|
||||
สิบห้านาทีกับพ่อท่าน
โดย ทีม สมอ. ตอน... กว่าจะสัมมาทิฐิ |
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 153 เดือนกุมภาพันธ์ 2535 ฉบับ "กว่าจะสัมมาทิฐิ" |
|||
|
||||
บางคนพูดว่า... ถ้าชีวิต
คือ การเดินทาง
สภาวะที่มันสอดคล้องลงตัว ลึกซึ้ง มันจะเห็น ลดก็ คือ ลด ว่างก็ คือ ว่าง ไม่มีก็ คือ ไม่มี ลักษณะอย่างไรเป็นกิเลส โลภ โกรธ หลง เป็นอย่างไร ต้องเห็นต้องรู้ตัวมัน ต้องสัมผัสอาการ เพศ นิมิต ของมันด้วยญาณด้วยอธิปัญญากันจริงๆ อาการที่หมดโลภหมดโกรธแล้ว เป็นอารมณ์ที่ไม่มี-เป็นอย่างไร อารมณ์ที่มีกิเลสน้อยลงๆ -เป็นอย่างไร ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่เห็นแก่ตัว ความเกื้อกูล ช่วยเหลือเฟือฟาย มีน้ำใจต่อผู้อื่นมันก็ชัด สามัญมนุษย์เราจริงๆ ก็พอมีความรู้
สามัญนี่เป็นเรื่องปกติแล้ว ถ้าเรามีสัมมาทิฐิเป็นสามัญ แสดงว่าเราเจริญมาก ถ้าเรามิจฉาทิฐิเป็นสามัญ แสดงว่าเราไม่เจริญ คนที่เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นปุถุชนที่ไม่เข้าใจโลกุตระ เป็นทาส ของลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นทาส ของโลกธรรม มันก็เป็นสามัญ ของเขา การมาเป็นโลกุตรบุคคล เป็นผู้ที่ทิฐิไปในทางลดละ ไถ่ถอน ไม่เป็นทาสโลกียสุข ล้างอัสสาทะออกจากใจนี่สิวิสามัญ ถ้าผู้ใดปฏิบัติจนเป็นปกติได้ ก็ถือว่าเป็นสามัญ ของวิสามัญในบุคคลผู้นั้น คือ โลกุตรบุคคล คือ อริยชน คือ มีทั้งสามัญ ของ "วิสามัญบุคคล" และ สามัญ ของปุถุชน และ สามัญอย่างหลังมีมากด้วยในสังคม โลกมันถึงยุ่งอยู่ทุกวันนี้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องมาพยายามศึกษา พิสูจน์ตัวเองให้พ้นทุกข์แบบอริยะ คือ "พ้นทุกข์อริยสัจ" ไม่ใช่พ้นทุกข์แบบสามัญปุถุชน เมื่อเราพ้นแล้วก็ช่วยคนอื่นได้ ซึ่งมันยากอยู่ แต่ยากเราก็เห็นว่ามันดี ดีที่ไม่แย่งไม่ชิงแล้ว กลับขยันหมั่นเพียร สร้างสรร ช่วยเหลือเป็นความสงบสันติที่ดีแท้จริง เป็นสิ่งที่คนควรได้ควรทำ ในสังคมอโศก เราก็จะเห็นความพยายามลดละกันลงมาจริงๆ ตามวิธีพ้นทุกข์อริยสัจ คือ ปฏิบัติองค์ทั้ง ๗ ของมรรคอริยสัจ เพื่อให้เกิด"สัมมาสมาธิ" ซึ่งเป็นสัมมาอริยมรรคองค์ที่ ๘ เมื่อลดละลงมาจริงๆ แล้ว มันก็เป็นสังคมคนที่มีพฤติกรรม มีจิตใจที่โน้มเอน หรือ มีปัญญาที่เห็นไปในทิศทางทวนกระแสใจ เป็นทิศทางไปสู่โลกุตระ แม้จะยังไม่จัดเท่าไหร่ ไม่สูงส่งเท่าไหร่ เป็น "สัมมาสมาธิ" คือ เกิดความตั้งมั่น หรือ ความเป็นได้ เช่น นั้นกัน โดยเฉพาะจิตใจนั้นๆ เป็นกันได้สมบูรณ์ไม่เปลี่ยนแปลงยังไม่มากนี่ก็ตาม เราจะเห็นรูปแบบอยู่แล้วว่า พวกเราก็ยังอยู่กันอย่างสบาย เกื้อกูลกันได้ แม้จะยังมีความหวงแหนอยู่บ้าง มีความโลภเหลืออยู่บ้าง มันก็ต่างกับสังคมข้างนอก แม้จะมีความบกพร่องบ้างก็ไม่จัดจ้านเหมือนอย่างที่เขาเป็นกัน นี่เป็นเครื่องทดสอบว่า อย่างไรสัมมาทิฐิ อย่างไรมิจฉาทิฐิ อย่างไรจะเข้าทางจริงๆ
อาตมาไม่ตะกละ ไม่โลภโมโทสันอะไร มันได้ดีก็ดี ถ้าไม่ได้ก็อุตสาหะ แล้วก็ไม่ได้เสียใจ เพราะทุกวันนี้ก็ได้อยู่ แม้จะมีคนต่อต้าน มีคนเข้าใจผิด เราก็เข้าใจว่า"สามัญ"มันก็เป็นอย่างนี้อแหละ อาตมาถามคุณหน่อยเถอะว่า โลกทุกวันนี้ปุถุชนกับโลกุตระบุคคล อันไหนมีมากกว่า และ มีจริงไหม ปุถุชนก็อย่างหนึ่ง โลกุตรบุคคลก็อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น มันก็จะต้องค้านแย้ง เขาก็ต้องว่าเราผิด เราก็ว่าอันโน้นผิด มันก็พิสูจน์สัจจะแล้ว ถ้าไม่มีอะไรแตกต่างกัน ถ้าเป็นแบบเดียวกัน เรากับเขาก็เป็นปุถุชนเดียวกันสิ ใช่ไหม? แต่นี่มันไม่ใช่แล้ว ความเห็นหลายอย่างมันไปในทิศทางที่เราได้ตรวจสอบตามทฤษฎี ของพระพุทธเจ้า เป็นไปเพื่อความมักน้อย สันโดษ ทั้งอารมณ์ก็น้อยลงด้วย ทั้งรูปทั้งนามทั้งวัตถุจิตวิญญาณ มันก็ชัดเจนขึ้นไปทุกที ซ้อนลึกขึ้นไปทุกที ดังที่เราได้ศึกษากันนี่ มันไม่ใช่เรื่องตื้นจนเขาว่าเราสุดโต่ง ยิ่งแตกต่างกันชัดเจนมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งเห็นว่าสุดโต่งมากขึ้นๆ เรายิ่งมักน้อย สันโดษ มันก็ยิ่งไม่เสพย์ไม่ติด ไม่ต้องแสวงหามาเพื่อตน ไม่ต้องหวงแหน ไม่ต้องโลภ มันตรงกันข้ามไปไกล เขายิ่งหาว่าเรา"สุดโต่ง"เท่าไหร่ ภูมิใจได้เมื่อนั้นแหละ ขอให้มัน"โต่ง"ได้ตามเขาว่าจริงเถอะ เมื่อเราเองรู้ทุกข์ แล้วมาปฏิบัติให้พ้นทุกข์ได้บ้างตามลำดับ เบิกบานร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เครียด ไม่หน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่เอะอะโวยวายเหมือนเขามากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งห่าง ยิ่งไกลกันกับเขา ก็ยิ่งดีสิ เรายังรู้เลยว่า กุศล ของเรายังน้อย ยังอยากมีมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป อยากไกลโต่งมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป
โดยสมมติสัจจะ โดยความหมาย มันต้องรู้ต้องแยกออก แล้วเราต้องดีขึ้นๆ ต้องดีแท้ ต้องดีกว่า ดีมาก ดีที่สุด แล้วก็อย่าดีเกิน หรือ ดีแตก
