สิบห้านาที กับพ่อท่าน โดย ทีม สมอ. ตอน...
คำตอบอยู่ที่ คน
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 166 เดือนตุลาคม 2536
ฉบับ ".."

ชีวิต ของมนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ ต่างก็ต้องการแสวงหาความสุขแต่ ดิ้นรน เพื่อให้พ้นจาก ภาวะบีบคั้น เป็นทุกข์ จากสภาพ ปัญหาต่างๆ ศาสตร์ความรู้ ทุกแขนง ที่มนุษย์คิดค้นขึ้น ก็คือความพยายามที่จะแก้ไขปัญหา ของมนุษย์ในจุดใดจุดหนึ่ง บางคน ที่เห็นว่า ปัญหา ของมนุษย์จะหมดไปได้ แต่ เมื่อสามารถช่วยให้ทุก คน กินดีอยู่ดี ก็จะเน้นไปที่ การแก้ไขปัญหา ทางเศรษฐกิจ เชื่อว่าคำตอบอยู่ที่ การพัฒนาระบบเศรษฐกิจให้ดีขึ้น บางคน ที่เห็นว่าปัญหาต่างๆ ของมนุษย์จะหมดไป แต่ เมื่อสามารถ ควบคุมกลไก อำนาจรัฐให้ทำหน้าที่อย่างเหมาะสม ก็จะเน้นการแก้ไขไปที่การเมือง เชื่อว่าคำตอบอยู่ที่พัฒนาระบบการเมืองให้มีคุณภาพแต่ เมื่อวันเวลาผ่านไป ปัญหา ของ คน ใน สังคม กลับเพิ่มมากขึ้น ซับซ้อนรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อหันกลับมาตั้งคำถามเอา กับนักการศาสนา พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์แห่งสันติอโศกประกาศว่า "คำตอบอยู่ที่ คน "บทสัมภาษณ์วันนี้ จึงขอนำท่านผู้อ่านไปรับความกระจ่างว่าทำไมคำตอบ จึงอยู่ที่ คน !

: ในปัจจุบันนี้ มีระบบต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เพื่อแก้ไขปัญหา สังคม ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตย สังคม นิยม หรือ อะไรก็ตามที่นักคิดพยายามคิดขึ้นมาแต่ ก็ปรากฏว่า มักจะแก้ได้ชั่วคราวเท่านั้น แล้วก็ล้มเหลวในที่สุด ไม่ยืนนานมั่นคงอะไร อยากทราบว่า พ่อท่านในฐานะเป็นนักการศาสนา พ่อท่านคิดว่า จะแก้ไขให้ สังคม อยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างไร

: ดี...ที่มาถามอาตมา อาตมาเองเป็นนักการศาสนา และอาตมาแน่ใจว่า อาตมาเป็นพุทธแท้ ที่เป็น ของพระพุทธเจ้าสมณโคดมด้วย อาตมามั่นใจว่า คำสอน ของสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมนี้ เป็นคำสอนที่เป็นสันทิฏฐิโก (ตนควรปฏิบัติเอาจนได้เอง) เป็นอกาลิโก (ไม่จำกัดกาละแม้ปัจจุบันนี้ก็บรรลุได้) เป็นเอหิปัสสิโก (ท้าทายให้มาพิสูจน์ดูได้) โอปนยิโก (สูงส่งแต่ก็ต้องเอื้อมเอาให้ได้) ปัจจัตตัง เวทิตตัพโพ วิญญูหิ ผู้บรรลุจะรู้ซึ้ง หรือ เข้าใจลึกนั้นๆ ได้จริงเอง)

และในความเข้าใจ ของอาตมา อาตมาจะให้คำตอบในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งถ้าไปถามลูกศิษย์ ของพระพุทธเจ้ารูปอื่น คน อื่น อาจจะไม่ได้คำตอบอย่างที่อาตมานี่ก็ได้ อาตมาแน่ใจที่สุดเลยว่า ศาสนาพุทธ ของพระสมณโคดมนี้ เป็นศาสนา ของ สังคม และ ของมวลมนุษยชาติ เป็นศาสนาที่เกิดขึ้นมาเพื่อช่วย สังคม เพื่อช่วยประชาชน และเพื่อช่วยมนุษยชาติทั้งมวล ไม่ใช่เกิดขึ้นมาเพื่อช่วย คน ใด คน หนึ่งที่เห็นแก่ตัวและเอาแต่ตัวรอดเหมือนอย่างลัทธิศาสนาหลายลัทธิในยุคสมัยที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ซึ่งเป็นลัทธิศาสนาที่เอาตัวรอด เป็นทฤษฎี หรือ เป็นหลักปรัชญาที่สอนให้เอาตัวรอด โดยไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อ สังคม แต่ อมวลมนุษยชาติแต่ ของพระพุทธเจ้านี่เป็นศาสนาที่มีจุดสมบูรณ์อยู่ที่การแก้ปัญหาทั้ง ของมนุษย์ในส่วนตัวทั้งแก้ปัญหา สังคม ด้วยไปพร้อมกัน และมันเป็นผลต่อมนุษยชาติทั้งหมดทั้งมวลเลยทีเดียว ซึ่งสมบูรณ์ทั้งตัวบุคคลแต่ละบุคคลด้วย

