หัวผุหัวพังยังไง คิดไป ข้าไม่ต้องคิดหรอก ก็ข้าเกษตรน่ะ จะทำข้าวให้แกกิน

ถ้าประเทศไทยได้คิด เปลี่ยนแปลงมาทำเช่นนี้นะ ทำนาทำสวนแบบสวนฟ้า-นาบุญนี่เป็นวงจรดี แล้วขายถูกลงๆได้ แจกจ่ายเจือจานมนุษย์ทั้งโลกได้ รับรองจะแก้ปัญหาได้อย่างเยี่ยมยอด ไทยเราจะเป็นมหาอำนาจที่เป็นบุญด้วย ไม่ใช่มหาอำนาจ อย่างทุนนิยม เป็นมหาอำนาจบุญนิยมด้วย เป็นอำนาจทางสงเคราะห์ชีวิต

แต่อำนาจทางวิทยาศาสตร์ สร้างกลไกอุตสาหกรรมเก่ง สร้างอำนาจทางพลังงาน สร้างเขี้ยว สร้างเล็บ นั่นเป็นอำนาจทางทำลายชีวิต ต่างกันนะ

: อำนาจบุญนิยมนี่ จะใช้เป็นอำนาจต่อรองพาประเทศพ้นภัยได้หรือคะ ในเมื่อประเทศอื่น เขามีอำนาจปรมาณูอย่างนี้

: ต่อรองได้ แต่เป็นคนละอย่างกัน ในตะวันออกกลาง สามารถใช้น้ำมันเป็นอาวุธเครื่องต่อรองหรือประท้วง โลกทั้งโลกต้องหยุดให้แก่ตะวันออกกลาง เขาเอาน้ำมันเป็นเครื่องต่อรอง กับประเทศต่างๆในโลกได้ฉันใด เราก็เอาอาหาร เอาคุณค่าของสิ่งที่อุดมสมบูรณ์ เอาคุณธรรมน้ำใจ เอาความเสียสละเกื้อกูล เอาคุณเอาบุญของมนุษย์ เอาความอ่อนน้อมถ่อมตน เอาความดีงามทั้งหลายที่มนุษย์พึงมีต่อมนุษย์นี่แหละ เอาสิ่งที่เรามีนี่แหละต่อรองได้เหมือนกัน ไม่ต้องต่อรองแบบตะวันออกกลาง เพราะแบบนั้นต่อรองอย่างคนหยิ่งผยอง อวดดีมีมานะ แต่เราจะต่อรองอย่างคนดี อย่างคนมีใจบุญ มีกิริยาท่าทีอีกอย่างหนึ่ง นี่อาตมาจะพูดไปอีกกี่ร้อยปีไม่รู้ละ ถึงจะมีสภาพพวกนี้ และจะมีปัญญากัน จะมีความรู้ แต่จะเป็นไปได้ ก็ต่อเมื่อเรามีสิ่งเหล่านี้สมบูรณ์ก่อน ตอนนี้เรายังมีไม่งามไม่ดีพอและไม่มากพอ

: ตกลงพวกเราชาวอโศกนี่แหละต้องมาทำ"สวนฟ้า-นาบุญ"กันก่อนนะคะ

: เราต้องทำ เรื่องสวนเรื่องนานี่ อาตมาขอบอกว่า เป็นหัวใจของชาวชุมชนปฐมอโศก ขอให้มองเห็นความจำเป็น ความสำคัญ ถ้าเรามีวัตถุดิบ คือเกษตรของเรานี่ มีพืชผัก ผลไม้ มีข้าว มีอะไรกินอย่างหมุนเวียน ถ้าสมบูรณ์จริงๆแล้วละก็ แม้แต่จะเอามาทำยา มาทำสมุนไพร เอามาทำเรือน ก็มีต้นไม้ ตัดต้นไม้ มาทำบ้านเรือนได้ แม้แต่จะเอามาทำผ้า ก็มีจากพืชนี่เอามาทอ เอามาทำผ้านุ่งได้ มันจะครบอยู่ในเกษตรนี่หมดเลย

แต่พวกเราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจกัน เพราะงานเกษตรมันหนัก หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน มันร้อน อยากจะทำงานแต่เบาๆง่ายๆใช้หัวคิด ถ้าเรามาพยายามตั้งหน้าตั้งตาทำสวนฟ้า-นาบุญให้จริงๆ เป็นหลักเป็นแกนจริงๆนี่ พอวงจรมันครบสมบูรณ์แล้วมันจะเบางาน