สัมมาทิฐินี่เป็นประธาน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ยืนยันว่า สัมมาทิฐิเป็นประธาน ของทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกับวันๆ คืนๆ แต่ละวันจะมีพระอาทิตย์ขึ้น ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นต้องมีแสงอรุณ ถ้าไม่มีแสงอรุณก็ไม่มีแสงสว่างในเวลากลางวัน ไม่มีการเริ่มต้นวัน เริ่มต้น ของวันต้องมีแสงอรุณมาก่อนฉันใด สัมมาทิฐิก็มีความสำคัญปานฉะนั้น
คนที่เกิดมาเป็นคนนี่ เป็นรูปร่าง ของคนนะ แต่ที่จริงนั้นน่ะ จิตวิญญาณเป็นสัตว์นรก คนนี่ก็เป็นภูมิอันหนึ่ง ของสัตว์นรกด้วย
เราจะต้องรู้ในรายละเอียดว่า ในร่าง ของคนนี่ ยังมีเดรัจฉานในร่างคนอีกเยอะ เดรัจฉาน คือ อย่างไร ก็ต้องเรียนรู้สัตว์โอปปาติกะในคนนี่แหละ อมนุษย์ หรือ ยักษ์มารก็ คือ สองแขนสองขาเหมือนคนนี่แหละ อย่างที่หน้าตาโปน เขี้ยวงอกอะไรพวกนั้น เขาเขียนเป็นรูปบุคลาธิษฐานเท่านั้นเอง ฟังพ่อท่านอธิบายถึงตรงนี้ เกิดสัมมาทิฐิขึ้นบ้าง หรือ ยัง "ทีมสมอ."เอง ก็เพิ่งเกิดดวงตาเห็นธรรม ตรงที่พ่อท่านว่า การได้เกิดเป็นคนมิใช่บุญประการเดียวเสมอไป โธ่! หลงภาคภูมิมาเสียนานว่า ชั่วๆ ดีๆ เราก็ต้องมีบุญระดับหนึ่งถึงได้เป็นคน หารู้ไม่ว่า นั่นก็ คือ มิจฉาทิฐิประการหนึ่ง มาถึงเรื่องสำคัญสุดๆ แห่งยุค นั่นก็ คือ เรื่อง"ขยะ" ที่ต้องมีสัมมาทิฐิ เช่น กัน
"ขยะล้นโลกอยู่เป็นนิจ บัดนี้ กูกำลังคิดทำอะไรอยู่"
เรื่องขยะนี่ มันเลวร้าย ลงไปทุกวัน เนื้อหาสาระ ของวัตถุดิบ ของทรัพยากรโลก ลดลง เกิดสิ่งที่ต้องเคี่ยวต้องขับเอาเนื้อหาสาระออกมา เศษขยะ กากขยะและปฏิกูล หรือ เป็นเศษกากไปในทางล้นเหลือ หรือ ร้ายแรง มันจะเกิดขึ้น เพราะมันถูกคั้นออกมาหมดแล้ว ส่วนที่เหลือ จึงไม่ใช่ธรรมชาติเข้าไปทุกที และ จะเป็นพิษจัดจ้านขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่เตรียมตัว ไม่รู้ตัวเสียเดี๋ยวนี้ แล้วเริ่มต้นปลูกฝัง เริ่มต้นสร้างธรรมชาติขึ้นมา ไม่ให้มันเกิดวิกฤตการณ์ในลักษณะที่กล่าวนี่ ในวัฏฏะไหนก็แล้วแต่ ในสังคมกลุ่มไหนก็ตามใจ ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ ทุกอย่าง ถ้าเราไม่ลงมือทำจริงๆ แล้ว เราก็ต้องขาดแคลนเหมือนทุกแห่งที่เขาไม่ระมัดระวัง เพราะเขาเป็นผู้ทำลายมากกว่าสร้างสรร แต่ก่อนธรรมชาติได้อุ้มชูมนุษย์ชนะมนุษย์ สร้างสรรให้แก่มนุษย์ได้ ทุกวันนี้ธรรมชาติมันพ่ายแพ่มนุษย์แล้ว เพราะมนุษย์ทำลายได้มากกว่า ทั้งมนุษย์ยังมีปริมาณมาก มีสมรรถภาพในการทำลายมาก จนธรรมชาติไม่สามารถจะเร่ง หรือ ปรับตัวเองได้ทัน อันนี้ต้องเห็นให้ชัด เมื่อมันเป็นอยู่ เช่น นี้ เราก็ต้องมาหาแวดวงที่จำกัด