กลวิธี ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นกลวิธีที่เยี่ยมยอดที่สุด ที่ทำประโยชน์ตน หรือ ประโยชน์ ของ คนแต่ ละ คน แล้วได้ผลประโยชน์ทันที กับประโยชน์ท่าน ศาสนา ของพระพุทธเจ้านั้นสมบูรณ์สุดตรงที่ว่า รวมเอาจุดดีที่สุด ของแต่ละลัทธิมาอยู่ในศาสนา ของพระพุทธเจ้านี้ อาตมาเห็นเช่นนั้นจริงๆ อาตมา จึงนำทฤษฎี ของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราได้พยายามฝึกฝน อบรม ปฏิบัติ จนเกิดเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ซึ่งอาตมาขอยืนยันว่า ประโยชน์ตน กับประโยชน์ท่านนั้นเป็น ปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลา แทบจะกล่าวได้ว่า ประโยชน์ตน กับประโยชน์ท่าน ของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อถึงจุดผลสำเร็จสุดท้ายแล้ว จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เช่น เมื่อเราเป็นผู้ให้ ในทันทีก็จะมีผู้รับ ฉะนั้น"ประโยชน์ตน"ที่ได้ คือได้สละได้ลดความเห็นแก่ตัว กับสิ่งที่ผู้อื่นจะได้รับเป็นประโยชน์ต่อไป หรือ เป็น"ประโยชน์ท่าน"จะเป็นอันเดียวกัน ไม่ซับซ้อนไม่สับสน

ในระบบ ของพระพุทธเจ้านั้น อาตมาขอยืนยันว่า เป็นระบบที่แก้ปัญหา สังคม ได้ ซึ่งคงจะไม่มีชื่อเรียกในภาษาทางรัฐศาสตร์สมัยนี้ ว่าชื่อระบบอะไร นอกจากระบบ ของพระพุทธเจ้า หรือ ที่อาตมากำลังเรียกลำลองไปอย่างนั้นเอง ว่าเป็น"ระบบบุญนิยม" แท้ที่จริงก็คือวิธีการ ของพระพุทธเจ้า ที่ให้มนุษย์ปฏิบัติประพฤติปรับปรุงจิตใจ ปรังปรุงความรู้ ปรับปรุงความเข้าใจแล้วก็ประพฤติ ปฏิบัติ ให้มันเข้าถึง โดยที่ทฤษฎี มีหลักวิธีปฏิบัติที่เป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ว่าไตรสิกขาซึ่งในเนื้อหาภาคปฏิบัติ มีรายละเอียดอยู่มากมาย ยังมีรายละเอียด ของความหมาย ที่จะเข้าใจซับซ้อนลึกซึ้งไปถึงด้านจิตวิญญาณถึงกิเลส ถึงรากฐานแท้ ของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว แล้วแก้ไขความเห็นแก่ตัวนั้นๆ

การล้างกิเลสในความหมาย ของพระพุทธเจ้านั้น ล้างกิเลสแล้วจะหมดความเห็นแก่ตัว หมดตัวหมดตน จนกระทั่งเหลือแต่ "ความเห็นแก่ผู้อื่น" มีความเข้าใจที่เป็นอธิปัญญา เข้าถึงความหมาย ของความจริง ความละเอียดลออ ของความจริงที่ลึกซึ้งซับซ้อน จนเกิดญาณ เกิดปัญญา เกิดความเห็นที่เรียกว่า เป็นญาณทัสสนวิเศษ ซึ่งอาจจะเรียกง่ายๆ ได้ว่า enlightenmentแต่ แท้จริงแล้วมันลึกซึ้งกว่านั้นอีก ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว ญาณทัสสนวิเศษ ของพระพุทธเจ้า หรือ ความรู้แจ้งแทงทะลุความจริง หรือ สัจธรรมนี้จะเห็นความจริงที่เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาๆ ที่จะเดา หรือ คาดคะเนไว้ด้วยภาษาใดๆ

: มหาตมะ คานธีเคยเสนอทางออกให้ สังคม ท่านเคยบอกว่า "คำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน" พ่อท่านมีความเห็นอย่างไรเกี่ยว กับทางออก ของ สังคม ตามที่คานธีเสนอ

