สิบห้านาที กับ พ่อท่าน โดย ทีม สมอ. ตอน...
ผ่าอัตตา
หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 167 ฉบับ เดือนธันวาคม 2536
หน้า 2/2

: พ่อท่านเคยบอกว่าต้องเหนื่อย เพราะ สังคมอัตตาในพวกเรา อยากทราบว่าสงครามอัตตาเป็นอย่างไรคะ

: คือ คนเรานี่ ถ้ามันได้ดีอะไรก็ตามขึ้นมาแล้ว มันก็จะหลงดีนั้นๆ ซ้อนขึ้นมาจะถือเป็นตัวเป็นตน อัตตา กับ มานะมันคู่กันอยู่ อัตตา คือมัน "ถือตัว" ส่วน มานะ คือมัน "ถือดี" แล้วก็หยิ่งผยองในตนเองไปข่มผู้อื่น ไปแข่งขัน กับ คนอื่น ไปเอาเป็นเอาตาย กับ คนอื่น ไปทะเลาะเอาชนะคะคาน กับ คนอื่น จนกระทั่งไปทำร้ายคนอื่น ตั้งแต่การทำร้ายอย่างหยาบ นี่คือสงคราม "อัตตา"

จนกระทั่งทำร้ายเบียดเบียนอย่างละเอียด ซับซ้อนลึกซึ้ง เป็นเชิงเป็นชั้น เหมือน กับ ตัวเองทำเป็นคนดี แต่ที่จริงมีเล่ห์กลซับซ้อน นี่ก็เป็นการทำร้ายคนอื่นอย่างเลือดเย็น หรือ ทำร้ายคนอื่นอย่างที่คนอื่นรู้ไม่เท่าทัน อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งทุกวันนี้มีความฉลาดแบบนี้กันมาก เป็นความฉลาดที่จะทำร้ายผู้อื่นโดยที่เหมือน กับ ตัวเองเป็นคนดี แต่แท้จริงลึกๆตัวเองต้องการจัดการ กับ คนอื่นโดยที่ไม่ให้คนอื่นรู้ และ ถ้าเผื่อว่าเขาจะถูกทำลายให้ล้มละลาย หรือ ว่าให้ตายไปอย่างไรๆ ตัวเองก็จะคล้ายๆ กับ ว่า ไม่ต้องไปรับรู้ และ ในฉากที่ปรากฏ แม้แต่ในความรู้สึกผิวเผิน ของ ผู้ฉลาดนั้นเอง สงสารเขาด้วยซ้ำไป บางคนไม่รู้ตัวถึงขนาดนั้น แต่แท้จริงลึกๆ แล้ว ตัวเองเป็นคนบงการ เป็นคนที่เดินเรื่องให้คนเขาแข่งขัน ชิงชัยกันอยู่ในสังคมทุกวันนี้ บางทีคนนี้เหมือน กับ เราเองไม่ได้ทำอะไรเขาหรอก ข้างนอกเหมือน กับ ว่า โอ๊ย! สงสาร ไม่ได้มีเจตนาจะให้เป็นอย่างโน้น แต่เขาบรรลัยไปแล้ว ก็ เพราะ ความไม่รู้ทันจิต ของ ตัวเอง ไม่สามารถเรียนรู้จิต ของ ตัวเอง ซึ่งเป็น"อนุสัย"ลึกๆ ที่เป็นจิตไร้สำนึก หรือ UNCONCIOUS ซึ่งมันฆ่ากัน หรือ ทำร้ายกันอย่างเลือดเย็นยิ่งมีโมหะชนิดที่พูดกันไม่รู้เรื่องเลย กับ คนคนนั้น ก็ยิ่งไม่ต้องแก้ไขกันเลย นี่ล้วนเป็นสงครามอัตตาทั้งนั้น

แม้ในพวกเราจะไม่ร้ายกาจเลือดเย็นดังกล่าวนี้ มันก็ยังมี"ดี" ที่ยังหลงตน "ถือดี" หรือ "ยึดดี" นั่นแหละมาขัดกัน แย้งกัน ถือตัว ยึดตัว จนวาง"ตัว" นั้นๆ กันไม่ลง จึงเกิดสงครามอัตตากันหลากหลาย ซับซ้อนอยู่ในหมู่ผู้ดี ซึ่งยิ่ง "จริงใจ" จะยิ่งเห็นสงครามออกมาหยาบๆ ชัดๆ

