|
||||
สิบห้านาที กับพ่อท่าน
โดย ทีม สมอ. ตอน... หนักแน่นให้นุ่มเนียน |
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 162 เดือนมิถุนายน 2536 ฉบับ "หนักแน่นให้นุ่มเนียน" |
|||
|
||||
ธรรมชาติ ของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ ล้วนแล้ว แต่มีความเป็นคู่ เพื่อสร้างความสมดุลให้แก่โลก ซึ่งเมื่อเราย่อโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล ให้เข้ามาอยู่ในกาย ยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญา และ ใจนี้แล้ว ก็แน่นอนว่า ความสมดุลนี้ยังคงต้องมีอยู่ เป็นความสำคัญยิ่ง การผสมผสานระหว่างความร้อน กับความเย็น ให้แปรเป็นความอบอุ่น ความแข็งกระด้าง กับความอ่อนแอให้แปรเป็นความแข็งแรงที่อ่อนโยน เช่น เดียว กับ "หนักแน่นให้นุ่มเนียน" ก็เป็นสภาวธรรมแห่งความสมบูรณ์ลงตัว ที่พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เน้นย้ำสอนให้พวกเราได้เข้าถึง
ความหนักแน่นดูหยาบๆ มันจะเหมือนคนแข็งคนกระด้าง คนดื้อรั้นดันทุรัง เพราะฉะนั้นลักษณะภายนอก มันจะเหมือนค้านแย้ง กับความนุ่มเนียน ความสุภาพ อ่อนโยน แต่ ความหนักแน่นจะเป็นแกนสำคัญ ที่ต้องให้เกิดมีขึ้นก่อน แล้วค่อยให้มีความนุ่มเนียนประกอบ ดังนั้นเราจะต้องระลึกเสมอ ถึงความหนักแน่น จริงจัง เราจะหนักแน่นถึงขั้นที่เราจะปักมั่น ซึ่งถ้าดูเผินๆ ก็อาจถูกกล่าวตู่ว่าเป็นคนยึดมั่นถือมั่น เป็นคนดื้อด้าน เป็นคนกระด้างอะไรนี่ก็ตาม แต่แท้จริงแล้ว ลักษณะเหล่านั้นเป็นลักษณะหนักแน่น เป็นลักษณะยืนหยัด เป็นลักษณะมั่นคง เป็นลักษณะที่ไม่รวนเรไม่ปรวนแปร เป็นสิ่งที่แม่นชัด เป็นสิ่งที่จริงจัง เป็นสิ่งที่เราเห็นว่าดีที่สุด ดียอด เป็นสิ่งที่เราเห็นว่า ถูกต้องที่สุดแล้ว เราก็ยืนหยัด ยืนยัน สิ่งนั้นๆ ด้วยความหนักแน่น เมื่อคนอื่นเห็นตรงข้าม หรือ พยายามที่จะมาแย้งมาค้าน มาโต้เถียง มาทำให้ผู้ที่เขายืนหยัด ผู้ที่เขามั่นคงแล้วนี้ ให้เห็นเปลี่ยนแปลง เมื่อเขาไม่เปลี่ยนตาม ก็หาว่าเขาดื้อด้าน เขากระด้าง ดื้อรั้น ดึงดันอะไรต่างๆ นานาสารพัด ซึ่งความจริงมันคนละลักษณะกัน ความหนักแน่น หรือ ความคงมั่น ความยืนหยัดพวกนี้ เป็นลักษณะคุณธรรมอย่างหนึ่ง ที่สำคัญเลิศยอด ส่วนความดื้อด้านดึงดันนั้น มันประกอบด้วยความไม่ถึง ไม่แม่นยำ ไม่รู้ลึกซึ้ง ไม่รู้สุด รู้ยอด ไม่เป็นจริงสมบูรณ์ แล้วไปหลงใหล หลงระเริง ยึดติด ยึดมั่น ดึงดันอยู่ ดื้อด้านอยู่ เป็นความหลงตัว หลงตน หลงสิ่งนั้นๆ มันก็จริงในความหมายนั้น ความหนักแน่น กับความยึดติด ดื้อรั้น ดูเผินๆ จึงเหมือนกัน แต่โดยแก่นสารสาระแล้วมีคุณลักษณะที่แตกต่างกัน ฉะนั้นในความหนักแน่น จึงต้องพยายามให้มีความนุ่มเนียนด้วย เพื่อจะได้ให้เห็นต่างจากความดื้อรั้น เรา จึงควรจะรู้จักกิริยา รู้จักอิริยาบถ รู้ความเป็นอยู่ แม้ แต่การแสดงออก ซึ่งน้ำใจอะไรต่างๆ นานา ถึงจะเป็นความมั่นคง หนักแน่นก็จริงอยู่ แต่ควรให้มันได้นุ่มเนียน เป็นลักษณะอ่อนโยน มีลักษณะที่ไม่ดึงดัน แข็ง ให้มันเป็นไปตามที่เขาว่า เขาตู่ ซ้อนลงไปนั้นให้ได้ ซึ่งอธิบายเป็นภาษาคนขึ้นไปก็คงจะยาก เพราะว่า แต่ละกาละ แต่ละเทศะ แต่ละบุคคล ที่เราจะสนทนาด้วย สัมพันธ์ด้วย เราต้องประมาณเอา แล้วทำให้เกิดความพอเหมาะ พอดิบพอดี มีความหนักแน่น แต่ก็ไม่ใช่แข็ง หรือ แรงจัดจ้าน จนกระทั่งคนอื่นเหมือนโดนหวดโดนตี แต่มีลักษณะที่นุ่มเนียน ประกอบด้วยกิริยา วาจา แม้ แต่ใจ ที่เราพยายามปรับปรุงประสานกันไปด้วย จึงจะชื่อว่าเป็นความหนักแน่นที่นุ่มเนียน
เพราะฉะนั้น เรา จึงต้องฝึก ต้องสังวร ต้องประมาณงานด้วย ให้พอแรงพอเหมาะ ต้องสำนึก ต้องมีสติสัมปชัญญะ ที่สำคัญต้องเข้าใจด้วยปัญญาว่า จะฝึกอย่างไรในการทำงานที่ต้องรู้ตัวพร้อมไปหมด ทั้งการนึกคิด-วาจา-การกระทำ-การเป็นอยู่ กับงาน กับอาชีพ ต้องรู้ทันต่อสัมผัส ต่ออิริยาบถ ของกาย-วาจา-ใจ ต้องค่อยๆ ปรับมันให้ได้ทีละนิดก็เอา ทีละหน่อยก็ทำ ถ้ายิ่งได้ทีละมากๆ ทีเดียว ก็ยิ่งดีใหญ่ แต่จะต้องทำจริงๆ พยายามทำจริงๆ ฝึกจริงๆ จึงจะเป็นได้ อย่าไปตู่ไปโทษว่า เพราะงานมากอย่างเดียว แล้วเราไม่สังวรระวัง ไม่ฝึกฝน เราก็จะไม่ดีขึ้นได้ การฝึก กับงาน ฝึกสมาธิที่ได้ปรับความนึกคิดที่มีสัมผัสจริง ให้เป็นสัมมาสังกัปปะ ได้ฝึกปรับคำพูดในขณะที่มีงานจริง มีสัมผัสจริง ให้เป็นสัมมาวาจา ได้ฝึกปรับกิริยากาย วาจา ใจ ในขณะที่มีอิริยาบถ มีสัมผัสจริง ให้เป็นสัมมากัมมันตะ ได้ฝึกปรับตนอยู่ กับงาน อยู่ กับอาชีพที่หนักหนามากมายจริงให้เป็นสัมมาอาชีพ นี่แหละคือการสร้าง "สัมมาสมาธิ" ซึ่งเป็นสมาธิ ของพุทธ เป็นทางปฏิบัติอันวิเศษ ของพุทธ ที่จะเกิดความตั้งมั่น จนมั่นคง หนักแน่น แข็งแรง ซึ่งต่างจากสมาธิที่ได้จากการนั่งสะกดจิต หลับตาฝึกเอาทั่วๆ ไป "สัมมาสมาธิ" จะได้ความมั่นคงหนักแน่นที่วิเศษกว่ามาก