: อาตมาพอเข้าใจคำตอบ ของคานธีที่ว่า "คำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน"แต่ สำหรับความเห็น ของอาตมาแล้ว ตอบได้ว่า "คำตอบอยู่ที่ คน " เพราะ คน นี่แหละคือผู้ทำหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นอยู่ ของ คน ในความหมายไหน อาทิในความหมายทางรัฐศาสตร์ ทางเศรษฐศาสตร์ ทาง สังคม ศาสตร์ ฯลฯ หรือ ความหมายทางศาสนาก็ตาม คำตอบล้วนแต่อยู่ที่ คน ทั้งนั้น

การแก้ปัญหา สังคม ทุกวันนี้ไม่ได้ผลก็เพราะไม่เห็นความสำคัญ ไม่เน้นจริงจังลงไปที่ "คน" ไม่แก้ไขที่ "คน" ไปเน้นความสำคัญ ของการแก้ไขระบบบ้าง เน้นความสำคัญ ของการแก้ไขทฤษฎีบ้าง เน้นความสำคัญ ของการแก้ไขวัตถุทรัพยากรบ้าง เน้นความสำคัญ ของการแก้ไขความผิดพลาดในอะไรต่างๆ นานา ซึ่งห่างเหินออกไปจากการแก้ที่ "คน" ไม่ได้แก้ไขลึกเข้าไปที่ "คน" จนกระทั่งถึง"จิตวิญญาณ ของ คน " ต้องได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจากปุถุชนมาเป็นอาริยชนกันจริงๆ และถ้าเผื่อว่าไม่มีวิธีการ หรือ ไม่พยายามหาวิธีการที่จะเจาะลึกเข้าไปแก้ไขปรับปรุง ที่ "คน" ทั้งกาย วาจา และ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก้ไขที่ "จิตวิญญาณ ของ คน" หรือ "ใจ" ให้รู้แจ้งเห็นจริงและฝึกฝนจนเปลี่ยนกาย-วาจา-ใจเป็น"อาริยชน"แล้วละก้อ จะเอาอะไรมาแก้ไข ก็แก้ไขได้ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ดังเช่น ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ล้มเหลวไปแล้วเป็นต้น แม้แต่ประชาธิปไตยที่กำลังเชื่อกันว่าดีที่สุดในขณะนี้ก็ตาม ก็จะไปได้ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น

อาตมาขอยืนยันว่า ประชาธิปไตยหลายรูปแบบในทุกวันนี้ ไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบ ยังไม่ดีที่สุดหรอก ซึ่งหลาย คน อาจจะคิดว่า อาตมาหลงใหลก็ได้ ถ้าอาตมาจะพูดว่า แม้แต่ลัทธิประชาธิปไตยทุกวันนี้ ก็สู้ลัทธิ ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ลัทธิ ของพระพุทธเจ้าเป็นลัทธิที่ช่วยมนุษยชาติ เป็นไปเพื่อการอยู่ดี ของมนุษยชาติเหมือนกัน กับอุดมการณ์หวานๆ ของลัทธิประชาธิปไตยนี่แหละ ถึงแม้ว่าท่านจะเรียกว่าเป็นศาสนาแต่ ก็ไม่ได้หมายความว่ามีแต่แง่ ของด้านจิตวิญญาณ ด้านนามธรรม หรือ ด้านปรมัตถสัจจะอย่างเดียว พราะลัทธิ ของพระพุทธเจ้านั้น ในภาคปฏิบัติ ของท่านคือ มรรคองค์ ๘ อันเป็น "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น" (เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) ทั้งฆราวาสและภิกษุ ซึ่งท่านให้เรียนรู้ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ แล้วปรับให้เป็น"สัมมา"คือให้ดีให้ถูกต้องให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นจนเป็นที่สุดนั่นเอง หมายความว่า ให้ปรับปรุงทั้งความคิด ให้ปรับปรุงทั้งการพูด ปรับปรุงทั้งการกระทำ หรือ พฤติกรรมต่างๆ ตลอดจน ปรับปรุง ทั้งอาชีพการงาน หรือ กิจกรรม พิธีกรรม ทุกอย่าง ซึ่งมันรวมไว้หมดแล้ว เพราะพุทธบริษัทนั้นมีทั้งภิกษุ-ภิกษุณี-อุบาสก-อุบาสิกา ซึ่งจะต้องคิด ต้องพูด ต้องทำงาน ต้องทำอาชีพกันทุก คน ถ้าปรับปรุงตามนี้ ก็จะมีผลในการแก้ปัญหาต่างๆ ของ สังคม โดยตรงและ โดยอ้อมไปหมด