แต่ถ้าผู้ใดศึกษาจิตวิญญาณดีๆแล้วละก็...จะไม่มีความโหดร้ายทารุณอย่างซับซ้อนเช่นนี้ จะไม่เกิดสงครามอัตตา แล้วก็จะรู้ง่ายขึ้น จิต ของ เราจะหยั่งรู้จิต ของ ตัวเองได้ดีขึ้น สามารถเรียนรู้จิตลึกลงไป ถึงระดับที่เป็น UNCONSCIOUS ก็สามารถหยั่งลึกลงไปรู้ หรือ ดึงขึ้นมา เป็นจิตในระดับ SUBCONSCIOUS ก็จะมีญาณหยั่งเข้าไปหาและรู้เสมอๆ จนเป็น CONSCIOUS เป็นจิตสำนึกธรรมดาๆ ก็สามารถที่จะเป็นผู้รู้ตัว รู้โลก รู้อะไรๆ ได้ แล้วฝึกควบคุมกิริยากายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม ของ ตนได้ดีขึ้นๆๆ และ จะเป็นคนที่ไม่เลวร้ายอะไร

เพราะ ฉะนั้น คนที่ยิ่งไม่รู้ตัว จะเป็นตัวปฏิกิริยา เป็นตัวที่ก่อสงคราม หรือ เป็นตัวที่มีอัตตาที่อธิบายแล้วว่า บางคนไม่รู้ตัวจริงๆ จิตมันอยู่ในระดับจิตไร้สำนึก UNCONSCIOUS มันไม่รู้ตัว แล้วตัวเองก็ทำเรื่องราวต่างๆ เพราะ "อัตตา-มานะ" ของ ตัวเอง ทำร้ายคนอื่นเขาอยู่โดยตัวเอง บางทีนึกว่าไม่เจตนานะ แต่จิตมันทำงานโดยที่เราไม่สามารถหยั่งเข้าไปห้าม หยั่งเข้าไปรู้ตัวเองได้อย่างนี้มีอยู่ในสังคมมาก แม้แต่ในพวกเรา

หรือ แม้ "จิตใต้สำนึก"(SUBCONSCIOUS) จะรู้บ้างไม่รู้บ้าง พอจะรู้ตัวเองว่า เรามีเหมือนกันนะ เราดูเหมือนจะจัดการเขา ทำร้ายเขา เบียดเบียนเขา หรือ ว่าแก่งแย่งกัน ทะเลาะวิวาทกัน อะไรก็แล้วแต่พวกนี้ มันก็ยังเป็นสงครามที่มีกิเลสเข้าไปเป็นตัวการอยู่ เพราะ ฉะนั้น ถ้ารู้ตัวแล้วก็ต้องมาลดละ หรือ ต้องเรียนให้รู้ ถ้าไม่รู้ก็ต้องพยายามศึกษาเรียนให้รู้ว่าตัวเองอยู่ กับ หมู่ฝูงเพื่อเกื้อกูล เพื่อที่จะประสานสามัคคี จะเอื้อเฟื้อเจือจานกันจริง หรือ เปล่า หรือ เพื่อที่จะเข่นฆ่ากัน ทำร้ายทำลายกัน ถ้าไม่รู้มันก็จะเป็นสงครามอัตตา แม้จะมาปฏิบัติธรรมกันแล้วก็ตาม

มานะอัตตานี่มันมีตั้งแต่ระดับ ของ ปุถุชนหยาบๆ จนกระทั่งเมื่อมาเรียนรู้กิเลส และ กิเลสลงได้ แม้กามคุณหยาบๆ ก็ลดลงได้ กระทั่งอัตตามานะระดับหยาบๆ เช่น การแย่งลาภ ยศ โลกียสุข ก็ลดละได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม มันก็ยังมีอัตตามานะที่ละเอียดอยู่ไม่รู้ตัว ยิ่งได้ดีขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งหลงตัวว่าตัวเองดี เป็นอัตตามานะซ้อนลงไปอย่างนี้ เป็นต้น

เพราะ ฉะนั้นอัตตามานะมันมีได้ตั้งแต่หยาบ เมื่อเรียนรู้ปฏิบัติมาก็ยังมีอัตตมานะที่เป็นอุปกิเลสซ้อนขึ้นไปอีก มัน จึงยากและซับซ้อน แม้ที่สุดในสังโยชน์เบื้องต่ำ ลดอบายมุข หมดกามราคะ หมดปฏิฆะได้แล้ว เป็นพระอนาคามีก็ยังมีอัตตามานะที่ต้องเรียนรู้ มี "มานะสังโยชน์" ที่ละเอียดลออ ที่ต้องลดละต่อไป จนกว่าจะไปเป็นอรหันต์