: พ่อท่านว่า พวกเรายังไม่ชอบที่จะเป็นชาวนาหรือเปล่าคะ

: อาตมาไม่ใช่ว่านะ พวกเรานี่ใจยังไม่มีฉันทะ ยังไม่ได้มีความเป็นฉันทะ ในความเป็นชาวนาอย่างตถตา อย่างที่เป็นเช่นนั้นเองน่ะ ถ้าใจมันเป็นอย่างนั้นจริงๆแล้ว เป็นอย่างนั้นเองแล้ว มันยินดีจริงๆ แล้ว ยินดีนี่ หมายความว่าเราเอาด้วยนะ

ถ้ายินดีเพียงแค่รู้ด้วยเหตุผล ฟังเข้าใจ แต่พอถึงตอนไปทำ ฉันติดงานโน้น ฉันติดงานนี้ มันรู้ด้วยทิฐิเข้าใจแล้ว แต่มันยังไม่ถึงตถตา ตถ นี่แปลว่า ความจริง มันยังไม่เป็นอย่างนั้นจริง มันยังไม่ลงตัว มันยังไม่เป็นได้ทั้งรูปและนาม

"สมณะ" พระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนไว้ชัดว่า เป็นอย่างไร บอกแล้วว่า มีอิทธิบาท ๔ เป็นเครื่องแสดงความเป็น "สมณะ" เป็นผู้สงบแล้วจากกิเลสอกุศล เป็นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ จนกระทั่งไม่มีกิเลสต้านเลย แล้วก็เป็นผู้ที่ยินดี เกิดญาณ เกิดปัญญา เกิดเป็นได้เลย เป็นชาวนาเมื่อไหร่ก็สบาย เห็นความจำเป็นก่อน เห็นความสำคัญก่อน เราจะลงช่วยก่อน เพราะอันนี้เป็นหลัก ช่วยสวนช่วยนาก่อน อะไรที่ควรก่อน ควรกว่า จะเข้าใจเลย ลำดับเหตุการณ์เวลา รู้ฤดูกาลวาระเป็นไปอย่างสอดคล้อง อย่างได้สัดได้ส่วนจริงๆเลย

เพราะฉะนั้นกำลังสร้างอยู่นี่ อย่าว่าแต่สร้างภูมิประเทศ สร้างสวน สร้างนาเลย มาสร้างคนไปด้วย อาตมาพยายามสร้างพวกเราให้เป็นจริง เป็นเอง(อัตโนมัติ) เป็นอย่างนั้นเอง (ตถตา) เมื่อรู้จักสาระแก่นสารจริงที่ดีแล้ว ชาวอโศกจะกลายเป็นคนอีกชนิดหนึ่งถ่วงดุลโลก ถ่วงดุลสังคม

พวกเรายังจะต้องขยันกว่านี้อีก ต้องสร้างสรรเพื่อเกื้อกูลมวลมนุษย์ เราจะเป็นเจ้าโลกอย่างพระพรหม มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นเจ้าโลกอย่างมีบุญนิยม ไม่ใช่เป็นเรื่องเอาเปรียบ มีแต่จะแก้ประเด็นที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ ประเด็นที่มันแย่ ประเด็นทุนนิยม ประเด็นใช้อำนาจกดขี่บังคับจำยอม ไม่อิสระ ไม่ฉลาดประเสริฐ ไม่หมดความเห็นแก่ตัวจริง ซึ่งมันเป็นไปไม่รอดจริงๆ

จะช่วยชาวโลกเขานี่ เราต้องขยันอย่างมากมาย และต้องมาเริ่มที่ความชอบ เป็นชาวนาชาวสวนกันให้ได้ก่อน เอ้า...ใครมีที่มีทาง ถ้าไม่ลองทำสวนฟ้า-นาบุญ จะเชยละเน้อ ทำได้ผลพอแจกได้ ก็แจกเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงได้เลย ก็นี่แหละชาวโลกรั้วชิดติดกันกับเราที่จะต้องแจกก่อน แล้วจะขยายไปทางซีกโลกไหนๆค่อยว่ากันอีกที

end of column
     

๑๕ นาทีกับพ่อท่าน เหนือฟ้า-นาฝัน (อันดับ ๑๕๐ สารอโศก ส.ค. -- ต.ค. ๒๕๓๔)