: ทีนี้ถ้า คน ที่ไม่สนใจจะศึกษาธรรมะ ไม่สนใจจะปฏิบัติธรรม แล้วเขาก็ทำตามกิเลส ของเขา การที่เราจะไปปรับปรุงจะไปชี้ หรือ จะไปให้ปัญญาเขาในจุดนี้ เมื่อเขาไม่รับ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายใช่ไหมคะ

: ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ ก็ต้องทำ ที่อาตมาว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะ "ความจริง ของศาสนา" ยังไม่ปรากฏ คน ที่จะทำสภาพที่เป็น "ความจริง ของศาสนา" นั้น ยังไม่ปรากฏขึ้น มามากพอ หรือ ยังไม่สมบูรณ์ดีพอ จึงยังไม่เห็นชัด จน คน เห็นได้ รู้ได้ง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ แล้วก็ยอมรับ โดยเฉพาะศาสนา ของพระพุทธเจ้า นี่เป็นโลกุตระที่ลึกซึ้งซับซ้อนหลายชั้น แล้วมันย้อนกระแสใจ ทวนกระแสใจด้วย เพราะฉะนั้นในการเสนอ "ความจริง" ในตอนระยะแรกๆ นี่เขา จึงยอมรับไม่ค่อยได้แต่ ต่อไป เมื่อพัฒนาถึงระดับที่มันสมบูรณ์แบบขึ้นมาแล้ว มันจะมีทุกฐานะ คน ที่เข้าถึงจริงแล้วและอยู่อย่างย้อนสภาพทวนกระแส เป็น คน ที่ได้ภูมิธรรมชั้นสูง เป็น คน ที่ประสบความสำเร็จชั้นสูง ของศาสนานั่นแหละ จะเป็นตัวอย่างให้ คน ชั้นล่างบูชาเคารพนับถืออย่างจริงใจ เพราะ คน ชั้นสูงเป็น คน ที่เสียสละจริง เป็น คน ที่ไม่เอาเปรียบจริงๆ มีความรู้จริงๆ มีความสามารถมากกว่า คน ชั้นต่ำจริงๆ และเป็น คน ที่ขยัน สร้างสรร เกื้อกูล เผื่อแผ่ ไม่มาฉ้อฉล ไม่มาเอาเปรียบเอารัดเหมือนอย่างนายทุนในลัทธิประชาธิปไตยทุกวันนี้

เพราะฉะนั้น คน เหล่านั้นจะเป็น คน ที่เสียสละ คน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เป็นศักดินา ไม่เป็นทุนนิยม ไม่มาร่ำรวย หรูหรา ข่มเบ่งแต่ จะเป็น คน จนที่มีศักดิ์ฐานะสูงจริงๆ จะได้รับความบูชาเคารพ กราบไหว้ ศรัทธา เลื่อมใส แม้จะจนกว่า คน ที่ร่ำรวยแต่ คน ที่รำรวยจะไหว้ คน จนชนิดนี้ มันเป็นเรื่องตลกที่กลับกัน กับความเป็นอยู่จริงในสมัยนี้ หรือ ในระบบทุนนิยมศักดินา เพราะ คน ที่ไม่สะสมแต่ สร้างสรร เสียสละจริง แม้เป็น คน ที่ไม่มีเงินไม่มีทอง ไม่มียศชั้น อำนาจ ตำแหน่งแต่ มี คน เคารพด้วยใจจริง

ทีนี้ คน ที่เกิดภูมิธรรม เป็น คน ที่เข้าใจอะไรๆ ดีแล้ว ก็จะรู้ว่า คน ที่เสียสละจริงๆ นั้น เป็น คน ที่ต้องกราบไหว้ เชิดชูบูชา เมื่อกิเลสเขาน้อย หรือ กิเลสเขาไม่มี และเขาก็เป็น คน ที่มีความรู้ เป็น คน ที่มีความสามารถ เป็น คน ขยันหมั่นเพียร สร้างสรร เกื้อกูล อุ้มชู อนุเคราะห์โลกอยู่จริงๆ

คน ที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังมีความหวงแหน ยังมี ของตัว ของตนอยู่ ยังขี้โลภ ยังเห็นแก่ตัวมากพอสมควรอยู่ แม้จะสะสมกอบโกย เอาเปรียบเอารัด มีเงิน มีทอง มีทรัพย์ศฤงคาร มีอะไรต่ออะไรมาก และเขาสามารถเข้าใจได้ว่า เขาเองมีภูมิธรรมต่ำอยู่ ก็จะกราบไหว้ คน ที่ยากจน ซึ่งมีภูมิธรรมสูงกว่าดังกล่าว นี่มันจะเกิดเป็นวัฒนธรรมที่เป็นจารีตประเพณี มันจะเป็นความเป็นจริง ของ สังคม ที่ชัดเจน