แต่บางคนก็ไม่รู้ หรือ ก จึงแบ่งไม่ออก ปฏิบัติไม่เป็น แต่นั่นแหละ มันก็เป็นบ้างในบางคน ถ้างานหนักเกินไป หรือ วุ่นมากไปจนไม่อาจตั้งสติกำหนดใจเพื่อรู้กายรู้วาจารู้ใจตนเองได้ทัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกำหนดรู้กาย-วาจา-ใจ ในขณะงานหนักไม่ได้ งานหนักขนาดไหน ก็กำหนดใจให้รู้ตามอิริยาบถ กาย วาจา ใจ ของตนได้ ลองฝึกดูสิ มันอยู่ที่ฝึก ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วฝึกจริงๆ แรกๆ อาจจะไม่ค่อยต่อเนื่อง ตั้งสติสังวรจริงๆ แล้วกำหนดรู้กาย รู้วาจา รู้ใจ ในขณะทำงานหนักๆ หรือ ทำงานทุกงานดูสิ แล้วจะรู้ว่าปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ นี้ คือการปฏิบัติธรรม กับงานหนักขนาดไหนก็ได้ "สัมมาสมาธิ" นี้คือ ความหนักแน่นที่อยู่ กับงานหนักงานวุ่นโดยเราไม่วุ่นใจเลย ไม่หนักใจเลย เมื่อเข้าใจรู้แล้วอย่างที่อธิบายให้ฟังนี้ พยายามกระทำ พยายามฝึก กับงานทุกงาน ทั้งงานหนักงานเบา ให้มันได้สภาพหนักแน่นแม่นยำ ดังนั้นคนที่มีญาณปัญญา มีปฏิภาณรับกันได้ เขาก็จะรู้ คนที่ไม่รู้ ถึงอย่างไรก็ไม่รู้ ยิ่งเขาเพ่งโทส ในเมื่อความหนักแน่น ต้องมีลักษณะที่มั่นคงสถิตเสถียรไม่คลอนแคลนที่ใจ คนละเรื่อง กับหนักงาน และ ไม่ใช่หนักใจ จะเบาใจด้วยซ้ำ มันจะปรากฏออกมาให้เห็นได้ ในขณะที่ทำงานหนักงานวุ่นอยู่ทีเดียว ว่ามันคนละเรื่องกันเลย... เจ้า "งานหนัก" กับเจ้า "ความหนักแน่น" นี่ แม้จะมีความนุ่มเนียนแฝงอยู่ในความหนักแน่นนั้น แต่คนเพ่งโทสก็อาจจะไม่รู้ถึงความนุ่มเนียนดังกล่าว หนักนิด หนักหน่อย เขาก็เพ่งโทสแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็จะเผิน จะมองในแง่นุ่มเนียนไม่ออก เพราะหนักแน่น กับนุ่มเนียนยังเป็นเรื่อง ของกิริยาเหมือนกัน ซึ่งปรับให้ได้สัดส่วนพอเหมาะยาก และ จะอยู่ กับงานหนักได้ ทั้งหนักแน่น ทั้งนุ่มเนียน แต่เอาเถอะนั้นก็เป็นเรื่อง ของเขา ถ้าเรารู้ว่าคนเขาเพ่งโทสมาก เราจะให้นุ่มเนียนมากเท่านั้น ก็ปรนปรุงออกมาให้พอที่จะสมานกันได้ ประสานกันได้ ถือว่าเราทำแค่นี้แหละ ถ้าเราจะให้มันนุ่ม หรือ อ่อนยอบแยบย่อแย่อะไรเกินไปกว่านั้นแล้ว จะดูเสียสภาพ จะดูไม่ดี ก็ทำให้มันดูแข็งแรงขึ้น โดยที่เราจะต้องมีเจตนารมณ์ เพื่อที่�จะให้มีการขัดเกลา หรือ ยืนหยัด ยืนยันอะไรบ้างเหมือนกัน
แต่เราทำอย่างนี้เรารู้ตัว เราได้ประโยชน์จากขนาดนี้ อย่างนี้แหละ เท่าไรๆ เรารู้ อาตมารู้ดีว่า เราได้จากการประมาณอย่างพอเหมาะ เรียกว่ามัตตัญญุตา ที่พอเหมาะมาเรื่อยๆ แต่การจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เราทำอยู่เรา�ย่อมรู้ซิ เขาจะท้วงจะตู่ จะว่าอะไรต่ออะไร มันไม่แปลก หรือ ก เราเข้าใจแล้วเราก็รับฟังเขา รับมาเปรียบเทียบจริงๆ เอ...