|
||||
สิบห้านาทีกับพ่อท่าน
โดย ทีม สมอ. ตอน... สูตร ๔ ๕ ๗ ๘ |
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 161 เดือนเมษายน 2536 ฉบับ "พุทธาภิเษกฯ 2536" |
|||
|
||||
ในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๓-๙ เมษายน ๒๕๓๖ พ่อท่านแสดงธรรมเรื่อง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ซึ่งมีองค์ประกอบของธรรมะหมวด ๔-๕-๗-๘ และพ่อท่านได้กล่าวถึงสังคมประชานิยม (populism) ซึ่งเป็นสังคมที่มีคุณภาพที่เป็นประชาธิปไตยเหนือชั้นกว่าประชาธิปไตย (democracy) เพราะประชาชนทุกคนจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคม ด้วยจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ประชาชนที่มีคุณภาพสูงก็จะเกื้อกูลช่วยเหลือผู้มีคุณภาพด้อยอย่างบริสุทธิ์ใจกว่าประชาธิปไตยที่เน้นวัตถุธรรมอย่างทุกวันนี้ เมื่อประชาชนเน้นพัฒนาตนเองด้วยสูตร ๔-๕-๗-๘ แล้ว ประชาชนก็จะเป็นผู้สร้างรูปแบบสังคมที่ประชาชนเป็นผู้กำหนดขึ้นเอง (popular-rule model) สังคมจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับประชาชนที่เป็นสมาชิกของสังคมนั้นนั่นเอง เราลองมาดูกันซิว่า คนที่ประกอบขึ้นมาจาก ๔-๕-๗-๘ จะสร้างสังคมที่มีลักษณะอย่างไร
จริงๆแล้วการใช้แรงงานสร้างสรรค์ที่เหน็ดเหนื่อยนี่หนักนะ หนักกว่าการใช้ความคิด แต่คนทุกวันนี้ตีราคาความคิดไว้แพงๆ ความจริงมันไม่จำเป็นจะต้องแพงก็ได้ ถึงคุณคิดได้แต่คุณทำไม่เป็นก็สูญเปล่า คนทำได้นี่สิ ถึงเขาไม่ใช่นักรู้อะไร ก็ต้องมีความรู้ในสิ่งที่เขาทำนั่นแหละ เขารู้เขาถึงทำได้ เขาเรียนรู้มาตามธรรมชาติหรือตามที่ได้ฝึกได้ทำจริง ถ่ายทอดกันมาจากบรรพบุรุษ หรือทำเอง หรือจากผู้รู้คิดได้แต่ทำไม่เป็น เขาก็นำมาทำจนเป็นจนได้ เรื่องนี้ถ้าจะพูดไปก็ยาว สรุปแล้วคนเราก็ควรจะเกื้อกูลกัน แบ่งแจกกัน เป็นคุณงามความดีของบุคคล เป็นประโยชน์คุณค่าของบุคคลที่เผื่อแผ่แจกจ่ายกันได้ ใครสามารถมาก ใครมีสมรรถนะสูง มีความรู้มาก ก็อุ้มชูช่วยเหลือผู้ที่เขามีกำลังวังชาน้อย มีความสามารถน้อย ช่วยสอนช่วยฝึกผู้มีความรู้น้อยขึ้นไปเสมอด้วยความเข้าใจดีและปรารถนาดีอย่างจริงใจ มันก็เป็นสังคมที่ดี
ศาสนาพุทธเราสอนเรื่องวิบาก คุณสั่งสมวิบากอย่างใดๆ มันก็ได้อย่างนั้น คนที่สั่งสมการฝึกฝนอบรมตน ก็จะมีสมรรถนะตามที่ตัวฝึกฝนอบรม จะฝึกอย่างโลกียะก็ได้ จะฝึกอย่างโลกุตระก็ได้ ฝึกไม่เท่าเทียมกัน ก็ได้ผลไม่เท่าเทียมกัน เป็นธรรมดา แต่ถึงแม้ว่าไม่เท่าเทียมกัน ถ้าผู้คนมีภูมิปัญญา มีวุฒิภาวะ มีความสำนึกสูง สำนึกในศีลธรรม มีคุณธรรมสูง ก็ไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไชกันมาก ไม่ต้องชี้นำบังคับกันมาก ทุกคนจะเข้าใจสภาพขององค์ประกอบ สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ ไม่ผลาญธรรมชาติ ไม่ทำลาย รู้ว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่คนจะต้องอาศัย เป็นพลังงานฟรี เป็นพลังงานแห่งบุญคุณที่ช่วยมนุษยชาติแท้ๆ ควรจะรักษาดูแล อาศัยธรรมชาติโดยไม่ฟุ่มเฟือย เราก็ศึกษากัน ฝึกฝนอบรมพัฒนากันไป ความสูงส่งของสังคมมนุษย์จะมีรูปร่างลักษณะไหน เราพยายามพัฒนาไปให้ถึงสภาพอย่างนั้น มีความเสมอภาค มีจิตสำนึกที่สูง มีการเสียสละที่จริง มักน้อย สันโดษ รักธรรมชาติ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เป็นทาสของโลกียะ หรือโลกธรรม แล้วก็ขยันหมั่นเพียร สร้างสรร แล้วก็สะพัดกระจายเผื่อแผ่กันไปจริงๆ