ต่อไป เมื่อเกิดขึ้นสมบูรณ์แล้ว เด็กๆ ที่เกิดมาก็จะเห็นสภาพนี้ไม่ต้องสอนกันยากเลย อย่างไรก็ตาม สัจจะที่มันตรงและมีมากพอมันจะมีน้ำหนัก มีอิทธิพลเอง ซึ่ง เมื่อพูด และคิดดีๆ จึงจะเข้าใจ เป็นสัจจะที่ไม่ใช่เรื่องมอมเมาแต่ มีความลึกซึ้งเช่นนี้ มันจะเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นตัวอย่างเหล่านี้ มัน จึงยังไม่เกิดขึ้นมาได้ง่ายๆ

: แล้ว เมื่อไรมันจะเกิดล่ะคะ

: ไม่รู้ เมื่อไรจะสมบูรณ์แบบตามที่ว่านั้นแต่ ว่าเรากำลังทำอยู่ เรากำลังสร้างอยู่ ซึ่งมีรูปร่างขึ้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้ ชาวอโศก ของเรากำลังกอบก่อขึ้นมา มีรูปร่าง ที่แหม...รำๆ ไรๆ เหมือนเหลือ ยังไม่เป็นตัวตนอะไร ที่มันจะเป็นรูปร่างที่ดูได้ ดูดีอะไรนักหนาแต่ เราก็เห็นอยู่บ้างแล้ว ถ้าใครที่อยู่ภายใน ก็พอจะเห็นรูปรอย ของ คน ที่ไม่ได้เป็นทาส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข และสร้างสรร ขยันเพียร ทำตนให้เป็น คน ที่มีคุณค่า มีประโยชน์ มีความรู้ มีความสามารถที่จะทำงาน ทำการ เป็นสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ มีชีวิตอยู่ใน สังคม เป็นผู้ที่"ให้"มากกว่าที่ตัวอาศัย ซึ่งมี คน อย่างนี้อยู่บ้างแต่ ยังไม่มากพอเท่านั้น

: มี คน มองว่าระบบแบบนี้มันน้อยและช้า ไม่ทัน กับความหายนะที่กำลังเกิดขึ้น กับโลก

: ถ้าระบบไหนดีกว่านี้ ก็เสนอเข้ามา มาช่วยกันซิ หรือ จะเสนอมาเพื่อเปรียบเทียบกันดู มาแข่งกันดูก็ได้ ระบบไหนดีก็สร้างขึ้นมา เราก็เห็นจริงอยู่ ว่ามันยังน้อย ยังเล็กแต่ เราก็เห็นอัตราการก้าวหน้าอยู่ทุกวันนี้

ถ้าพูดไปแล้ว ก็เหมือน กับอวดดีว่า ศาสนาพุทธเท่าที่เป็นมา มันเป็นศาสนาที่เพี้ยนไปเป็นแบบฤาษี มันหลงผิดกันมากมาย แม้เขาจะหาว่าเรานอกรีตอยู่ทุกวันนี้แต่ อาตมาแน่ใจว่า อาตมาไม่ได้นอกรีตไปจากแก่น ของพุทธศาสนา อาตมาขอยืนยันว่า ศาสนา ของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อ "พหุชนหิตายะ" คือเป้นไปเพื่อเกื้อกูลช่วยมวลมนุษยโลกเป็นส่วนใหญ่ส่วนรวมแท้ๆ ไม่ใช่ศาสนาเพื่อให้ คน เจาะช่องน้อยแต่พอตัว หนีโลกไปเป็นสุขแต่ผู้เดียว หรือ เพียงช่วย คน ส่วนน้อยตามที่ยังมีผู้เข้าใจผิดๆ อยู่แน่ๆ ยิ่งเป็น"โลกุตรบุคคล" หรือ บรรลุธรรมเป็น"อาริยบุคคล"ยิ่งมีประโยชน์ต่อ สังคม และเป็นไปเพื่อ "พหุชนสุขายะ-โลกานุกัมปายะ" เป็นไปเพื่อประโยชน์ให้มวลมนุษยชาติเป็นสุข แล้วไม่ใช่สุขอย่างโลกีย์ที่เป็นสุขสม ได้ลาภมาก็ดีใจ สุขใจ ได้ยศมาก็สุขใจ ฯลฯ ไม่ได้เป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขแต่ เป็นโลกุตระ เป็นสภาพที่อยู่เหนือโลกียธรรม อยู่เหนือโลกธรรม สามารถพิสูจน์กันได้ เป็นเอหิปัสสิโก เชื้อเชิญให้มาดูได้ และเป็นอกาลิโก ไม่ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา ทุกวันนี้ก็ยังเป็นไปได้ เพราะถ้าเป็นไม่ได้จริงก็หมายความว่า ศาสนา ของพระพุทธเจ้าเป็น ของปลอม เป็น ของโกหก หรือ เสื่อมแล้วเพราะผิดเพี้ยน