: พวกไหนที่มีอัตตามานะมากที่สุดคะ

: ขอตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า พวกที่ไม่เรียนรู้กิเลสตัณหา อุปาทานที่แท้จริง ไม่เรียนรู้สักกายะ-อัตตา-อาสวะอย่างแท้จริง จะมีอัตตามานะมากที่สุด พวกนี้จะไม่รู้ตัวเลย

เพราะ อัตตามานะ คือ ยังถือตัวว่าเป็น ของ ตัว ของ ตน มันไปยึดติดอบายมุขเป็นตัว ของ ตัวก็ได้ ยึดกามเป็นตัว ของ ตัวก็ได้ ยึดภพ ยึดชาติ ยึดความนึกคิด ยึดความรู้ ยึดความเขื่อง ความเก่ง หรือ แม้แต่ยึดความดี ของ ตนก็ล้วนเป็นอัตตามานะได้ทั้งสิ้น และ ถ้ายังติดยึดอยู่ อีกกี่ชาติก็ไม่มีทางปรินิพพาน

เพราะ ฉะนั้น แม้เป็นตัวอาศัย เป็นอัตตาที่อธิบายไปแล้วว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์ที่ยังไม่ปรินิพพาน ยังไม่ตาย ยังไม่อนุปาทิเสสนิพพาน ก็ยังมีร่างกายขันธ์ ๕ เป็นอัตตาลำลอง เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้ว หรือ มีอรหัตตาแล้ว เป็นอัตตาที่ไม่ลึกลับสำหรับท่านแล้ว ท่านก็อาศัยอัตตานี้ใช้งาน โดยไม่หลงใหลว่า อัตตานี่เป็นเรา เป็น ของ เรา อัตตานี่เป็นตัวตน ของ เรา พระอรหันต์ท่านจะรู้-เนียน จนกระทั่งเห็นว่า ตัวตนนี่เป็นเพียงสภาวะเหตุปัจจัยที่อาศัยใช้งาน และ พระอรหันต์ท่านจะใช้เป็นประโยชน์คุณค่าเพื่อมวลมนุษยชาติ(พหุชนหิตายะ)จริงๆ ถ้าท่านจะปรินิพพาน ท่านก็จะไม่ตั้งภพต่อ เมื่อตายสิ้นชาติดับขันธ์ทุกอย่างก็สูญสิ้น เป็นปรินิพพานดับสนิท

: คนทำงานที่ยังมีกิเลสมีอัตตา ยิ่งเขาเป็นคนเก่ง เขาก็มักมีอัตตาเสริมหนุน ซึ่งทำให้เขามีพลังทำงานได้มาก ได้ดี ได้เก่ง จะพูดว่าอัตตาก็มีแง่ดีได้ไหมคะ

: ก็มีส่วนที่เป็นแง่ดีได้ คล้ายๆ กับ "ตัณหาล้างตัณหา" แต่จะต้องรู้ให้ละเอียด ถูก"เนื้อหาสาระ" ด้วยปัญญาชัดเจนถึงคุณค่า ของ อะไรแท้ๆ และ ภัยโทส ของ กิเลสตามที่เป็นจริง ของ มัน แล้วเราจะมีพลังได้มากยิ่งกว่า

ต้องรู้ว่าเมื่อเขามีความเก่ง มีความสามารถทำงานได้มาก เป็นประโยชน์คุณค่าได้จริง และ เขาก็ไปหลงยึดความดี ความสามารถในผลงาน ยึดคุณค่าประโยชน์นั้นมาเป็น ของ เรา นั่นมันก็เป็นอัตตา อัตตนียา เป็นกิเลส

คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมแบบโลกุตระแท้ๆตามทฤษฎี ของ พระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฐิ เมื่อได้ลาภแลกมา ได้ยศแลกมา ได้สรรเสริญเยินยอแลกมา หรือ ก็เป็นความสุขที่สมใจว่าเรามีความเก่ง ความดี ความสามารถ มีประโยชน์ มีคุณค่า มันก็ยึดเป็นตัวเรา ของ เราอยู่นั่นแหละ ถ้าไม่เรียนรู้มันก็ยึดจริงๆ และ โทษ ของ การติดการยึดนี้เป็นทุกข์ ต้องมีญาณรู้แจ้งจริงๆว่า มัน ทุกข์"

