|
||||
สิบห้านาทีกับพ่อท่าน
โดย ทีม สมอ. ตอน... ระบบสหสังคมเสรีบุญนิยม |
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 151 เดือนพฤศจิกายน 2534 ฉบับ "ระบบสหสังคมเสรีบุญนิยม" |
|||
|
||||
ฟังชื่อก็ยากแล้ว จะขยายอะไรมาก เดี๋ยวจะเพี้ยนกันไปใหญ่ ขอรวบรัดตัดตอนมาคุยกับพ่อท่านเลยดีกว่านะคะ
โดยวิธีการแก้ทุกข์หรือแก้ปัญหาของมนุษย์ตามวิธีการของศาสนาแต่ละศาสนานั้น อาจมีระดับความหยาบละเอียดที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับแนวทางตามหลักมรรคองค์ ๘ ของพุทธศาสนาในระบบที่พวกเราปฏิบัติอยู่ อาตมาเรียกว่าระบบสหสังคมเสรีบุญนิยม
ในระบบสังคมนิยมมีข้อดีที่มีการแบ่งปันเฉลี่ยทรัพย์สินสมบัติของผู้คนในสังคม หรือมีกองกลางดังเช่นกองกลางของสงฆ์ เป็นต้น ทำให้เกิดความเป็น"ภราดรภาพ"ขึ้นในสังคม ส่วนระบบเสรีนิยมมีข้อดีที่ปราศจากการใช้อำนาจบีบบังคับ หรือมีความเป็น"อิสรเสรีภาพ" ซึ่งในระบบบุญนิยมเราไม่มีการบีบบังคับใดๆ แต่สอนให้ผู้คนลดละกิเลสตัณหาอุปาทาน เมื่อคนมีความเห็นแก่ตัวลดลงเท่าไร ก็จะมีส่วนเกินที่เฉลี่ยแบ่งปันให้กับคนอื่นมากเท่านั้น ระบบบุญนิยมจึงมีทั้งความเป็น"อิสรเสรีภาพ" และความเป็น"ภราดรภาพ"อยู่ในตัว ซึ่งเท่ากับเป็นการรวมเอาข้อเด่นของระบบสังคมนิยมและระบบเสรีนิยมเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ เมื่อได้พัฒนาระบบบุญนิยมให้สมบูรณ์ตั้งมั่น นอกจากความมีอิสรเสรีภาพและภราดรภาพแล้ว ก็ยังจะเกิดภาวะแห่งสันติภาพ สมรรถภาพ และบูรณภาพตามมาอีกด้วย ฉะนั้นคุณลักษณะสำคัญโดยสรุปของระบบสหสังคมเสรีบุญนิยม หรือเรียกสั้นๆว่าระบบบุญนิยมนี้ก็คือ ความมีอิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ และบูรณภาพ
ส่วนระบบของมาร์กซิสต์นั้นเป็นการแก้ปัญหาแบบฉาบฉวย เหมือนเลี้ยงไข้ไว้โดยไม่รักษาที่ต้นเหตุ เป็นเพียงการอาศัยอำนาจจากภายนอกมาบีบบังคับและกดข่มความต้องการของมนุษย์เอาไว้ ทำให้ดูเหมือนปัญหาลดน้อยลง แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง กิเลสของผู้คนที่ถูกกดข่มไว้ด้วยอำนาจจากภายนอก ก็ทนต่อไปไม่ได้และระเบิดออกมา เสร็จแล้วสังคมก็กลับไปสู่ระบบบริโภคนิยมแบบเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม ทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายต่างๆเพราะการดิ้นรนแก่งแย่งกัน ส่วนแนวทางของศาสนานั้นจะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุในจิตวิญญาณของมนุษย์ เมื่อใครสามารถลดละกิเลสตัณหาอุปาทานจนเข้าถึงสัจจะได้แล้ว จะมีความเที่ยงแท้ยืนนานตลอดไป และจะสืบทอดแนวทางปฏิบัตินี้จากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งมีความคงทนถาวรยิ่งกว่า
จริงอยู่ อาจจะทำได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่เราต้องช่วยกันทำค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งอันที่จริงจุดที่ยากคือการลดละกิเลสตัณหาอุปาทานในตัวเรา แต่เมื่อลดละได้แล้ว ในด้านการทำงานต่างๆนั้น ยังง่ายกว่าการดิ้นรนกระเสือกกระสนต่อสู้แย่งชิงลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแบบโลกๆ ดังที่เขาเป็นกันอยู่ด้วยซ้ำ