แต่อาตมาแน่ใจว่า โลกุตระทุกวันนี้ก็ยังเป็นไปได้ อาตมาเห็นอยู่ว่า พวกเรากล้าหาญชาญชัยขึ้นจริง กล้าทิ้งลาภ ทิ้งยศ ทิ้งสรรเสริญ ทิ้งโลกียสุข ทิ้งอัตตาตัวตน ทิ้งมานะทิฐิมากันได้จริง ก็มีตัวอย่างให้เห็นกันอยู่ ซึ่งเราก็พัฒนากันไปแต่ อย่ารีบใจร้อนให้สำเร็จเร็วๆ ให้เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว มันเป็นไปได้ เท่าที่ใจขณะนี้ถ้าจะพัฒนาต่อไปก็ต้องอาศัยใช้เวลาบ้าง สุกเอาเผากินไม่ได้

: ที่พ่อท่านพาทำมาตลอด ก็นานพอสมควรพ่อท่านเห็นอะไรบ้างคะ

: มันยังไม่นานหรอก ถ้าจะพูดไปแล้ว ที่พูดว่านานพอสมควรนั้น อันที่จริงอาตมาทำงานนี้มาแค่ ๒๐ ปี ยังไม่นานหรอก จากที่ไม่มีอะไร ไม่มีหมู่กลุ่ม แล้วก็เริ่มต้นมา จนกระทั่งมีหมู่กลุ่ม ถ้าเริ่มนับมา ตั้งแต่เกาะกลุ่มกันจริงๆ ลงมือทำกันจริงๆ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๖ ถึงปีนี้ก็ครบ ๒๐ ปีพอดี มันก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้าง มีสัมมาอาชีวะ มีสัมมากัมมันตะ มีอะไรต่างๆ นานา ที่เราอธิบายว่า นี่คือ ระบบบุญนิยม ลักษณะ ของระบบบุญนิยมที่เป็นไปเพื่อสร้างสรร เสียสละ โดยที่ไม่ไปขูดรีด ไม่เอาเปรียบเอารัด สังคม มีลักษณะเป็นอย่างนี้ๆ เราก็กำลัง ทำกันอยู่ ให้เห็นเป็นตัวอย่าง พิสูจน์ให้เห็น เป็นตัวอย่าง ว่าสามารถ เกิดจริง มีจริง เป็นจริง แม้ในยุคสมัยปัจจุบันนี้ ที่เศรษฐกิจทุนนิยม จัดจ้านอย่างนี้ เราก็ยังกล้าทวนกระแสกัน

: พ่อท่านคิดว่าตลอดชีวิต ของพ่อท่าน จะได้เห็น สังคม ที่ต้องการไหมคะ

: อาตมาได้เห็นแล้ว ทุกวันนี้ก็เห็นแล้ว แม้เป็นรูปเล็กขนาดที่บางคน อาจจะมองไม่ออกแต่ อาตมาคิดว่า อาตมามองออกแล้ว เห็นแล้ว แม้อาตมาตายวินาทีนี้ อาตมาก็ว่าอาตมาเห็นแล้ว ได้พิสูจน์ยืนยันถึงความสำเร็จ ของพระพุทธเจ้าแล้วว่ามีจริง เป็นอกาลิโกจริงๆ ไม่ถูกจำกัดด้วยยุคสมัยว่าจะเกิดได้เฉพาะในสมัยพุทธกาลเท่านั้น

: แต่ดูเหมือนสามารถช่วย สังคม ได้นิดหน่อยเท่านั้น

: มันไม่นิดหน่อยเลย มันช่วย สังคม ไปตามลำดับขั้น มันมี"ค่า"ที่ซับซ้อนลึกซึ้งและใหญ่ยิ่ง ถ้าตีราคา ของ"ความเสียสละจริง" กับ"ความเอาเปรียบ"ที่มีจริงในเชิงเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ มันยังไม่ใหญ่ในรูปธรรม "ค่า"ทางนามธรรมที่เป็นสัจจะ จึงสูงยิ่ง