การรู้ "ทุกข์" คือผู้นั้นเกิดญาณในอริยสัจ ๔ แต่ถ้า ยิ่งยึดติดมากเข้า เพราะ ไม่รู้ ก็ยิ่งทุกข์หนักขึ้น ทำบาปทำเวรได้ซ้ำซ้อนสลับซับซ้อน เพื่อดิ้นรนหนีทุกข์อย่างโง่ๆ (อวิชชา) สั่งสมเป็นวิบากกรรมเวรลงไปอีกให้ยิ่งเพิ่มทุกข์

แม้เรียนรู้ทุกข์รู้เหตุแห่งทุกข์แล้ว ก็ต้องล้างละลดมันออกไปจริงๆ จนกระทั่ง เราไม่ต้องติดยึดอะไร ไว้เป็นเราเป็น ของ เรา ดังนั้นใครจะมาลบหลู่ ดูถูก ดูแคลน ใครจะมาขี้ตู่เอาผลงานที่ตัวทำไป ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเข้าใจความจริงแล้ว ใจเราจะไม่มีอาการยึดจริง ซึ่งต้องเรียนรู้ฝึกฝนกันจริงๆ ให้ถูกตรงตามความหมายที่กล่าวนี้ เรา จึงจะมีญาณลึกซึ้ง มีปัญญาลึกซึ้ง มีอธิปัญญา มีวิราคะ มีวิมุติ หรือ มีญาณทัศนะที่จะสามารถหยั่งรู้อาการลีลา ของ จิตจริง แล้วจะรู้ว่าเรามีอะไร หรือ ไม่มีอะไร เราเป็นอย่างไร หรือ ไม่เป็นอย่างไร

การยึดอัตตาไว้นานๆ โดยไม่รู้ตัว จะเป็นผลร้ายในภายหลัง เพราะ จะเกิดการสั่งสมเอาไว้โดยไม่รู้ตัว คนทุกวันนี้ไม่ได้เรียนรู้ลึกซึ้งอย่างที่อาตมาอธิบาย จึงยึดอยู่ตลอด แม้ผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าไม่เรียนรู้อย่างที่อาตมากล่าวมานี้ เขาก็ยังยึดอยู่นั่นแหละ สั่งสมอัตตาที่ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ ยิ่งมีมานะมาก ก็จะหนักหน้าไป กับ การแย่งๆ ชิงๆ เบ่งๆ ข่มๆ ดูถูกดูแคลนกันอยู่ร่ำไป และ จะสั่งสมความฉลาดพราง ฉลาดลวง จนสลับซับซ้อนเป็นมารยาหนาหนัก แต่กลายเป็น"มารยาท" ในสังคมไปอย่างที่ยิ่งหนักหน้าร้ายกาจขึ้นทุกวันๆ ดังที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้

: ถ้างั้นก็มาเป็นคนไม่เก่ง เป็นคนตื้นๆ เขินๆ จะได้ไม่มีอัตตามานะมากมาย จะดีกว่าไหมคะ

: มันก็ยังมี อัตตาโง่ๆ ของ ตัวเองอยู่นั่นแหละ ถ้าเราเองไม่เก่ง เราก็ไม่มีคุณค่าอะไร เราจะเก่ง หรือ ไม่เก่งก็ตาม แต่ถ้าเราเรียนรู้ธรรมะแล้ว เราจะรู้อัตตามานะ ซึ่งไม่ใช่รู้แค่ตัวหนังสือภาษา ต้องเรียนรู้"อาการ-ลิงค-นิมิต-อุเทศ" รู้จักจิต เจตสิก ของ เราว่ามีกิเลสอย่างไรจริงๆ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิจัยออกเลยว่ากิเลสเป็นอย่างไร ตัณหา อุปาทานเป็นอย่างไร แล้วก็ใช้วิธีลดละอย่างที่อธิบายไปให้ฟังแล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีสมถภาวนา หรือ วิปัสสนาภาวนา

การปฏิบัติมรรคองค์ ๘ โดยมีโพชฌงค์ ๗ รวมแล้วก็คือ "โพธิปักขิยธรรม ๓๗" ซึ่งถือว่าเป็นทฤษฎีทั้งหมด ของ พระพุทธเจ้า จึงจะสามารถลดอัตตาได้จริง