คนที่ได้จริง เป็นจริง ถึงจริงแล้ว ก็ควรจะแสดงให้รู้กัน ให้คนอื่นได้เรียนรู้ตาม กระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจจริง ไม่ได้ปรารถนาลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ได้ปรารถนาให้คนเคารพนับถือ แม้คนอื่นที่เข้าใจยังไม่ได้ จะประชดประชันโต้ต้านตู่ว่า อยากเด่น อยากดัง อยากใหญ่ ถ้าผู้ที่เขาไม่ได้ทำเพื่อโลกียะอย่างนั้นจริงๆ เขาก็ไม่กังวลหรอก เมื่อเขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรจะประกาศ เผยแพร่ ยืนยัน บอกวิธีการให้คนได้รับรู้ ได้ศึกษา คนใฝ่ดี คนแสวงความเจริญให้แก่ตนเองก็มีอยู่ เขาจะได้พากเพียรพัฒนาตนเองขึ้นมาบ้าง ใครเห็นด้วยใครศรัทธา ก็ฝึกฝนตาม แล้วก็ได้ดียิ่งๆขึ้นไป มันก็จะกลายเป็นมวลของสังคมเอง จากกลุ่มน้อย ก็กลายเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นไป แล้วก็กลายเป็นหลายกลุ่มไปเองโดยธรรมชาติ แต่จริงๆแล้วสังคมจะดีขึ้นบ้างได้ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง สังคมทุกวันนี้นี่มันหนัก มันเลวร้ายลงมามากแล้ว มันกำลังจะเข้าไปสู่กลียุค จะต้องไปถึงกลียุคก่อน ถึงจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาเกิดอีก...อีกนาน ยุคนี้พระพุทธเจ้าถึงจะเกิดมา ก็ช่วย สังคมไม่ได้มากนัก เรียกว่าไม่คุ้มค่าความเป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นยุคนี้ไปจนถึงกลียุค ไฟประลัยกัลป์ จะไม่มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งองค์ใดเกิด จะมีผู้มาช่วยให้เกิดความดีงามในสังคมขึ้นบ้างเท่านั้นเอง
ถ้าคนในสังคมยังใฝ่ดี ยังมีปัญญาเพียงพอที่จะรับความรู้ เข้าใจสัจธรรม เห็นประโยชน์คุณค่าจริงๆ จะเรียกว่าบุญ จะเรียกว่ากุศลก็ตาม เขาก็จะยกย่องเชิดชูคนที่มีคุณค่าประโยชน์ คนที่เป็นคนดี เป็นคนประเสริฐ และผู้ที่สูงประเสริฐจริง ก็จะไม่ติดใจในการสรรเสริญเยินยอ ไม่หลงใหลโลกธรรม ไม่ท้อแท้เพราะคำนินทา แม้จะมีผู้ที่เข้าใจไม่ได้ ไม่เชื่อว่าจะมีคนประเสริฐแท้อย่างนี้ได้ เขาก็จะไม่ย่อยั่นอะไรหรอก เมื่อแน่ใจในความดีแล้ว เขาก็ทำของเขาอยู่อย่างนั้นแหละ มั่นคงในคุณงามความดี มีชีวิตอยู่เพื่อสร้างสรรสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นในสังคมเท่านั้น เพราะโดยส่วนตัว เขาก็ดีแล้ว สบายแล้ว พ้นทุกข์แล้ว โดยทั่วไป พวกเรามักจะให้ความสำคัญของผู้นำ ในฐานะผู้รับผิดชอบของสังคมทั้งหมด เมื่อมีปัญหาใดๆในสังคม ก็มักจะปัดความรับผิดชอบ ยกไปให้เป็นหน้าที่ของผู้นำ ที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่สังคมประชานิยม (populism) ประชาชนที่เป็นสมาชิกของสังคม จะเป็นผู้มีบทบาทอย่างมากในการแก้ไขปัญหาของสังคม ผู้นำเป็นเพียงผู้ชี้แนะ เป็นผู้นำทางศีลธรรม อบรมพัฒนาประชาชนให้เป็นผู้มีคุณภาพและคุณธรรม เพิ่มพูนสมรรถนะโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่มีการกีดกันใดๆที่จะขัดขวางผู้หนึ่งผู้ใดไม่ให้ กระทำในสิ่งที่เป็นกุศล เป็นความเจริญก้าวหน้าแก่ตนเองและสังคม แม้กระนั้นก็ตามบุคคลก็ยังจะต้องแตกต่างกันอยู่เองโดยธรรม เพราะแต่ละคนมีความพากเพียรพยายาม มีการกระทำ (กรรม) ที่แตกต่างกัน สภาพที่เป็นนานาสังวาส ซึ่งเป็นสภาพจริงที่ต้องมีอยู่ในสังคมประชานิยม แต่ในความแตก ต่าง ก็มีความร่วม รวมกันอยู่ด้วย สายใยสัมพันธ์ แห่งโพธิปักขิยธรรม (๔-๕-๗-๘) สังคมจึงมีเอกภาพแห่งความหลากหลาย (unity of diversity) ทีม สมอ. |
||||
![]() |
||||
|
||||
๑๕ นาทีกับพ่อท่าน สุตร ๔ ๕ ๗ ๘ (อันดับ ๑๖๑ สารอโศก เม.ย. พ.ค.๒๕๓๖) |
||||