มาทำในขอบเขตที่เราสามารถทำได้ ถ้าเราขืนไปอยู่กับเขาทั้งหมด เราก็ไม่สามารถที่จะสร้างคุณค่า สร้างธรรมชาติให้อุ้มชูมนุษย์ได้ทัน เราก็มามีแวดวงภูมิประเทศสิ่งแวดล้อม ที่เราจะต้องพัฒนา สอนให้คนสร้างค่าที่จะเกื้อกูลธรรมชาติ หรือ สังเคราะห์ธรรมชาติ ให้มันพัฒนาขึ้นมาเต็มรูป เท่าที่มันจะพัฒนา ของมันได้ เราช่วยได้มากมันก็จะดีขึ้น และ เราก็ทำลายน้อยลงๆ จนไม่ทำลายเลย แต่สนับสนุนให้เกิดวัฏฏะ หรือ วงจรธรรมชาติที่สมบูรณ์ อันนี้ก็จะเป็นฐานเป็นรูปร่าง เป็นตัวอย่างให้คนได้เห็นแบบอย่าง และ เป็นตัวถ่วงดุล และ เกื้อกูลอันอื่นต่อไปด้วย
เพราะฉะนั้น อาตมาว่า อย่างน้อยที่สุด ใครจะว่าอาตมามีอัตตาก็เพราะยึดมั่นถือมั่นในวัฒนธรรม เอาภาษาไทยไว้ให้มากหน่อย หรือ อย่างภาษาบาลีที่มาเป็นไทยชัดๆ พูดก็เข้าใจกันแล้ว แม้จะมีรากศัพท์มาจากภาษาอื่นก็ตาม เช่น คำว่า "บุญ" คำว่า "พร" คำว่า "ทิพย์" หรือ อะไรอื่นๆ นี่ ที่พูดมา ก็เข้าใจกันแล้ว อาตมาก็ถือว่าเป็นภาษาไทยไปแล้ว ไม่ใช่จะไปลบล้างต่อต้านเขาไปหมด แต่อะไรที่เป็นบาลีจ๊ะจ๋า สันสกฤตจ๊ะจ๋า อาตมาก็เลี่ยงให้มากที่สุดเท่านั้นเอง อาตมามีอัตตาอย่างนี้ มันผิดมากมาย หรือ
ชื่อที่อาตมาตั้งส่วนใหญ่ก็ให้เป็นกรรมฐาน เป็นเครื่องสังวรทั้งสำหรับตนและทั้งสำหรับสังคม เป็นสัญลักษณ์ เป็นประโยชน์ในตัว ของเจ้า ของชื่อ เป็นประโยชน์เตือนสังคมด้วย แล้วก็เป็นไทยๆ ฟังปุ๊บก็เข้าใจ รู้ความ เตือนสติ กระทบความสำนึกได้ อาตมาว่าแค่นี้มันก็มีความหมายในตัว ของมันเองแล้วนะ แม้มันจะแปลกไป จะใหม่ขึ้นมาบ้าง ก็เป็นวิวัฒนาการอยู่ในกรอบ ของความเป็นไทย ก็เห็นชอบความใหม่สร้างความแปลกกันเป็นสามัญกันจะตายไป ถ้าจะใหม่จะแปลกที่มีเหตุผลมีเป้าหมายอย่างมีสติสัมปชัญญะบ้าง ไม่ใช่ทำไปอย่างไร้ความหมายไร้สาระมันก็น่าจะดีมิใช่ หรือ มันอาจจะดูแปลกใหม่จนเห็นเป็นเกินๆ ไปบ้างก็จริง สำหรับผู้"ตีกรอบให้ตัวเอง "ว่าแค่นี้เท่านั้นควรจะพอ ใครเกิน "กรอบ" แห่งความรู้สึกที่ตนยึด เขาผู้นั้นก็ต้องเห็นว่า "แปลกเกินไป" ก็ใช่ตามที่เขายึด ส่วนคนที่ไม่ยึดเขาก็เห็นว่า "แปลกดี" ! และ อาจจะชื่นชมชอบใจ สำหรับผู้ไม่ได้ติดยึดก็เป็นอยู่จริง ก็คงจะจบสิ้นแล้วทุกกระบวนท่า โดยสุดท้ายทีมสมอ. ก็เป็นฝ่ายล่าถอยออกมา เพราะไม่มีอะไรที่พ่อท่านทำโดยปราศจากความหมาย หนำซ้ำก่อนถอย ก็ได้ชื่อเสียงเรียงนามใหม่ที่เป็นไทย-ไทกันโดยทั่วถ้วน เอวัง -ทีม สมอ.- |
||||
![]() |
||||
|
||||
๑๕ นาทีกับพ่อท่าน ตอน กว่าจะสัมมาทิฐิ (สารอโสก อันดับ ๑๕๓ ก.พ. มี.ค. ๒๕๓๕) |
||||