ถ้าเรามุ่งไปที่การตั้งหน้าตั้งตาจะ"สู้" เราต้องใช้เวลา,แรงงาน ตลอดจนทรัพยากรต่างๆมากกว่า เหนื่อยกว่า แต่ถ้าเรามุ่งไปที่การ"สร้าง" คือการค่อยๆพัฒนาสร้างคนที่ดีและมีคุณภาพให้เพิ่มมากขึ้นๆ ค่อยเป็นค่อยไป ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วปล่อยให้ผลค่อยๆคลี่คลายตามเหตุปัจจัย แบบนี้เราจะเหนื่อยน้อยกว่า และทำงานได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่า ในการทำงานทางศาสนานั้น เราไม่ได้ไปสู้กับใคร เพราะการ"สู้"หมายถึงการต้องใช้อำนาจเล่ห์เหลี่ยมเชิงชั้นต่างๆในการโค่นล้มเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งถ้า "สู้" เราก็คงจะแพ้ เพราะเราไม่มีอำนาจบาตรใหญ่หรือเล่ห์เหลี่ยมอะไรจะไปสู้เขา แม้เรามีอำนาจ เราก็จะไม่ทำการโค่นล้มใครเป็นอันขาด แต่จะให้สัจจะพิสูจน์ตัวของมันเองให้ปรากฏออกมา จนกระทั่ง "คนตาบอดก็เห็นได้" งานทางศาสนาคือการสร้างคนดีให้เพิ่มมากขึ้นๆ เมื่อมีคนดีจำนวนมากพอแล้ว ปัญหาต่างๆของสังคมก็จะค่อยๆคลี่คลายลดน้อยลงเองตามลำดับ ฉะนั้นถ้าสามารถสร้างคนดีเพิ่มขึ้นให้กับสังคมได้หนึ่งคน ก็เท่ากับช่วยลดปัญหาของสังคมไปได้หนึ่งส่วนโดยอัตโนมัติ
การเข้าถึง"ธรรมะ" หรือ"ธัมมัญญุตา" ก็คือการเข้าใจระบบและรู้จักระบบที่ดี ส่วนการเข้าถึง"อรรถะ"หรือ"อัตถัญญุตา" คือการเข้าถึงเนื้อหาแก่นสารของความดีนั้น การสร้างคนดีจึงไม่ใช่การแยกเอาคนออกมาจากระบบสังคม มาอยู่โดดๆเพื่อปั้นให้เป็นคนดี แต่จะต้องสัมพันธ์กับองค์ประกอบต่างๆในระบบสังคมด้วย
เช่น สมัยก่อนธรรมชาติยังมีความอุดมสมบูรณ์ ประชากรยังมีจำนวนไม่มาก ผู้คนจึงไม่ต้องดิ้นรนแก่งแย่งหนักหนา จึงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมต่อสู้แย่งชิงกันมากมายเหมือนทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นหากจะสร้างสังคมระบบบุญนิยมขึ้นมาในสมัยนี้ แม้เนื้อหาแก่นสารจะเหมือนกับสังคมแบบบุญนิยมในสมัยก่อน คือมีความเป็นอิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ และบูรณภาพดังที่กล่าวมา แต่โดยโครงสร้างของระบบสังคม ตลอดจนรูปแบบวิธีการและองค์ประกอบของสถาบันต่างๆในสังคมนั้น จะแตกต่างไม่เหมือนกัน จึงยากที่จะเปรียบเทียบกันได้ในทางประวัติศาสตร์ แต่ถ้าจะหาตัวอย่างของระบบสังคมแบบบุญนิยมในอดีต เพื่อยืนยันให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของระบบสังคมแบบนี้ในหมู่มนุษย์ ก็ลองดูตัวอย่างของสังคมที่ผู้คนอยู่กันอย่างสันติสุข อยู่กันอย่างมีอิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ และบูรณภาพ ก็มีตัวอย่างหลักฐานทางประวัติศาสตร์อยู่ในหลายยุคหลายสมัย และในหลายประเทศ ปรากฏให้เห็นสมบูรณ์ดีพอได้บ้าง ไม่ค่อยสมบูรณ์นักบ้างก็ตามคุณค่าแห่งสัจธรรมที่มีจริง ระบบสังคมแบบบุญนิยมเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ เพียงแต่อาจจะมีระดับความเข้มข้นของความเป็น"บุญนิยม"ที่มากน้อยแตกต่างกัน หรือมีขนาดของสังคมที่แตกต่างกันเท่านั้น สุดท้ายนี้ ก็ขอสรุปบทสัมภาษณ์นี้ด้วยกวีของ "ลูกหินฟ้า" ว่า... สห
รวมร่วมกันไม่ขันแข่ง |
||||
![]() |
||||
|
||||
(อันดับ ๑๕๑ สารอโศก พ.ย. ธ.ค. ๒๕๓๔ ) |
||||