มันเสียหาย มันเลว มันไม่ได้ประโยชน์ตามที่มุ่งหมายจริง หรือ เปล่า ซึ่งความจริงแล้วเราได้ประโยชน์ตามที่เรามุ่งหมาย แต่เป็นความเข้าใจผิด ของคนบางคน เพราะเขายังไม่สามารถ ที่จะมีปัญญารู้ลึก หรือ รู้ละเอียดลออในการประมาณ ของเราได้ ไม่รู้ว่าเรามีนโยบายอย่างนี้ และ ต้องทำอย่างนี้ๆ เพื่อให้ได้ผลอย่างนั้นๆ เขายังไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด เขา จึงกล่าวท้วงเราอยู่ และ เราก็ยังไม่ได้เปิดเผย อธิบาย หรือ ประกาศ ว่าที่เราทำอย่างนี้ๆ เพราะมีเป้าหมายอย่างนี้ หรือ เพื่อจะให้ได้ผลอย่างนี้ๆ นะ เนื่องจากเรื่องบางอย่างก็เป็นจิตวิทยาเหมือนกัน ที่เราจำเป็นจะต้องไม่เปิดเผยก่อน เพราะถ้าเปิดเผยไปแล้ว ก็ไม่อาจได้ประโยชน์ หรือ ไม่ได้ผลในการทำงานทางศาสนาเท่าที่ควร
สังเกตดูซิ เวลาเราต้อนรับแขก เรามีกิริยา กาย วาจา อย่างไรบ้าง ต่างจากที่ปฏิบัติต่อคน ของเรากันเอง ธรรมดาสามัญ ของคนในโลกก็มีปฏิภาณรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เวลาคนอยู่ด้วยกันในบ้าน ก็พูดจากันอย่างแฟรงค์ๆ อย่างเข้าใจ อย่างจริงใจ มีอะไรก็พูด พูดแรง พูดแข็ง พูดกระด้าง ความหนักแน่นมีมาก เรื่องนุ่มเนียนมีน้อย ก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ถือสา กาย วาจา อะไรมาก หรือ แม้ แต่ใจก็ตาม แต่ข้างนอกเวลาเรารับแขก เราไม่เหมือนกัน หรือ ก มันต้องนุ่มต้องเนียนให้มากขึ้นไปบ้าง เท่านั้น เท่านี้ คนข้างนอกเขาก็เข้าใจ ว่าอาการ ของความนุ่มนวลมากๆ ยิ่งดี �เขาก็จะแสดงความนุ่มนวลมากๆ ไปเลย มันก็เป็นอย่างนั้น ของโลก แต่ ของเรา ไม่มีนโยบายซ้อนอย่างนั้น เพราะถ้านุ่มเนียนมากเกินไป คนกรูเกรียว หลงใหล ผูกยึดอะไรมาก ซึ่งจะมี แต่ปริมาณโดยขาดคุณภาพ บางทีเราก็ต้องประมาณความนุ่มเนียนให้พอเหมาะเพื่อใช้เป็นเครื่องกั้น เครื่องกรองทดสอบอะไรๆ ด้วยเหมือนกัน ผู้คุมนโยบายอยู่นี้จะรู้ว่าประมาณพอเหมาะแล้ว หรือ ยัง ถ้าเห็นว่าประมาณพอเหมาะแล้ว ก็ให้ทำไปได้เลย แต่ถ้าเห็นว่ายังไม่พอเหมาะ ก็จะติงเตือน ผู้คุมนโยบาย หรือ ผู้ดูแลส่วนใหญ่ จะคอยบอกว่า มากไปแล้วนะ หรือ น้อยไปแล้วนะ
พวกนี้เป็นเงื่อนไขต่างๆ ที่เราต้องคำนึง คำนวณเอามาทั้งหมด นี่เป็นคำอธิบายเหมือนง่ายๆ แต่ที่จริงมันซับซ้อนกว่านี้อีกมาก ต้องเรียนจริงๆ ฝึกจริงๆ เรียนรู้ให้ละเอียดลออ จึงจะประเมิน ประมาณได้สภาพที่พอเหมาะพอดี สัตบุรุษต้องเป็นอย่างนี้
จากบทสัมภาษณ์นี้ คงทำให้พวกเราได้เพิ่มบทฝึกหัดกันขึ้นมาอีก ซึ่งหวังได้ว่า จะทำให้ชาวอโศกยุคใหม่ มีความสมบูรณ์ครบพร้อมยิ่งขึ้น ทีมข่าว สมอ. |
||||
![]() |
||||
|
||||
สิบห้านาที กับพ่อท่าน ตอน หนักแน่นให้นุ่มเนียน อันดับ ๑๖๒ สารอโศก มิถุนายน ๒๕๓๖ |
||||