หมู่กลุ่มพวกเรายังไม่ใหญ่จริงแต่ มันก็ค่อยๆ พัฒนาเป็นไปตามลำดับ จนถึงขณะนี้ แม้ว่ากลุ่ม ของเราจะดูเล็กๆแต่ มันมีผลช่วย สังคม ไม่น้อยทีเดียวมันช่วยจริงๆ อาตมาเอา ทฤษฎีกำไร-ขาดทุน ของอาริยชน มาวัดให้ทราบแล้ว แม้ในทางโลก เขาว่าเขาทำงานช่วย สังคม แต่ ในขณะที่เขาคิดว่ากำลังทำงานช่วย สังคม อยู่นั้น เขาก็คิดค่าช่วยเหลือเป็นตัวเงินตอบแทนกลับมาหมด ฉ้อฉลเอาเปรียบเอารัดด้วย ผู้ที่มีฐานะจะเอาเปรียบได้ ก็ตีราคาค่าแรง ของตัวเองอย่างเอาเปรียบทั้งนั้นเลย ยิ่งตีราคาสูงเท่าไร ยิ่งมีอำนาจบาตรใหญ่ ยิ่งฉ้อฉลไปหมด เมื่อเขาทำงาน โดยเอาค่าแรงงาน ค่าความรู้ ค่าความสามารถ คืนมาหมด แล้วเขาจะมีประโยชน์ที่ไหนเหลือให้แก่ สังคม ขอให้คิดดีๆ ในจุดนี้ แม้มีการสร้างผลผลิตแล้วเอา ผลผลิตมาแจกจ่ายให้ สังคม ก็ตามแต่ ก็มีการขาย เอา"ค่า" ของผลผลิตตีราคาแลกกลับคืนมาหมด แล้วก็ขี้ตู่ว่าฉันสร้าง ฉันทำ ทั้งที่ โดยจริงๆ แล้ว เขาไม่ได้ช่วย สังคม เลย เขาเอาประโยชน์ที่หลงว่า "ได้ให้" นั้น คืนไปหมดแล้วเพียงแต่เขาตีราคา "ประโยชน์" เป็นตัวเงิน แล้วก็เอา "ค่า ของประโยชน์" นั้นคืนไปหมด ส่วนมากมักจะตีราคาเกินกว่าจริงด้วยซ้ำ นี่คือระบบ ของ ทุนนิยม

เพราะฉะนั้นระบบบุญนิยมจะต้องเข้าใจตรงนี้ดี ประเด็นนี้ต้องมาสอนให้เห็นความจริง ให้พวกเรามาลดละกิเลสตัณหา มาลดละความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้จริงๆ เรา จึงมีตัวพิสูจน์ มีตัวจริง ทุกวันนี้มีแต่พวกเราที่สามารถทำงานฟรี ทำงาน โดยไม่ต้องไปเอาค่าแรง หรือ ไม่เอาค่าแรงเต็มที่ เอาแค่ค่าวัตถุ ค่าวัสดุ ค่าผลผลิตบางส่วนถึงแม้จะแลกเปลี่ยนกลับคืนมาบ้าง ก็ไม่เอาคืนมาหมดให้ฟรีได้ก็ให้ นั่นคือ คุณค่า ของเราที่ให้แก่ สังคม เพราะฉะนั้นอโศกเราให้แก่ สังคม อยู่ทุกวันนี้จริงๆ แม้ดูน้อยแต่เราก็ได้ให้จริง หรือ ให้แท้ตามความหมายที่กล่าว ขณะที่ใน สังคม ที่เขาได้บอกว่า ได้ช่วย สังคม อยู่นั้น ถ้าเข้าใจที่อาตมาพูดมา เมื่อกี้ก็จะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ให้แก่ สังคม เลย เขาไม่ได้ช่วย สังคม ได้ เพียงแต่เขาหลงว่าได้ช่วยเท่านั้น คน มีความสามารถ ก็ตีราคาเอาค่า ความสามารถ ไปจนหมดจนเกิน ถ้าผู้นั้นโก่งเอาได้ คน มีความรู้ก็ตีราคาเอาค่าความรู้ คน สร้างผลผลิตก็ตีราคาเอาค่าผลผลิต คน ออกแรงก็ตีราคาเอาค่าแรงไปกันจนหมด และผู้มีอำนาจ ผู้เอาเปรียบได้ก็เอาไปจนเกินแล้วทั้งนั้น ในระบบทุนนิยม นี้ จึงไม่มี"ค่า" ไม่มีประโยชน์จริงเลยใน สังคม ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก รังแกปลาเล็กทั้งนั้น ไม่มีปลาใหญ่เสียสละ อุ้มชู ช่วยปลาเล็กจริงเลย เห็นมั้ยว่า โดยสัจจะแล้ว ถึงเขามีจำนวนมากแต่ เขาก็ไม่ได้ช่วย สังคม อะไรเลย เป็นแต่เพียง รีดนาทาเร้นแรงงาน ของผู้เสียเปรียบออกมาให้ได้มากๆ เพื่อช่วยบรรเทา หรือ ชะลอปัญหา ของ สังคม บางส่วนกันไปวันๆ เท่านั้นเอง