การที่อาตมาโดนถล่มทลาย ก็เกิดจากอัตตามานะถือดีนี่แหละ ที่จริงแล้ว อาตมาไม่ได้ไปถล่มทลายใคร อาตมาวิจารณ์วิจัยสิ่งที่ไม่ถูกไม่ต้องให้คนรู้ ให้คนฟัง อาตมารู้ว่าจิตใจ ของ อาตมาไม่ได้เกลียด ไม่ได้ชังใคร ไม่ได้แกล้งใคร พูดเพื่อให้คนรู้ โดยบางคนอาจจะถูกพาดพิงไปถึงระบุชื่อคนนั้นคนนี้บ้าง เมื่อพูดกันในหมู่พวกเราเพื่อจะได้เรียนรู้ มีตัวอย่างที่ยกขึ้นมาอธิบายประกอบจะชัด จะเข้าใจได้ และ ง่าย อาตมาเคยลองบอกดู ก็เห็นอยู่ว่าบางท่านก็ไม่อยากให้อาตมาพูดถึง เพราะ ท่านถือว่าใหญ่กว่าอาตมา รู้มากกว่าอาตมา โดยเฉพาะนำมากล่าวถึงในเชิงตำหนิจุดผิดจุดบกพร่อง ซึ่งก็ถือว่าเป็นอัตตามานะอยู่เหมือนกัน ก็แล้วแต่ อาตมาไม่มีปัญหาอะไร สำหรับตัวอาตมาเองใครจะสอนมา อาตมาก็รับฟังอยู่ อะไรดี อาตมาก็รับมาได้ประโยชน์ ขอบคุณท่านซะอีก แต่ไม่ได้ไปขอบคุณ กับ ตัวท่านเท่านั้น

บทจบ

เมื่อแต่ละคนมีอัตตาน้อยลง ปัญญาญาณจะโปร่งใสขึ้น เกิดเป็นศักยภาพที่สูงยิ่งในการทำงานมากมาย กว้างขวางให้แก่โลก ด้วยความสนิทสนมกลมเกลียว สอดประสานในกันและกัน( หรือ จะใช้ซึ่งกันและกัน)อย่างราบรื่นงดงาม บดบังทำลายภาพแห่งความแตกแยก แปลกแยกให้จมหายไป เต็มไปด้วยความหลากหลาย

แต่นั่นแหละ ธรรมชาติ ของ ความจริงในมนุษย์นั้น แม้แต่ในกลุ่มที่รวมเอาแต่พระอรหันต์ไว้ด้วยกันก็เถอะ ก็ยังมีความแตกต่าง หรือ มีความแปลกกันอยู่มากมาย เพียงแต่ว่า ท่านอยู่อย่างไม่มี"ความแยก" กัน ท่านอยู่อย่างสมาน "อัตต" (สมานัตตตา) กันได้จริงถึงขั้นในจิตไม่ระคายเคืองด้วยธุลีกิเลสใดๆ หรือ อัตตาใดๆ (อนวัสสุตะ) ถ้าจะมีจิตที่เรียกด้วยภาษาว่า "อัตตา" หรือ "อัตต" ก็เรียกได้ว่า ท่านมีเพียง "อัตตมน" ซึ่งหมายความว่า "ผู้มีจิตที่ชื่นชมอยู่ยินดีอยู่" หรือ ที่สุดหมายความว่า "ผู้มีจิตอันบริบูรณ์, ผู้มีจิตอันถือเอาด้วยดี" ตามฐานะความยังเป็นอยู่จริง ของ พระอรหันต์ทุกรูป

ดังนั้นสังคมคนที่ยังมีความชุ่มเปียกไปด้วยกิเลส (อวัสสุตะ) หรือ ยังมีอัตตาสารพัดแตกต่างระดับกันนับไม่ถ้วนนั้น จึงต้องมี"ความแยก" กันอยู่อย่างเข้าใจความจริงด้วยสมมุติสัจจะ เป็นบางกลุ่มบางหมู่ที่จะพอรวมกันได้ เพราะ ปรมัตถสัจจะ ของ ผู้ยังมีอัตตา หรือ ยังไม่รู้จักอัตตา ยังเป็นโทสภัยอยู่จริง

ถ้าถูกบังคับให้รวมหมู่รวมกลุ่มที่ไม่ถูกสัจจะแล้วละก็ "สงครามอัตตา" จะรุนแรงขึ้น ถึงขั้น ฆ่าแกง ทำลาย ทำร้ายกัน ได้จริงๆ พระพุทธเจ้า มีระบบระเบียบวินัย ไว้ครบครันลึกซึ้งแล้วทุกประการ อย่าดันทุรังทำอะโรคให้ละเมิดวินัย ของ พระพุทธเจ้ากันเลย มันเป็นบาปเป็นภัยตามสัจจะ แม้ไม่บอก ก็ต้องเป็นตามสัจจะนั้นแน่ๆ

ทีม สมอ.
end of column
   

๓๐ นาที กับ พ่อท่าน ตอน ผ่าอัตตตา (อันดับ ๑๖๘ สารอโศก ธันวาคม ๒๕๓๖)