: สิ่งที่พ่อท่านพูดมาทั้งหมดนี้ ก็คือตัวอย่าง ของคำกล่าวที่ว่า "คำตอบอยู่ที่ คน "ใช่ไหมคะ

: ใช่... "คน" ก็คือ ผู้ที่จะมาศึกษา ฝึกฝนอบรมเปลี่ยนตัวเอง มาเป็นโลกุตรบุคคลจริงๆ ทุกวันนี้ คน เข้าใจว่าไปเข้าป่า เข้าถ้ำ หลับหูหลับตาหนีโลก ไม่รู้โลก จนกลายเป็น "โลกันต์" ซึ่งแปลว่า นรกที่ต่ำสุด ที่ไม่มีทางไปต่ำกว่านี้ ส่วนโลกุตระ คือการอยู่เหนือโลก ไม่ใช่หนีโลก เหนือที่สุด ไม่มีอะไร เหนือยิ่งกว่านี้อีก มันตรงกันข้ามกันแต่ เขานึกว่าลัทธิที่หนีโลก ไม่ยุ่งเกี่ยว กับโลก หรือ สังคม ก็คือลักษณะ ของโลกุตระ นิพพานคือพวกที่หลุดพ้น พวกที่ไม่เอาถ่านอะไร กับโลกเลย นี่แหละเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นความเห็น ของศาสนาที่ผิดเพี้ยนไป ทั้งที่โลกุตระ ของพระพุทธเจ้าถึงอยู่เหนือโลกแต่ ก็อยู่ในโลก ช่วยโลกเป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ คือ อนุเคราะห์โลกเกื้อกูลโลกอยู่จริงๆ โดยอยู่เหนือจิตใจ ไม่ได้เป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขใดๆ แล้วก็เป็นผู้ที่ขยันหมั่นเพียรสร้างสรร ขวนขวาย มีอิทธิบาท มีคุณภาพอยู่ใน สังคม รู้เท่าทันโลก มีโลกวิทู มีพหูสูตอย่างแท้จริง

เพราะฉะนั้น "คำตอบ จึงอยู่ที่ คน" แล้ว "คน" จะไปสร้างระบบที่ดีเอง "คน" จะไปสร้างวัฒนธรรมที่ดีงาม สร้างพฤติกรรม สร้างกิจกรรม สร้างพิธีกรรม ตลอดจนสร้างสิ่งต่างๆ ที่เหมาะควรเอง ตามที่เขามีญาณปัญญา

เมื่อ คน บรรลุธรรม คน ก็จะมีญาณปัญญาที่บริสุทธิ์ มีปัญญาที่ชาญฉลาดอย่างแท้จริง ในการที่จะสร้างจารีต ประเพณี ตลอดจนวัฒนธรรม ของ สังคม ขึ้นเอง

บทจบ

"คน" จึงเป็นต้นเหตุ ของทุกอย่าง ทั้งทุกข์ ทั้งสุข ทั้งเจริญ ทั้งเสื่อม จงหันเข้ามาพัฒนา "คน" กันให้ถึงขั้นโลกุตระกันให้ได้เถิด เพราะ "คน" มีจิตใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ชัดเจนว่า "จิตใจเป็นประธาน ของสิ่งทั้งปวง" ภาษาบาลีว่า "มโนปุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา" โดยเฉพาะ "โลกุตรธรรม"นั้นเพื่อ สังคม เพื่อมนุษยชาติเพื่อโลกทั้งโลก ถ้าศาสนาพุทธ หรือ พุทธบริษัท ไม่สร้าง "คน" ให้เป็นอาริยบุคคล ขั้นโสดาบัน - สกทาคามี - อนาคามี - อรหันต์ จริง ก็ไม่สามารถ จะแก้ปัญหา สังคม ได้ จะได้ก็แต่ ชะลอปัญหา บรรเทา ความมีอยู่มีกินไปชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น แท้จริง ก็รีดนาทาเร้นกัน กดขี่บังคับจิตใจกัน หรือ ไม่ก็ เอื้อมออกไปเอาเปรียบ หรือ รีดนาทาเร้น ผู้พ่ายแพ้ ผู้สู้ไม่ได้อื่นๆ ประเทศอื่นๆ มาเพื่อตน อยู่เท่านั้น ไม่ได้เจริญจริง สุขวิเศษจริง (วูปสมสุข) ประเสริฐจริง หรอก.

ทีมข่าว สมอ.

end of column
     

๑๕ นาที กับพ่อท่าน ตอน คำตอบอยู่ที่ คน (อันดับ ๑๖๖ สารอโศก ตุลาคม ๒๕๓๖)